ขอเจริญพรท่านผู้อ่านต่อจากฉบับสัปดาห์ที่ผ่านมา คำถามที่เป็นปัญหาสำคัญ อันสะท้อนถึงโครงสร้างในการบริหารกิจการงานพระพุทธศาสนาไทยอย่างลึกซึ้ง ทำให้เกิดมิติทั้งในด้าน ธรรมวินัย, กฎหมาย, สังคม, และศรัทธาประชาชน โดยสามารถวิเคราะห์ได้ดังนี้:
ปัญหาที่เกิดขึ้นกับพระมหาเถระชั้นพระราชาคณะ แม้เป็นเพียงส่วนน้อย แต่กระนั้นก็สะเทือนสะท้านทั้งวงการสงฆ์ หากเทียบกับบางเหตุการณ์ในครั้งยุคพระพุทธกาล ปัญหาทั้งหลายเคยเกิดขึ้นแล้วทั้งนั้น พระพุทธองค์จึงมีการบัญญัติพระวินัยที่เป็นข้อห้าม ซึ่งก็เข้าใจได้ว่าเพื่อให้เกิดความงดงามของหมู่สงฆ์ หากกำหนดนับตามที่มาในพระปาฏิโมกข์ และมานอกพระปาฏิโมกข์นั้น นับสิกขาบทของพระภิกษุนั้น มี 227 สิกขาบท ส่วนโดยพิศดารนั้น ผู้รู้ท่านกล่าวว่ามีหลายหมื่นสิกขาบท แต่สิกขาบทเหล่านั้นกลับเป็นสิ่งที่จับต้องได้ยาก กลายเป็นอุดมคติเสียมากกว่า
อย่างสื่อจีนก็ได้นำเสนอหลวงจีนเจ้าอาวาสวัดเส้าหลิน ชื่อ หย่งซิ่น ถูกนำตัวไปสอบสวน โดยพระหย่งซิ่นเป็นผู้นำการดำเนินงานเชิงพาณิชย์ของวัดมาเป็นเวลานาน มีรายได้ 900 ล้านบาทต่อปี บางสื่อรายงานว่ารวยหมื่นล้าน โดนข้อหายักยอกทรัพย์ และผิดวินัยร้ายแรงขั้นปาราชิก กล่าวหาว่ามีคู่นอนถึง 51 คน ขออนุญาตกลับเข้าสู่ประเด็นปัญหาการบริหารเชิงระบบในประเทศไทย เช่น
1. ปรากฏการณ์พระผู้ใหญ่มัวหมอง: ปัญหาเชิงระบบ
แม้พระราชาคณะส่วนใหญ่จะเป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ แต่เมื่อมีบางรูปประพฤติเสื่อมเสียอย่าง ร้ายแรงและซ้ำซาก เป็นดั่งบางความเห็นที่ว่า ความเป็นมหาเถระ เป็นดอกเตอร์ เป็นศาสตราจารย์ เป็นผู้มียศ มีตำแหน่ง มีฐานันดรศักดิ์ ไม่ได้เป็นไปเพื่อลดหมดกิเลส จำตกอยู่ภายใต้อำนาจกิเลส กรรมต่ำ กรรมเลวที่เกาะติดในจิตส่วนลึก เช่น
- การเสพเมถุนธรรม (ผิดวินัยร้ายแรงถึงขั้น อาบัติปาราชิก)
- การพัวพันเงินทอนวัด / ฟอกเงิน / พนันออนไลน์
- การใช้อำนาจสมณศักดิ์ หาประโยชน์ส่วนตน ฯลฯ
สื่อมวลชนและประชาชน มักจะจับตาไปที่ภาพรวมของสงฆ์ บางอารมณ์ให้รู้สึกได้ถึงความเหยียดหยามไม่แสดงความเคารพผ้าเหลือง ซึ่งสะท้อนว่าโครงสร้างการปกครองสงฆ์มีปัญหา เช่น
- ขาดการตรวจสอบภายใน (ระบบอุปถัมภ์ปกป้องกันเอง)
- ไม่มีมาตรการลงโทษอย่างรวดเร็ว (กว่าปัญหาเดิมจะระงับ ปัญหาใหม่ก็เกิดขึ้นซ้ำซาก)
- ขาดกลไกคุ้มครองผู้ร้องเรียน (ปัญหาเชิงระบบปิดปากพระผู้น้อย)
- การแต่งตั้งยังอิงอำนาจการเมืองและเส้นสาย (เกิดผลประโยชน์เชิงสังคมบังหน้า มีเอี่ยวเส้นเงินสีเทา เรียกรับเงินซื้อขายตำแหน่ง)
2. การตรากฎมหาเถรสมาคมใหม่: จุดแข็ง-จุดอ่อน
การพยายาม ปรับปรุงหรือตรากฎใหม่ ของมหาเถรสมาคม เพื่อเพิ่มกลไกควบคุมและกำกับดูแลสงฆ์ ให้เหมาะสมแก่ยุคสมัย ธรรมชาติของกฎหมายเกิดขึ้นจากปัญหาทางสังคม ซึ่งไม่ต่างจากยุคสมัยครั้งพระพุทธกาลที่พระพุทธเจ้าทรงพระชนม์ชีพอยู่ วินัยต่างๆ ก็เกิดขึ้นจากปัญหาที่มีสาวกประพฤติล่วงพรหมจรรย์ ดังนั้นการตรากฎมหาเถรสมาคมใหม่ย่อมมีทั้ง จุดแข็ง-จุดอ่อน ซึ่งอาจมีทั้งประโยชน์และข้อควรระวัง ดังนี้:
ข้อดี / หรือประโยชน์อันพึงจะได้
1. สร้างมาตรฐานทางวินัยและธรรมาภิบาลให้แก่คณะสงฆ์
2. เพิ่มกลไกตรวจสอบ - ร้องเรียน - ลงโทษ อย่างเป็นทางการ
3. ปกป้องพระดี ไม่ให้ถูกเหมารวมกับพระผู้ที่กระทำผิดพระธรรมวินัยร้ายแรง
4. ฟื้นฟูศรัทธาประชาชนต่อสถาบันสงฆ์อันเป็นหนึ่งในสถาบันหลักของชาติ
5. ทำให้การปกครองสงฆ์มีความทันสมัย สอดคล้องบริบทสังคมที่ไร้พรมแดน
ข้อควรระวัง / ที่จะเป็นปัญหาและอุปสรรค
1. หากกฎออกแบบไม่ดี อาจ “เหมารวม” และละเมิดสิทธิพระที่ไม่เกี่ยวข้อง
2. กลายเป็นเครื่องมือทางการเมืองหรือกลไกควบคุมแบบราชการมากเกินไป
3. ไม่แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ คืออาจใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือการแต่งตั้งที่อิงเส้นสาย
4. หากไม่มีการบังคับใช้อย่างจริงจังจะเป็นแค่ “กฎบนกระดาษ หรือเป็นเสือกระดาษ”
3. จะไม่เป็นธรรมต่อพระดีหรือไม่?
คำถามสำคัญคือ: การตรากฎใหม่ จะเป็นการทำโทษเหมารวมต่อพระดีด้วยหรือ?
หากออกแบบ “กฎ” อย่างมีหลักธรรมและธรรมาภิบาล:
- จะไม่เป็นการเหมารวม
- จะเป็นเกราะคุ้มครองพระที่มีศีล
- จะช่วยให้พระที่ประพฤติดีมีที่ยืนชัดเจนในสังคม
- จะทำให้ประชาชนแยกแยะ พระแท้ - พระปลอมได้ดีขึ้น
แต่หากออกแบบกฎโดยไม่ฟังเสียงพระสงฆ์ - ไม่อิงหลักธรรมวินัยที่เป็นรากเหง้าดังเดิม อาจทำให้ขาดสภาพความเคารพในความเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณ ความเป็นเนื้อนาบุญก็จะผัดเพี้ยน อาจเป็นการลดทอนกุลบุตรพุทธชิโนรส ผู้ที่จะเข้ามาศึกษาปฏิบัติสืบอายุพระพุทธศาสนาให้มีจำนวนน้อยลง เพราะฉะนั้น การจะให้นักกฎหมายอย่างเดียวมาตรากฎหมายให้มีผลบังคับใช้กับพระภิกษุ อาจคงไม่ชอบธรรม ด้วยภาวะปัญหาที่เกิดขึ้นในวงการพระมหาเถระชั้นพระราชาคณะนั้นยังไม่คลายข้อสงสัยว่า เป็นกระบวนการ หรือมีใบสั่งทางกฎหมาย หรือทางการเมือง ตลอดถึงอาจมีผู้ไม่หวังดีอื่นๆ หรือไม่? :
- อาจกลายเป็นเครื่องมือทำลายความศรัทธาในความเป็นสถาบัน
- อาจทำให้พระดีถูกรังแกโดยใช้กฎหมายทั้งทางตรงและทางอ้อม
- อาจทำให้สงฆ์แตกแยกในภายหลังการตรากฎหมาย (และในอนาคตภายภาคหน้า)
4. ข้อเสนอเชิงสร้างสรรค์
4.1. แยกระบบวินัยสงฆ์ออกจากอิทธิพลการเมือง
4.2. จัดตั้งคณะกรรมการตรวจสอบพระภิกษุอย่างโปร่งใส โดยมีฆราวาสที่ศรัทธา และมีคุณธรรมร่วมด้วย
4.3. ใช้กระบวนการ “สังฆสันติธรรม” เพื่อเยียวยาและแก้ไข ไม่ใช่เพียงลงโทษ ตลอดถึงการใช้หลัก "สาราณิยธรรม 6" ซึ่งจัดว่าเป็นหลักการบริหาร / การปกครอง อย่างมีเอกภาพ ด้วยความเห็นตรง ความสมัครสมานสามัคคีให้เป็นหนึ่งเดียว อย่างผู้เจริญทางอารยธรรม
4.4. ส่งเสริมพระสงฆ์ที่มีคุณธรรม - มีอาจาระ คือ การประพฤติอันสมควรของภิกษุในพระธรรมวินัย หมายถึง การประพฤติกายสุจริต วาจาสุจริต หรืออีกนัยหนึ่ง อาจาระ คือ ศีลสังวรนั้น ให้มีบทบาททางสังคมมากขึ้น
4.5. รณรงค์ให้ความรู้ประชาชน รู้เท่าทันและแยกแยะพระแท้ - พระปลอม พระที่ควรสนับสนุน และพระที่ไม่ควรสนับสนุน ด้วยปัจจุบันยังมีพระที่ลงนะหน้าทอง พระแก้ศาสตร์คุณไสยกันอยู่เต็มเมือง
สรุปใจความสำคัญการตรากฎหมาย
การตรากฎมหาเถรสมาคมใหม่ เป็นสิ่งจำเป็นหากต้องการปฏิรูปวงการคณะสงฆ์ให้โปร่งใส ให้เป็นที่ศรัทธาที่ยั่งยืน แต่ต้องทำอย่างรอบคอบ ยุติธรรม ไม่ขัดต่อธรรมวินัย เสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ และไม่เหมารวม ตลอดถึงเพราะเป้าหมายสูงสุดคือ เพื่อปกป้องพระพุทธศาสนาโดยรวม ไม่ใช่เพื่อเป็นบทกำหนดโทษ เพื่อลงโทษพระที่ไม่ดีมาทำลายศรัทธาของสังคมทั้งศาสนา แต่กลับต้องทำให้พระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเหมือนถูกจองจำในกรอบอัตราโทษเดียวกันจนขาดอิสรภาพ ดังนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้ เกิดช่องว่างโดยจริยธรรม ในฐานะความเป็นสถาบันหลักอย่าใช้นักกฎหมายเพียงฝ่ายเดียว เพราะมิฉะนั้นอาจมีการตรากฎหมายให้พระภิกษุมีภรรยาได้ตามที่กฎหมายบัญญัติ
ส่วนผู้มีศรัทธาต้องการสนุบสนุนวัดพระธาตุทุ่งเศรษฐี กรุณา Donation check payable to "Buddhist Meditation Society" หรือ อีกบัญชีหนึ่งชื่อ Wat Phrathat Thongsethi ส่งไปตามที่อยู่ที่แจ้งไว้นี้ 6763 East Avenue H. Lancaster CA 93535 ส่วนท่านที่สะดวก Transfer money with Zelle ก็โอนด้วยเบอร์ (562) 249 - 3789 ขออนุโมทนาบุญ มา ณ โอกาสนี้ด้วย รูปขอจำเริญพร