ถือเป็นการตอกย้ำให้เห็นกันอีกครั้งว่า กลยุทธ์เขี่ยบิ๊กป้อมเพื่อปกป้องบิ๊กตู่นั้น เป็นเรื่องยากที่จะประสบความสำเร็จ โดยเหตุการณ์ล่าสุดที่เน้นย้ำให้เห็นก็คือ กรณี “หมอธี” นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ที่ไปพูดจากับนักเรียนไทยในอังกฤษ และพูดคุยกับนักข่าวบีบีซีอย่างเข้มข้นดุดัน
ชูหลักการหนักแน่นแข็งกร้าว แต่พอกลับมาถึงเมืองไทย กลายเป็นหมดสภาพ
ต้องเอ่ยคำขอโทษบิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ
ยอมรับว่าพูดจาอย่างผิดมารยาทในฐานะผู้ร่วมครม. รวมทั้งจะนั่งทำงานเป็นรัฐมนตรีต่อไป ไม่มีลาออก
ขอยุติเรื่องราวทั้งหมด ไม่วิพากษ์วิจารณ์อะไรต่อไปอีก เสมือนว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น
ที่แน่ๆ งานนี้บิ๊กป้อมได้แต่อมยิ้ม ขณะที่หมอธีนั้น สูญสิ้นอะไรต่อมิอะไรไปมากมายหลายอย่าง!
ขณะเดียวกัน ผู้ที่มีบทบาทในการหย่าศึกครั้งนี้และร่วมหารือจนลงเอยเป็นทางออกเช่นนี้ ก็คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคสช.
เรียกหมอธีเข้าพบ ปิดห้องพูดคุยเครียด
ก่อนที่รัฐมนตรีศึกษาจะออกมาแถลงขอโทษและยอมรับผิดมารยาท
แสดงให้เห็นว่า ในรัฐบาลนี้ต้องให้ความเคารพนับถือพี่ใหญ่
แถมก่อนหน้านั้นไม่นาน พล.อ.ประยุทธ์ก็เพิ่งปล่อยประโยคเด็ดต่อหน้าประชาชนว่า
“อย่ารักผมคนเดียว รักรองนายกฯของผมด้วย”
ยืนยันให้เห็นชัดเจนว่า คู่นี้กอดคอร่วมกันมาตลอดและไม่ทิ้งกันเด็ดขาด
ประเภทมองปัญหาอย่างซื่อใสว่า บิ๊กป้อมทำเสียคนเดียว บิ๊กตู่ไม่เกี่ยว บิ๊กตู่ไม่ใช่คนอย่างนั้นเลย
เลิกพูดได้แล้ว!
ทั้งหลายทั้งปวง ในแง่ของประชาชนทั่วไป ที่วิพากษ์วิจารณ์ปัญหาของรัฐบาลคสช.นั้น จะไม่เลือกว่ารักคนนี้ ตีคนนั้น
เพราะมันเป็นปัญหาของระบบรัฐบาลทหารทั้งระบบ ยิ่งอำนาจอยู่ในมือคนกลุ่มเดียว ยิ่งยาก ต่อการแตะต้องตรวจสอบ!
แต่สำหรับคนรักรัฐบาลทหาร ห่วงรัฐบาลทหาร เพราะไปเรียกทหารออกมาเป็นรัฐบาลเอง กำลังกระอักกระอ่วน
ผนวกเข้ากับเครือข่ายคนกันเอง ที่ขัดแข้งขัดขากับรัฐบาลคสช. ก็เดินเครื่องเขี่ยบิ๊กป้อมอย่างเต็มกำลัง
เอาบิ๊กป้อมเป็นเป้า เพื่อกันบิ๊กตู่ออกมา
แต่เอาเป็นว่ากลยุทธ์นี้เป็นไปไม่ได้แล้ว
มีกรณีหมอธีที่หมดสภาพไปเรียบร้อยแล้วเป็นตัวอย่างล่าสุด!