ท่านสาธุชนผู้สนใจใฝ่ธรรม ภิกษุณีสงฆ์ฝ่ายเถรวาทในประเทศไทย ที่เคยเป็นปัญหาถกเถียงกันทางสังคมไทยนั้น สรุปมีหลักฐานว่า ได้เคยปรากฏอยู่จริง ใช่ไหม ?
องค์ประกอบของพุทธบริษัท ๔
พุทธบริษัท ๔ ประกอบด้วย
๑) ภิกษุสงฆ์ ๒) ภิกษุณีสงฆ์
๓) อุบาสก ๔) อุบาสิกา
ปัจจุบันคณะสงฆ์ไทยถือว่าไม่มีทั้งภิกษุณี สามเณรี และ สิกขมานา คำว่า สิกขมานา (อ่านว่า สิก-ขะ -มา-นา) เป็นคำศัพท์ทางพระพุทธศาสนา. สิกขมานา หมายถึง สามเณรี (คือผู้หญิงที่บวชเป็นสามเณร) ผู้มีอายุตั้งแต่ ๑๘ ปีขึ้นไปและสมาทานสิกขาบทเพื่อจะได้บวชเป็นภิกษุณีต่อไป. สิกขมานาถือศีล ๑๐ เหมือนสามเณร สิกขาบทที่สิกขมานาสมาทานอย่างเคร่งครัดมี ๖ ข้อ คือ ศีล ๖ ข้อแรกของศีล ๑๐ ตั้งแต่ข้อ ปาณาติปาตา จนถึง วิกาลโภชนา
สิกขมานาจะต้องรักษาศีล ๖ ข้อนี้อย่างเคร่งครัดไม่ขาดเลยตลอดเวลา ๒ ปีเต็ม ถ้าล่วงละเมิดสิกขาบทข้อใดข้อหนึ่งต้องตั้งต้นสมาทานศีล ๖ ข้อนั้นใหม่ และรักษาให้เคร่งครัดตลอด ๒ ปีเต็ม เมื่อครบแล้วภิกษุณีสงฆ์จะทำพิธีอุปสมบทให้เป็นภิกษุณี
คำว่า สิกขมานา มาจากคำกริยาในภาษาบาลีว่า สิกข (อ่านว่า สิก-ขะ) แปลว่า ศึกษา กับ มาน (อ่านว่า มา-นะ) ปัจจัย ประกอบรูปศัพท์เป็น สิกขมานา แปลว่า นางผู้กำลังศึกษาอยู่.
โยมผู้หญิงกับการเป็นภิกษุณี
เป็นสิ่งที่น่าศึกษาว่า ทำไม ภิกษุณีหมดไปในความเป็นพุทธบริษัท ๔ โดยเฉพาะนิกายเถรวาทในประเทศไทย หลายปีที่ผ่านมา เคยมีการถกเถียงกัน อันเป็นการเรียกร้องสิทธิสตรี จนมีข้อสรุปว่า
ไม่ใช่ปัญหาว่าพระสงฆ์เป็นฝ่ายที่ไม่อนุญาตให้ผู้หญิงบวช ติดอยู่ที่เงื่อนไขว่าใครจะเป็นผู้บวชให้ เพราะบทบัญญัติทางพระวินัยที่พระพุทธองค์ทรงวางหลักไว้ ซึ่งไม่เกี่ยวกับสิทธิสตรีอันใดเลย ยกตัวอย่างเช่น เรื่องการเป็นสามเณรี ถือครุธรรม ๘ ประการ ก็ไม่มีการส่งไม้ต่อมาถึงยุคสมัยปัจจุบันแล้ว เปรียบเสมือนการเก็บเมล็ดพันธุ์ข้าวไว้ปลูกในปีถัดไป ที่นี้พอถึงฤดูการเพาะปลูปปีถัดไป กลับไม่มีเมล็ดพันธุ์ที่จะใช้หว่าน ใช้ปลูกในปีนั้นก็ปลูกไม่ได้ แล้วปีต่อๆ มาก็จะหาเมล็ดพันธุ์ที่ไหนมาปลูกจริงไหม ส่วนไอ้ที่เห็นๆ กันอยู่ว่ามีพระภิกษุณีสงฆ์อยู่ในประเทศไทย ก็ต่างสังวาสต่างนิกายจะพูดรวมกันไม่ได้ ถึงจะยกขึ้นให้เป็นประเด็น ก็จะคุยกันคันละความหมาย เปรียบเสมือนเมล็ดพันธุ์ข้าที่ต่างสายพันธุ์นั่นเอง
อย่างเรื่อง ครุธรรม (ธรรมอันหนัก), หลักความประพฤติสำหรับนางภิกษุณีจะพึงถือเป็นเรื่องสำคัญอันต้องปฏิบัติด้วยความเคารพไม่ละเมิดตลอดชีวิต มี ๘ ประการ ที่ปรากฏนั้น คือ
๑. ภิกษุณีแม้บวชร้อยพรรษาแล้ว ก็ต้องกราบไหว้ภิกษุแม้บวชวันเดียว
๒. ภิกษุณีจะอยู่ในวัดที่ไม่มีภิกษุไม่ได้
๓. ภิกษุณีต้องไปถามวันอุโบสถและเข้าไปฟังโอวาทจากภิกษุทุกกึ่งเดือน
๔. ภิกษุณีอยู่จำพรรษาแล้วต้องปวารณาในสงฆ์ ๒ ฝ่ายโดยสถานทั้ง ๓ คือ โดยได้เห็น โดยได้ยิน โดยรังเกียจ (รังเกียจหมายถึง ระแวงสงสัยหรือประพฤติกรรมอะไรที่น่าเคลือบแคลง)
๕. ภิกษุณีต้องอาบัติหนัก ต้องประพฤติมานัตในสงฆ์ ๒ ฝ่าย (คือ ทั้งภิกษุสงฆ์และภิกษุณีสงฆ์) ๑๕ วัน
๖. ภิกษุณีต้องแสวงหาอุปสัมปทาในสงฆ์ ๒ ฝ่าย เพื่อนางสิกขมานา
๗. ภิกษุณีไม่พึงด่าไม่พึงบริภาษภิกษุไม่ว่าจะโดยปริยายใดๆ
๘. ไม่ให้ภิกษุณีว่ากล่าวภิกษุแต่ภิกษุว่ากล่าวภิกษุณีได้
บรรพชิต ผู้บวช, นักบวช เช่น ภิกษุ สมณะ ดาบส ฤษี เป็นต้น
แต่เฉพาะในพระพุทธศาสนา ได้แก่ ภิกษุและสามเณร (และภิกษุณี สิกขมานา สามเณรี) มักใช้คู่กับ คฤหัสถ์
(ในภาษาไทยปัจจุบัน ให้ใช้หมายเฉพาะนักบวชในพระพุทธศาสนา ไม่ว่าในฝ่ายเถรวาท หรือฝ่ายมหายาน)
ภิกษุณีสงฆ์ หมู่แห่งภิกษุณี, ประดาภิกษุณีทั้งหมดกล่าวโดยส่วนรวมหรือโดยฐานเป็นชุมนุมหนึ่ง, ภิกษุณีตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไป ประชุมกันเนื่องในกิจพิธี ;
ภิกษุณีสงฆ์เกิดขึ้นในพรรษาที่ ๕ แห่งการบำเพ็ญพุทธกิจ โดยมีพระมหาปชาบดีโคตมี พระมาตุจฉาซึ่งเป็นพระมารดาเลี้ยงของเจ้าชายสิทธัตถะ เป็นพระภิกษุณีรูปแรก ดังเรื่องปรากฏในภิกษุณีขันธกะและในอรรถกถา สรุปได้ความว่า
หลังจากพระเจ้าสุทโธทนะปรินิพพานแล้ว วันหนึ่งขณะที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่นิโครธารามในเมืองกบิลพัสดุ์ พระนางมหาปชาบดีโคตมีเสด็จเข้าไปเฝ้าและทูลขออนุญาตให้เสด็จสละเรือนออกบวชในพระธรรมวินัย แต่การณ์นั้นมิใช่ง่าย พระพุทธเจ้าตรัสห้ามเสียถึง ๓ ครั้ง
ต่อมาพระพุทธเจ้าเสด็จไปยังเมืองเวสาลี ประทับที่กูฏาคารศาลาในป่ามหาวัน พระนางมหาปชาบดีโคตมีไม่ละความพยายาม ถึงกับปลงผมนุ่งห่มผ้ากาสาวะเอง ออกเดินทางพร้อมด้วยเจ้าหญิงศากยะจำนวนมาก (อรรถกถาว่า ๕๐๐ นาง) ไปยังเมืองเวสาลี และได้มายืนกันแสงอยู่ที่ซุ้มประตูนอกกูฏาคารศาลา พระบาทบวม พระวรกายเปรอะเปื้อนธุลี พระอานนท์มาพบเข้า สอบถามทราบความแล้วรีบช่วยไปกราบทูลขออนุญาตให้ แต่เมื่อพระอานนท์กราบทูลต่อพระพุทธเจ้าก็ถูกพระองค์ตรัสห้ามเสียถึง ๓ ครั้ง
ในที่สุดพระอานนท์เปลี่ยนวิธีใหม่ โดยกราบทูลถามว่าสตรีออกบวชในพระธรรมวินัยแล้ว จะสามารถบรรลุโสดาปัตติผลจนถึงอรหัตตผลได้หรือไม่
พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่าได้
พระอานนท์จึงอ้างเหตุผลนั้น พร้อมทั้งการที่พระนางมหาปชาบดีเป็นพระมาตุจฉาและเป็นพระมารดาเลี้ยง มีอุปการะมากต่อพระองค์ แล้วขอให้ทรงอนุญาตให้สตรีออกบวช
พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตโดยมีเงื่อนไขว่า พระนางจะต้องรับปฏิบัติตามครุธรรม ๘ ประการ พระนางยอมรับตามพุทธานุญาตที่ให้ถือว่า การรับครุธรรมนั้นเป็นการอุปสมบทของพระนาง ส่วนเจ้าหญิงศากยะที่ตามมาทั้งหมด พระพุทธเจ้าตรัสอนุญาตให้ภิกษุสงฆ์อุปสมบทให้
ขอตอบปัญหาที่โยมอุตส่าห์โทรมาถามว่า ส่วนในประเทศไทยไม่ปรากฏหลักฐานว่าได้เคยมีการประดิษฐานภิกษุณีสงฆ์ฝ่ายเถรวาทเลย จึงมิอาจที่จะอนุเคราะห์ได้ ตามที่ต้องการโกนผมบวชเป็นภิกษุณี นุ่งห่มผ้าย้อมน้ำฝาด หรือสีชมพูอ่อน อะไรๆ นั้น แต่ก็ขออนุโมทนาในกุศลจิตนั้นว่า มีใจเป็นมหาบุญ เป็นมหากุศลยิ่งใหญ่นั้นด้วย เว้นแต่จะโกนผมบวชตามเจตนาที่ตั้งใจ สมาทานอุโบสถศีล (ศีล ๘) ก็พออนุเคราะห์ได้ด้วยประการฉะนี้