ท่องไปในซานฟรานฯ
นายรุงรัง



การเป็นสิ่งที่มีชีวิต :(การเห็นความจริงทางธรรมชาติ)

(ตัวเรา คือกองกระดูก เลือด เนื้อ น้ำเลือด น้ำเหลือง และความรู้สึกสมมุติเท่านั้น มีกายและความรู้สึก คือสมบัติที่แท้จริง การปรุงแต่งทางความรู้สึกจึงเป็นความหลงในความเป็นธรรมชาติของตนเอง จึงให้มีความรู้สึกและกายแยกกันอยู่เท่านั้น อย่าปรุงแต่งมันนั่นคือการจบภาระทางความรู้สึก ที่เราไม่รู้คือการให้ความรู้สึกอยู่เฉยๆนั่นเอง ในความเป็นเหตุผลว่าทำไมจึงเป็นอย่างนั้น เราจึงต้องมาเรียนรู้การทำงานของกาย ที่เราไม่รู้จักเพราะเราคิดว่ามันเป็น “ตัวเรา”นั่นเอง มันจึงอยู่ในมิติแห่งความเป็นตนเอง(อัตตา) และไม่เข้าใจโลกต่างมิติ)

การเกิดผลเกิดจากการนั่งสมาธิที่จิตสงบอยู่ ขณะที่กำลังเคลิ้มๆเพลินอยู่ กลับมีสิ่งหนึ่งแว่บเข้ามาในใจ ว่าแท้จริงตัวเราก็เป็นเพียงการสมมุติของธรรมชาติเท่านั้นเอง เพราะแยกย่อยลงไป มันคือกองกระดูก เลือด เนื้อ ฯลฯ และมีความรู้สึกนั่นเองสมมุติเป็นตนเองอยู่ เท่านั้น เราจะเป็นอะไรได้นอกจากเป็นสิ่งเหล่านี้อยู่เท่านั้น มีความรู้สึกที่แสดงความเป็นตัวตนว่าเป็นสิ่งที่มีชีวิตและเป็นสัตว์โลกเหมือนสัตว์อื่นๆอยู่เท่านั้นเพราะต้องหาอาหารใส่ปากใส่ท้องไม่ต่างกันเลย มันเกิดการเห็นความจริงของตัวเอง.....เพราะมันเห็นชัดว่าความจริงมันมีอยู่อย่างนี้เท่านั้น คือการรวมตัวกันของธรรมชาติจึงเกิดเป็นตัวเรา เกิดความรู้สึกเป็นการเห็นความจริงทางธรรมชาติ อาการยึดมั่นที่มีอยู่เหือดหายไป

มันเป็นความรู้สึกที่เห็นความจริงทางธรรมชาติว่าความเป็นตัวเรามันเป็นการทำงานของธรรมชาติเท่านั้น เมื่อเทียบกับความรู้สึกที่เป็นตัวเราที่เกิดอยู่ เรายึดมั่นอยู่ในความเป็นธรรมชาติเท่านั้นเอง เราไม่อาจจะเป็นอะไรได้มากกว่านี้ นอกจากการสมมุติตัวเองว่าเป็นเท่านั้น.....ในความรู้สึกที่ละเอียดอ่อนเราจึงเห็นได้ว่ามันเป็นจริง แต่ที่เป็นอยู่คือการสมมุติ เมื่อไม่สมมุติมันจึงมีความเป็นธรรมชาติอยู่ คือมีความรู้สึกกับกายเท่านั้นปรากฏอยู่ การปรุงแต่งยึดมั่นมันจะเกิดเป็นตัวตน หรือเกิดเป็นภพเกิดการดิ้นรนทางความรู้สึก จึงอยู่เฉยๆให้มันแยกกันอยู่เป็นธรรมชาติดั้งเดิมของมัน.

การแยกย่อยความเป็นตัวเราลงในรายละเอียด จึงเห็นได้ว่าความเป็นตัวเรา เป็นได้แค่กองกระดูก เลือดเนื้อ น้ำเลือด น้ำเหลืองฯลฯ และมีพลังงานที่แสดงเป็นความรู้สึกเท่านั้น ความรู้สึกนั่นเองสมมุติยึดมั่นเป็นสิ่งต่างๆอยู่ ความรู้สึกก็มีความเป็นธาตุ เป็นอากาศธาตุทำให้เกิดการเห็นความจริงของตัวเองได้ว่ามันเป็นการรวมตัวกันอยู่ มันเป็นเพียงธาตุธรรมชาติปรุงแต่งกันอยู่ จึงมีสิ่งที่มีชีวิตเกิดขึ้น เป็นการสมมุติตัวเองขึ้นมาทางความรู้สึกเท่านั้นและความเป็นตัวเราก็มีความเป็นสัตว์โลกไม่ต่างกับสัตว์อื่นๆเลย….มันเป็นการสมมุติขึ้นมาของธรรมชาติเท่านั้น ความรู้สึกที่เป็นเราจึงเป็นการสมมุติทางความรู้สึกหรือทำให้เกิดเป็น “สิ่งที่มีชีวิต” การไม่สมมุติจึงให้มันแยกกันอยู่ คลายอาการยึดมั่น คือเป็นธาตุรู้กับกายเท่านั้นมันจะหยุดการทำงาน เมื่อมันหยุดการทำงานภาระต่างๆจึงจบลง.

ดังนั้นจึงอาจจะตอบได้ว่าขณะนี้เราอยู่ในโลกสมมุติทางความรู้สึกเท่านั้นแต่เราคิดว่ามันจริง การจะเข้าใจความเป็นธรรมชาติให้ถูกต้อง ต้องปรับความรู้สึกใหม่ ว่ามันมีแต่ความเป็นสมมุติเท่านั้นจึงจะเป็นการเข้าใจมันตามจริง การเกิดเป็นตัวเราเป็นการยึดมั่นขึ้นมาทางความรู้สึกเท่านั้น มันจึงเป็นที่มาว่า “ตัวเรา”ไม่มีอยู่จริง หรือมันหยุดการทำงานตามธรรมชาติ พิจารณาให้ถ่องแท้จึงจะเห็นได้ว่าเราหลงสมมุติทางความรู้สึกของตนเองอยู่ ถ้าจะให้เข้าใจได้ ต้องไล่เรียงมาจากสิ่งที่เห็นได้ชัดเจน เช่น การเป็นสามี-ภรรยา บุตร พ่อ แม่ พี่ น้อง ญาติ มิตร ไม่มีอยู่จริงเพราะมันเป็นการสมมุติทางความรู้สึกดังนั้นตัวเราก็เป็นการสมมุติทางความรู้สึกเช่นกัน.

การที่จิตแยกจากกาย หรือหลุดจากการยึดมั่น เราจึงเห็นความจริงทางธรรมชาติของตัวเราได้ซึ่งมันเป็นการทำงานของจิตกับกายนั่นเอง จึงเกิดเป็นอาการทางความรู้สึก การที่จิตแยกจากกายการยึดมั่นหยุดลงจึงเกิดความว่าง การแยกตัวของสิ่งที่รวมกัน จึงเกิดอาการสำรวมภายใน เราจึงจะมีอาการตื่นอยู่ออกไปจากการปรุงแต่งทางความรู้สึก อาการทางกายคือการสำรวมเกิดขึ้นคืออาการยึดมั่นหยุดลง เราจึงออกไปจากการยึดมั่นทางความรู้สึกได้....

จึงเป็นสิ่งที่นำมาเสนอ ว่ามันมีสิ่งที่เราไม่เข้าใจในความเป็นธรรมชาติของตนเองอยู่นั่นเอง การยึดมั่นมันสร้างโลกมายาทางความรู้สึกของเราอยู่. จึงทำให้เกิดเป็นภพ การออกไปจากการยึดมั่นมันจึงจบภาระทางความรู้สึก คือการไม่มีภพให้เกิดการไม่เกิดอยู่ของสิ่งที่มีชีวิต แต่เป็นธรรมชาติรวมตัวกันอยู่ซึ่งเป็นความจริง การเห็นต่างจากนี้จึงเป็นการทำงานของสิ่งที่มีชีวิตคือการยึดมั่นคือจิตกับกายปรุงแต่งกันอยู่ การเกิดการปรุงแต่งทำให้เกิดเป็นอาการทางความรู้สึกเกิดขึ้น ซึ่งเกิดจากการยึดมั่นกันอยู่ของจิตและกายนั่นเอง จึงเกิดเป็นอาการทางธรรมชาติที่เรายึดว่าเป็นตัวเรา เป็นของเราซึ่งเป็นอาการยึดมั่น การเข้าใจได้จึง เป็นความรู้ในการเป็นสิ่งที่มีชีวิตคือการยึดมั่นทางความรู้สึกนั่นเองจึงเป็น “ตัวเรา”เกิดขึ้น

[๒๔๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อเดือนสุดท้ายแห่งฤดูร้อนยังอยู่ พยับแดดย่อมเต้นระยิบระยับในเวลาเที่ยง บุรุษผู้มีจักษุพึงเห็น เพ่งพิจารณา พยับแดดนั้นโดยแยบคาย เมื่อบุรุษนั้นเห็น เพ่งพิจารณาอยู่โดยแยบคาย พยับแดดนั้นพึงปรากฏเป็นของว่างเปล่า ฯลฯ

สาระในพยับแดดนั้นพึงมีได้อย่างไร แม้ฉันใด. สัญญา อย่างใดอย่างหนึ่ง ฯลฯ ก็ฉันนั้นเหมือนกันแล.