สาธุชนท่านผู้สนใจในธรรมทั้งหลาย เรามักจะได้ยินคำที่มาคู่กันว่า "สติปัญญา" การศึกษาทำความเข้าใจให้แจ้งชัดว่า สติมา - ปัญญาเกิด จริง ๆ แสดงให้เห็นว่า สตินั่นเองที่เคลื่อนไหวเลื่อนไหล ถ้าสติไม่มา - ปัญญาก็ไม่เกิด เรื่องเล็ก ๆ ในข้อความพยางค์สั้น ๆ หากเพ่งพินิจความละเอียดอ่อนจะทำให้เราลึกซึ้งในความหมายต่าง ๆ อีกมากมายกับถ้อยคำที่ทรงพลังเหล่านั้น
พูดถึงสติโดยธรรมชาติแล้วก็มีกันทุกคน ทั้งนี้แม้ในสัตว์ก็มี ขอท่านทั้งหลายให้พิจารณาดูเถิด สติในสมถะเกิดขึ้นโดยการเพ่งดู ดูอะไร ๆ ทุกอย่างนั้นด้วยสติ จัดเป็นสติในสมถะทั้งนั้น ส่วนว่าขั้นละเอียดต่างกันเป็นขณะ ๆ ไป ข้อดีนั้นทำให้เกิดความสงบระงับและยับยั้งได้โดยระดับหนึ่งเท่านั้น เผลอเมื่อไหร่ก็ได้เป็นเรื่องเกินควบคุม สติในสมถะเกิดขึ้นระยะสั้นก็ได้ เกิดขึ้นระยาวก็ได้ อยู่ที่ความยินดีของแต่ละท่าน บัญญัติเป็นคนคนไปอาตมาขอเรียกว่าอย่างนั้น และส่วนมากก็จะเห็นอย่างนั้น ให้ท่านผู้ศึกษาธรรมทั้งหลาย ลองนำไปพิจารณาต่อยอดดูกันเอง ผลของการปฏิบัติธรรม ผลของการเสวยอารมณ์มันเป็นของเฉพาะตน เกิดขึ้นในตนของตน หยิบยื่นให้กันไม่ได้ (ถึงให้กันได้ ก็ได้...ไม่ทั้งหมด)
จริง ๆ สติในวิปัสสนาก็ไม่ใช่เรื่องที่เข้าใจยากอะไรนะ "สติมา ปัญญาเกิด" อาตมาจะมาย้ำคำนี้เพื่อให้มองเห็นคุณค่าของคำง่าย ๆ ที่เป็นหญ้าปากคอก ให้เข้าหลักศึกษาสติในวิปัสสนานะ อาตมาไม่ใช่ด็อกเตอร์ผู้รู้เชี่ยวชาญอันใดหรอก เพียงจะบอกเล่าสิ่งที่ตนเองสัมผัสจะเข้าใจตามประสาพระบ้านนอกบ้านนานั้นแหละ อย่างที่เคยมีประสบการณ์มาว่า
"เมื่อเรามีโยนิโสมนสิการ ตั้งสติกำหนดที่รูป จิตแกร้วกล้าแล้วนั้น นั่นคือจิตเป็นสมาธิแล้ว การเห็นรูปนั้น อนิจจังก็ดี ทุกขังก็ดี อนัตตาก็ดี ย่อมเห็นได้ชัดเจนแน่นอน เรียกว่ารู้เห็น - รู้หนอ หรือ เห็นหนอ คือเห็นสัจจะภาวะในขณะนั้น ๆ จริง ๆ นี้เป็นปัญญาภาวนา เกิดจากวิปัสสนา คือยกจิตขึ้นพิจารณาสภาวะนั้น ๆ แม้อธิบายเป็นตัวหนังสือยากอยู่นะ เอาเป็นว่า "โยนิโสมนสิการเป็นสติในวิปัสสนานั่นแล" เข้าใจรึยัง นี้ง่ายแล้วนะ ครูบาอาจารย์จึงบอกเสมอว่า ไปกำหนด ๆ กำหนดให้เห็นด้วยตนเองนั่นเทียว ฯ
ดังนั้น สรุปว่า "การกำหนด พองหนอ - ยุบหนอ" จึงเป็นการสังเกตด้วยโยนิโสมนสิการ อันประกอบด้วยอาตาปีสัมปชาโน (วิริยะ - ความเพียร) (สติ - ความระลึกได้) (สมาธิ - ความตั้งมั่นแห่งจิต) และ (สัมปชัญญะ - ความรู้ตัวทั่วพร้อม) ที่กล่าวมานี้เป็นสัมผัสของบ้านนอกบ้านนาเน้อ ถ้าโยมท่านใดมีข้อสังสัย ให้ลองศึกษาเพิ่มในมหาสติปัฏฐานสูตร แล้วผู้ปฏิบัติ (หรือท่านเรียกว่าพระโยคาวจร) จะเห็นความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ และความไม่ใช่ตัวตนของรูปธรรมและนามธรรม มีสัมมาทิฏฐิและวิชชาญาณเกิดขึ้น จนสามารถบรรลุมรรค ผล นิพพานได้ในที่สุด ซึ่งอาตมาเชื่อตามแนวทางนี้ จึงได้เสนอแนวทางนี้เป็นนิทัศนะ การปฏิบัติธรรมเป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ความมีกัลยาณมิตรเป็นสิ่งที่ถูกต้องดีงาม ปราชญ์ชื่นชมพรหมก็สรรเสริญ วันนี้พอแค่นี้ อ่านบทกลอนนี้แล้วนำไปพิจารณาต่อกันนะ พบกับหลวงพ่อได้ใหม่สัปดาห์หน้า รูปขอจำเริญพร
ความจริงจริง นิ่งเป็นใบ้ ให้รู้พูด
ส่วนความจริง สิ่งสมมุติ ให้พูดได้
สติมา ปัญญาเกิด อย่างฉับไว
ความผ่องใส เกิดจากใจ ที่สุขเย็น ฯ
ชวนเข้าวัด ผลัดกันช่วย อุปถัมภ์
นัดฟังธรรม กิจกรรม ทำให้เห็น
นำปฏิบัติ ภาวนา ทุกเช้า - เย็น
รู้พัฒนา สิ่งที่เห็น เป็นบทเรียน ฯ
© 2011 - 2026 Thai LA Newspaper 1100 North Main St, Los Angeles, CA 90012