ขอเจริญพร ท่านผู้คิดตามธรรมะสมสมัย เรื่องวุ่นๆ ในวงการคณะสงฆ์ชั้นพระมหาเถระผู้ใหญ่ ที่สะเทือนสะท้านไปทั่วสังฆมณฑล เหตุการณ์นั้นได้มีผลกระทบพระผู้น้อย จำต้องอดทนรับฟังคำสบประมาท คำก่นด่า (ไม่ได้ด่าอาตมา แต่ฟังแล้วดูเหมือนว่า เขาเหมารวมทั้งเข่งยังงั้น) เป็นสหคตกรรม กรรมที่เกิดร่วมกัน ส่งผลคือมีวิบากไปทั่วถึงกันอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ และดูเหมือนว่าจะมีกฎหมายสงฆ์ใหม่ๆ เพิ่มเข้ามา มีระเบียบให้เป็นแนวปฏิบัติที่เร่งรัดรวดเร็วใหทันต่อเหตุการณ์ บางทีก็ให้พระผู้น้อยรู้สึกได้เลยว่าให้ยอมรับกฎใหม่ๆ เป็นผลพวงมาจากปัญหาที่เกิดขึ้น จนทำให้ศรัทธาของพุทธศาสนิกชนเป็นอันมากสั่นคลอน ใจจริงๆ ของอาตมาไม่ต้องการที่จะเข้ามาถอดบทเรียนหรือวิพากษ์วิจารณ์กับปัญหา และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะมันเหมือนวิจารณ์ครอบครอบของเราเอง วิจารณ์พ่อแม่ครูอาจารย์ของเราเองอย่างนั้น
ธรรมดากฎเกณฑ์ ข้อบังคับต่างๆ ที่เกิดขึ้นโดยชอบธรรมในฐานะประเทศที่เป็นประชาธิปไตย ตลอดถึงสิทธิมนุษยชนภายใต้ร่มเงาของพระพุทธศาสนา ในพระธรรมวินัยของพระตถาคตเจ้า ควรที่ จะทำประชาคม ทำสังฆพิจารณ์หรือไม่ ? "เหมือนถูกกดทับยังไงๆ ไม่รู้ คืออาตมามองแบบพระผู้น้อยที่ไม่มีอำนาจต่อรองใดๆ แต่ก็ไม่มีปัญหาอะไร ยกจิตขึ้นให้เห็นไปตามเหตุปัจจัยนั่นเอง"
ดังนั้น อาตมาพระผู้น้อยก็คงต้องกลับไปศึกษา มูลเหตุที่พระพุทธเจ้าบัญญัติวินัยขึ้นนั้นว่า มีที่มาเป็นอย่างไร? มีพุทธประสงค์เพื่อสิ่งใด? สิ่งที่เพิ่มขี้นมาใหม่สอดคล้องหรือขัดแย้งอย่างไรไหม? แล้วมามองหาเหตุผลเพื่อหาทางออกจากปัญหา ออกจากความทุกข์ ออกจากความไม่สบายกายใจ ความคับแค้นใจทั้งหลายทั้งมวลนั้น เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องของคนอื่นเขา เกิดขึ้นที่เขา ไม่เกี่ยวกับเรา (แต่กฎหมายดันมาเกี่ยวกับพระภิกษุ - สามเณรทุกรูป จึงพร้อมที่จะตื่นรู้กับเรื่องใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นในแวดวงคณะสงฆ์)
มูลเหตุที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติวินัยขึ้น และพุทธประสงค์ในการบัญญัตินั้น มีความชัดเจนในพระไตรปิฎก โดยเฉพาะใน “พระวินัยปิฎก” ที่บันทึกเหตุการณ์ในช่วงที่พระพุทธเจ้าทรงเริ่มวางระเบียบพระธรรมวินัยเพื่อหมู่สงฆ์ โดยสามารถอธิบายได้ดังนี้:
พระพุทธเจ้า มิได้ทรงบัญญัติวินัยไว้ตั้งแต่ต้นขณะที่เริ่มประกาศพระศาสนา เพราะในระยะแรก พระภิกษุทั้งหลายล้วนเป็นผู้มีอินทรีย์แก่กล้า บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ ไม่มีผู้ประพฤติผิดธรรมวินัย แต่เมื่อเวลาผ่านไป จำนวนภิกษุเพิ่มมากขึ้น มีผู้บวชด้วยศรัทธาที่หลากหลาย และยังมิได้บรรลุธรรม ทำให้บางรูปมีพฤติกรรมไม่เหมาะสม เช่น พูดจาไม่สมควร ประพฤติไม่เรียบร้อยในหมู่บ้าน หรือนำความเสื่อมเสียมาสู่สงฆ์ เมื่อมีเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้น พระพุทธเจ้าจึงทรงบัญญัติพระวินัยข้อแรกขึ้น เพื่อห้ามมิให้ภิกษุประพฤติในลักษณะนั้นอีก และเพื่อกำกับหมู่สงฆ์ให้ดำรงอยู่ในความเรียบร้อย
ตัวอย่างวินัยข้อแรก: “ปราชิกข้อ 1” (ปาณาติบาต) เกิดจากภิกษุรูปหนึ่งฆ่าคนตาย พระพุทธเจ้าจึงทรงบัญญัติห้ามเด็ดขาด
พุทธประสงค์ในการบัญญัติวินัย พระพุทธเจ้าทรงแสดงเหตุผลของการบัญญัติวินัยไว้โดยตรงในพระไตรปิฎก (พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์) ดังนี้: “ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราจะพึงบัญญัติสิกขาบทแก่ภิกษุทั้งหลาย ด้วยเหตุผล 10 ประการ คือ:
1. เพื่อความงดงามแห่งสงฆ์
2. เพื่อความสำรวมของภิกษุผู้มีความสำรวม
3. เพื่อห้ามผู้ไม่มีความสำรวม
4. เพื่อความสบายแก่ภิกษุผู้มีความสำรวม
5. เพื่อข่มความคะนองด้วยอำนาจกิเลส
6. เพื่ออยู่ร่วมกันโดยสมัครสมานสามัคคี
7. เพื่อป้องกันอันตรายจากภายนอก
8. เพื่อให้ผู้ยังมีศรัทธาเกิดศรัทธายิ่งขึ้น
9. เพื่อให้ผู้ไม่มีศรัทธาเกิดศรัทธา
10. เพื่อดำรงพระสัทธรรมให้อยู่ยั่งยืน”
สรุปความได้ว่า พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติวินัยขึ้น เพื่อตอบสนองต่อเหตุการณ์ที่ไม่เหมาะสมของภิกษุบางรูปในยุคหลัง และทรงมีพระประสงค์หลักเพื่อ:
- รักษาความเรียบร้อยของหมู่สงฆ์
- ส่งเสริมคุณธรรมและสมณะวัตร
- ธำรงพระศาสนาให้มั่นคง ยั่งยืน
- เป็นเครื่องฝึกตน และชำระกิเลส
ปัญหาที่เกิดขึ้นกับพระมหาเถระผู้ใหญ่ พระผู้น้อยเลยพลอยฟ้าพลอยฝนไปด้วยกัน ปัญหานี้เป็นปัญหาสำคัญที่สะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างในวงการพระพุทธศาสนาไทยอย่างลึกซึ้ง ทำให้มีมิติทั้งในด้าน ธรรมวินัย, กฎหมาย, ระเบียบทางสังคม, และศรัทธาประชาชน เอาไว้ฉบับหน้าจะมาวิเคราะห์ปัญหาเชิงโครงสร้าง เชิงระบบของกฎมหาเถระสมาคม เพื่อเป็นแนวทางของการปรับปรุงแก้ไขเชิงวิชาการสืบต่อไป
ส่วนผู้มีศรัทธาต้องการสนุบสนุนวัดพระธาตุทุ่งเศรษฐี กรุณา Donation check payable to "Buddhist Meditation Society" หรือ อีกบัญชีหนึ่งชื่อ Wat Phrathat Thongsethi ส่งไปตามที่อยู่ที่แจ้งไว้นี้ 6763 East Avenue H. Lancaster CA 93535 ส่วนท่านที่สะดวก Transfer money with Zelle ก็โอนด้วยเบอร์ (562) 249 - 3789 ขออนุโมทนาบุญ มา ณ โอกาสนี้ด้วย รูปขอจำเริญพร