ธรรมะสมสมัย

หลวงพ่อไสว ชมไกร



สติตน สู่ สติเมือง

ท่านพุทธบริษัท สาธุชนทุกคนทุกท่าน ธรรมะสมสมัยวันนี้นำเรื่อง สติ (Mindfulness) ซึ่งนับเป็นใจความสำคัญทั้งหมดในการดำเดินชีวิตให้ก้าวไปข้างหน้าสู่ความเจริญอย่างยั่งยืน


สติตน

สิ่งแรกที่พระพุทธเจ้าสอนคือการให้มีสติตื่นรู้ ทุกลมหายใจของเราที่ขับเคลื่อนนั้น ต้องมีสติตื่นรู้ เช่น ตอนลมหายใจเข้า เรารู้สึกถึงท้องที่ค่อย ๆ พองขึ้น เมื่อลมหายใจออก เรารู้สึกถึงท้องที่ค่อย ๆ ยุบลง สติเท่านั้นที่เป็นตัวรับรู้อย่างแท้จริง ความรับรู้ทั้งหมดโดยปราศจากการคิด เรากล่าวคำนี้ได้อย่างอาจหาญเลยว่า “เรากำลังเจริญวิปัสสนา”

แต่ถ้าหากเราไปปรุง ไปคิดนึก ว่าต้องเป็นอย่างนั้น ต้องเป็นอย่างนี้ นั่นเป็นคำที่กล่าวล้อเลียนกันเสมอมาว่า “ท่านกำลังเจริญวิปัสสนึก”

วิปัสสนา คือ การรู้แจ้งต่อกระบวนการการเกิดปัญญา การดูแล “สติตน” สิ่งแรกที่ทำได้คือ มีสติเฝ้าดูอยู่กับปัจจุบันขณะ อยู่กับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นตรงหน้า ฝึกที่จะตื่นรู้อยู่กับปัจจุบันที่เบิกบาน อยู่กับประสบการณ์สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า ณ ขณะนั้นอย่างแท้จริง สติตน จะทำหน้าที่ได้อย่างทรงอานุภาพ อย่างคำกล่าวที่ว่าจิตประสิทธิภาพ สู่ การพัฒนาที่มีประสิทธิผล


บัณฑิตควรฝึกตน

สติตน ควรค่ากับคำว่า “บัณฑิต” ความจริงของบัณฑิตอย่างหนึ่งคือ ใฝ่สิ่งรู้ – สู้สิ่งยาก การยืน การเดิน การนั่ง การนอน การกระทำ การพูด การคิด การกิน การดื่ม การต่าง ๆ ทั้งหมดต้องมีสติตน เช่น

- เมื่อเดิน ขณะที่เราอยู่ในอิริยาบถเดินก็รู้ว่าเดิน ความรู้ในขณะนั้น ก็เกิดความเบิกบาน แจ่มใสกับสิ่งนั้น ๆ ฯลฯ

- เมื่อกินก็มีสติอยู่ที่การเคี้ยวกลืน นี่เป็นการฝึกปฏิบัติที่ลึกซึ้ง มีเพียงการกระทำอย่างเต็ม ร้อยกับสิ่งที่กำลังกระทำนั้น อย่างรู้ตื่นเบิกบาน กับสิ่งนั้นที่ปรากฏเป็นจริงอยู่ในขณะภาวะ จะทำให้เข้าใจถึงสิ่งที่กำลังผ่านเข้ามา และกำหนดสิ่งที่กำลังจะเป็นไปในอนาคตอย่างเบิกบานแจ่มใส ฯลฯ


สติเมือง

สติตน ก็ว่ายากแล้ว ฝึกฝนประสบการณ์อย่างละเอียดอ่อน ก็ยังเกิดผิดพลาดกันทั่วบ้านทั่วเมือง กับภารธุระผู้ทำหน้าที่ “สติเมือง” ย่อมมีสิทธิ์ผิดพลาดกันทุกคน ภาษิตกล่าวว่า “สี่เท้ารู้พลาด นักปราชญ์รู้หลง หงส์คำยังติดบ่วง ชื่อว่าคนถ้ายังติดรักติดห่วง ต่อให้เป็นสติเมือง ก็ยังคงเป็นห่วงเรื่องทุจริตในหน้าที่”

สติเมือง เป็นเรื่องพื้นฐานที่ต้องมาจาก สติตน ตนถ้าเตือนตนได้นั้นประเสริฐแท้ การฝึกตนให้ดีด้วยคุณธรรม สามารถก้าวสู่ความเป็นผู้นำที่น่าศรัทธาน่าเคารพรักใคร่ การปลูกคุณธรรมอันสูงส่งแก่ตน สู่ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ได้ทุกสถาน ด้วยความหมายที่ว่า “บัณฑิตแม้ในสถานการณ์คับขันก็จะไม่ละทิ้งธรรม” สติตน สู่ สติเมือง

การฝึกมองตนเองให้ออก บอกตนเองให้ได้ ใช้ตนเองให้เป็น เห็นตัวเองให้ชัด เป็นคุณธรรมที่มีค่าควรเมือง เพราะสติตนเป็นเหมือนกระจกเงา สะท้อนให้มองเห็นตัวเอง เราคิดกับตนเองอย่างไร คนอื่น ๆ ก็มิได้ต่างกัน การที่เรามองคนในแง่ดี มองโลกในแง่ดี เป็นหน้าที่ของเรา ส่วนใครจะพูดดีทำดีกับเราหรือไม่ เป็นหน้าที่ของเขา

เราจะรู้วางตัวสู่ความเป็น “สติเมือง” ที่ต้องบริหารจัดการดูแลประชาชนในสังคมให้ปลอดภัยได้อย่างไม่ห้าวหาญ หากเรามองเห็นตัวเองได้ จะมีประโยชน์มาก เพราะจะรู้ “ใจเรา กับ ใจเขา นั้นมิได้ต่างกันเลย”

ตนเตือนตน ของตน ให้พ้นผิด

ตนเตือนจิต ตนได้ ใครจะเหมือน

ตนเตือนตน ไม่ได้ ใครจะเตือน

อย่าแชเชือน เตือนตน ให้พ้นภัย ฯ


การพัฒนาสติตน สู่ สติเมือง

พระพุทธเจ้า จึงทรงตรัสสอนพวกเราว่า "อัตตา อัตตะนา โจทะยัตตานัง แปลว่า จงเตือนตนด้วยตนเอง" ดังนั้น เราควรหมั่นเตือนตัวเอง ด้วยตัวเองนี่แหละ ถือว่าเป็นสิ่งประเสริฐที่สุด ธรรมะสมสมัยกับการบรรยาย เรื่อง สติตน สติเมือง กับหลักปฏิบัติง่าย ๆ 2 ประการ คือไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาสู่ความก้าวหน้าทางศีลธรรมก็ดี หรือทางอุตสาหกรรม – ทางเทคโนโลยีใด ๆ ก็ดี โดยเฉพาะปัจจุบันทางโซเชียลเน็ตเวิร์คใด ๆ การนำเสนอข้อมูลข่าวสารใด ๆ ก็ดี คำสอนที่ยาก ๆ มากมายเกินจดจำ หลวงพ่อไสว ชมไกร ย่อให้แล้วเพียง 2 ประการเท่านั้น คือ

1) สติตน สิ่งไหนดี มีประโยชน์ที่ควรทำ ให้ทำทันที อย่าผลัดวันประกันพรุ่ง

2) สติเมือง สิ่งไหนไม่ดี ไม่มีประโยชน์ไม่ควรทำ อย่าได้ทำให้เกิดความเสียหายต่อตน ต่อสังคม อย่าทุจริตต่อชาติบ้านเมือง อย่าทำร้ายโลก (โลก คือ หมู่สัตว์ โลก คือ แผ่นดิน แม่น้ำ ภูเขา และผืนป่า จงช่วยกันปกป้องดูแล ง่าย ๆ เลย อะไรที่ไม่ดี อย่าทำ)


ประกาศอนุโมทนา

ขอขอบคุณ ขอขอบใจ ศรัทธาสาธุชนท่านผู้มีจิตศรัทธาทุกท่าน ที่ให้การต้อนรับสนับสนุนศาสนกิจของคณะสงฆ์วัดทุ่งเศรษฐี แคลิฟอร์เนีย ด้วยดีตลอดมา ทั้งฝั่งประเทศไทย และฝั่งอเมริกา ขอให้เป็นบุญบารมีที่เต็มพร้อม สมปรารถนา หลวงพ่อไสวขอน้อมรับศรัทธาทุกท่านด้วยเคารพ ทานที่ท่านให้แล้วจงเป็นอิฐผลอันไพบูลย์ทุกประการ เทอญ รูปขอจำเริญพร