บรรยากาศในที่ประชุมรัฐสภาในวาระเลือกผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จะพบว่า สมาชิกฝ่ายหนุนพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้กลับมาเป็นนายกฯต่อไปนั้น มักจะอ้างถึงเหตุการณ์ 22 พฤษภาคม 2557 ทำนองว่าวันนั้นบิ๊กตู่จำเป็นต้องเข้ามาเพื่อหยุดยั้งวิกฤตในบ้านเมือง
เป็นความกล้าตัดสินใจ เพื่อนำพาประเทศชาติพ้นจากความขัดแย้งแตกแยกรุนแรง
บ้างถึงขั้นบรรยายว่า เป็นผู้เข้ามาพลิกฟื้นท่ามกลางซากปรักหักพังของบ้านเมือง ก็เป็นเรื่องดีอย่างหนึ่ง ที่มีการพูดจาปราศรัยโดยย้อนเหตุการณ์เมื่อ 5 ปีก่อน ทำให้ประชาชนคนไทยที่ได้ฟัง ได้ทบทวนถึงเรื่องราวทั้งหมดได้อย่างถ่องแท้
ประการแรก ที่ว่าการรัฐประหารจำเป็นต้องเกิดขึ้น เพื่อหยุดยั้งความแตกแยกรุนแรงขณะนั้น
จำเป็นจริงหรือ นี่แหละ คนไทยที่ได้ฟังก็เลยได้นั่งคิดทบทวน!!
ได้นึกย้อนไปว่า ขณะนั้นมีความขัดแย้งจริง แต่ผู้มีหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อย มีการปล่อยปละละเลย หรือเลือกไปยืนข้างหนึ่ง เพื่อรอให้ถึงเวลาอันเหมาะสม
ทั้งมีกลุ่มแกนนำม็อบบางคน วางแผนเอาไว้แล้ว
ไม่ยอมรับทางออกยุบสภา เดินหน้าต่อไปเพื่อไปให้ถึงทางตัน เพื่อสร้างเงื่อนไขให้รถถังออกมา
ดังที่รู้กันดีว่า การรัฐประหารแทบทุกครั้ง มักมีการสร้างสถานการณ์ปูทางเอาไว้แล้ว!!
ประชาชนตระหนักดีว่า วันนั้นมีทางออกตามวิถีประชาธิปไตย
แต่จงใจไม่เลือกกัน!
ประการต่อมา หลายรายอภิปรายเน้นย้ำว่า ยังจำเป็นต้องมีรัฐบาลที่มีแนวทางสานต่อการปฏิรูปการเมืองและปฏิรูปประเทศต่อไป
นี่ยิ่งทำให้ประชาชนได้มานั่งทบทวนคำว่า ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง ซึ่งชูขึ้นมาในปี 2557 เพื่อไม่ต้องมีการเลือกตั้ง
ครั้นผ่านมาถึง 5 ปีแล้ว ในยุคปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง ยิ่งเห็นได้ชัดว่ามีการปฏิรูปอะไรจริงจังบ้างหรือ
ชาวบ้านยิ่งได้ข้อสรุปว่า ในเมื่อไม่เห็นการปฏิรูปอย่างเป็นเรื่องเป็นราว
ลงเอยก็แค่วาทกรรมที่หลังฉากก็แค่เกมชิงอำนาจทางการเมืองมากกว่า
ที่สำคัญสุด ต่อหน้าต่อตาประชาชนในวันนี้ก็คือ หลังคสช.อยู่มา 5 ปี แล้วให้มีการเลือกตั้ง สภาพการเมืองมีความพัฒนาก้าวหน้า ภายใต้คำหรูหราปฏิรูปก่อนเลือกตั้งอย่างไร
แท้จริงคือ เป็นการเมืองที่น้ำเน่าและถอยหลังย้อนยุค สวนทางกับคำว่าปฏิรูปการเมืองอย่างสิ้นเชิง
เอาเป็นว่าบรรยากาศอภิปรายวันโหวตเลือกนายกฯคือการตอกย้ำความจริงตลอด 5 ปีที่ผ่านมา
ประชาชนได้นั่งทบทวนและได้ข้อสรุปที่ชัดเจน!