ธรรมะสมสมัย

หลวงพ่อไสว ชมไกร



หน้ายักษ์ หน้ายิ้ม

กาลเวลาผ่านมาเมื่อปีกลาย หลายๆ ท่าน ได้ร่วมเป็นเจ้าภาพสร้างเทวรูป ท้าวเวสสุวรรณ ถวายวัดทุ่งเศรษฐี เมืองเลควูด ด้วยคติว่าการสร้างเทวรูปท้าวเวสสุวรรณไว้หน้าวัด หน้าอุโบสถ หรือหน้าวิหารลานพระเจดีย์ จะเกิดบุญฤทธิ์ปกป้องคุ้มครองพุทธสถานนั้นๆ และคุ้มครองผู้คนมนตรีให้ปลอดจากภัยพิบัติ พร้อมบันดาลโชคลาภความสำเร็จสมหวังให้กับกราบไหว้บูชา เพราะถือว่าท้าวเวสสุวรรณ เป็นเทพผู้ประกอบสัมมาทิฏฐิ ปวารณาอุทิศตนเพื่อปกป้องพระพุทธศาสนา และศาสนิกชนทุกคนทุกท่านให้ปลอดภัยได้ลาภผล เพราะฉะนั้นหากท่านใดที่เคยไปวัดทุ่งเศรษฐี มาแล้วจะเห็นว่ามียักษ์ ยักษ์นั้นหน้าตาน่ากลัวจริงๆ ถึงแม้ว่าใบหน้าเทวรูปท่านจะขมึงขึงเครียด ดูโกรธขึงเหี้ยมโหด น่าหวาดหวั่นสะพรึงกลัว บางท่านกล่าวว่า ดูสิ....สังเกตดูดวงตาท่านสิแดงกล่ำเลย เพราะบางมุมมองแล้ว แสงส่องถูกเม็ดพลอยที่ดวงตาเทพสะท้อนลงมายังดวงตาของเรา ทำให้ขนลุกชูชัน น่ากลัว แต่ด้วยองค์ท่านไม่ใหญ่โตมากเกินไปเลยทำให้ไม่น่ากลัว ที่จริงก็ไม่น่ากลัว เมื่อเพ่งมองรูปยักษ์แล้วกลับทำให้ทุกๆ ที่เดินทางไปวัดทุ่งเศรษฐี เอมอิ่มยิ้มผ่องใส ได้สุข ละวางทุกข์หลุด หยุดปัญหา แล้วเป็นมงคลแก่ผู้ได้พบเห็น


หน้ายักษ์

หน้าที่ดูดุดันของยักษ์เวสสุวรรณ คล้ายดังเป็นกระจกเงาส่องเข้าถึงส่วนของจิตอย่างลึกซึ้ง ของผู้คนที่เดินทางมาไหว้พระในอารามิกสถานวัดทุ่งเศรษฐีว่า "ให้มีสติๆ" ถ้านึกโกรธนึกเกลียด นึกพยาบาทอาฆาตแค้นเคืองใครๆ มา ก็ให้มีสติเสมอว่า นี่วันนี้เรามาวัดนะ เราจะต้องไม่ผูกพยาบาท อาฆาตจองเวรต่อใครๆ จะปลดปลงปล่อยวาง ให้อภัยกับทุกสิ่งทุกอย่างและกับทุกๆ คน ที่ได้กระทำต่อเรา ก็ตาม หรือแม้เราได้ล่วงเกินกระทำต่อใครๆ ก็ตาม วันนี้เราจะไม่กล่าวหาว่าร้าย ไม่ทำลายใครๆ คนอื่นเขาให้เกิดความทุกข์ความกังวลใจ ตัวเราเองก็จะพยายามที่จะขูดเกลากิเลส เหตุถอนตนออกจากอวิชชา เป็นต้นว่า ความโลภ ความโกรธ ความลุ่มหลง ดังนั้นเราต้องบอกตนเองว่าจะไม่หน้ายักษ์ เพราะหน้ายักษ์ไม่เจริญรุ่งเรืองโดยประการทั้งปวง หน้ายักษ์แล้วทำให้ตนเองอารมณ์เสีย และพลอยให้ผู้อื่นอารมณ์เสียไปด้วย ไม่ใช่เฉพาะมาที่วัดด้วย ไปที่ไหนๆ ก็ไม่ดีไปหมด บางคนปากหวานก้นเปรี้ยว หน้ายิ้มใจยักษ์ก็มีเยอะแยะ จึงต้องบอกตัวเองว่า "ต้องมีสติๆ" เป็นต้น


หน้ายิ้ม

หน้าตาที่ดูดีด้วยอัธยาศัยไมตรี เป็นหน้าต่างของความสุขสันต์ ผ่องใส ยกตัวอย่างเรายิ้มให้ กระจกๆ ก็ส่งยิ้มให้เรา เราหยิบยื่นไมตรีจิตให้กับกัลยาณมิตรๆ ก็ตอบแทนเราด้วยไมตรีจิตที่ดีงาม หลักธรรมของคนดีหรือหลักธรรมของสัตตบุรุษ 7 ประการ ได้แก่ รู้จักเหตุ รู้จักผลรู้จักตน รู้จักประมาณ รู้จักกาล รู้จักปฏิบัติ และรู้จักบุคคล ข้อว่ารู้จักบุคคลหรือบุคคลัญญุตา หมายถึงความเป็นผู้รู้จักปฏิบัติตนให้เหมาะสมกับบุคคล ซึ่งมีความแตกต่างกันการที่บุคคลใดนำเอาหลักสัปปุริสธรรม 7 มาใช้ในการดำเนินชีวิต จะช่วยให้ ชีวิตพบกับความสุขในชีวิตได้ ดังนั้นหน้าตาที่ยิ้มแย้มแจ่มใส แม้จะไม่รวย สวย เก๋ แต่ก็มีเสน่ห์จับใจ หน้ายิ้มจึงเป็นที่รักของมหาชนรวมไปถึงเทพไท้เทวาโน้นแหละ

อนุโมทนาทุกท่านที่ได้ร่วมเป็นเจ้าภาพสร้างเทวรูป ท้าวเวสสุวรรณ นับเป็นกิจกรรมทางบุญกุศลที่เกิดขึ้นจากผู้มิจิตศรัทธาร่วมกัน รวบรวม ปัจจัยบริจาคส่งให้อาตมาเป็นผู้ดำเนินการทุกอย่างส่งมาจากเมืองไทย จากที่ได้รับรายงานเบื้องต้นและได้บันทึกเกี่ยวกับรายนามผู้ส่งเงินให้จัดซื้อจัดสร้าง โดยบุคคลหลักๆ นั้นได้แก่ คุณซันนี่ เจ้าของ HC Food และรายนามผู้ร่วมศรัทธาสร้างเทวรูป “ท้าวเวสสุวรรณ”ประกอบด้วย ดังนี้

1) ครอบครัว เชียงกราว

2) คุณพเยาว์ ชอบชม

3) คุณเบนท์ คุณสุมาลี วิวัฒน์พัฒนกูล

4) คุณนา คุณวัน เมืองเลคทาโฮ่

5) คุณสมจิตร คุณทอม เบอร์ดี้

6) คุณสมภพ คุณพรรณี

7) คุณบิ๊ก (เมืองไทย)

8) คุณศศิธร อัตรนาถ (คุณเอื้อง)

9) คุณป๋าสุรศักดิ์ คุณแม่สุมาลี มีวงศ์ธรรม

10) คุณต่าย ณัฐพิศุทธิ์ เผือกสะอาด

11) คุณโอปอร์ ณัฐธิดา เสนาสุ

12) คุณกิรณา บัวฮุมบุรา

(รายชื่อนี้แสดงเฉพาะเจ้าสร้าง ไม่ได้รวมเจ้าภาพวันที่จัดงานประดิษฐานสมโภช ซึ่งทางวัดขออนุโมทนาทุกคนทุกท่านมา ณ โอกาสนี้)

ความเชื่อเรื่อง ท้าวเวสสุวรรณ (จอมอสูรผู้ใจบุญ เทพผู้มั่งคั่งด้วยโภคทรัพย์)

ตำนานทางพระพุทธศาสนาเชื่อกันว่าในอดีตชาติ ท้าวเวสสุวรรณ เคยเป็นพราหมณ์เปิดโรงงานค้าขายหีบอ้อยจนมั่งคั่งร่ำรวย ด้วยความใจบุญจึงได้นำเงินทองไปบริจาคให้ผู้ยากไร้ และด้วย กุศลผลบุญที่ ท้าวเวสสุวรรณ บำเพ็ญมานับหลายพันปี พระพรหม และ พระอิศวร จึงให้พรแก่ท้าวเวสสุวรรณ ให้เป็นอมตะ และเป็นเจ้าของทรัพย์สมบัติทั่วปฐพี จึงเป็นที่มาเทพเจ้าแห่งความร่ำรวย ดังนั้นผู้คนจึงนิยมจำหลักรูป ท้าวเวสสุวรรณ ไว้เคารพบูชาเพื่อความมั่งคั่งทางทรัพย์

อีกหนึ่งประการ ตรงตามความหมายของชื่อ "ท้าวเวสสุวรรณ" คือ คำว่า "เวส" แปลว่า พ่อค้า จึงหมายถึงพ่อค้าอันมีทรัพย์ ได้แก่ ทองคำ อีกหนึ่งตำนานเชื่อกันว่า ในชาติหนึ่ง ท้าวเวสสุวรรณ ซึ่งเดิมชื่อ กุเวรพราหมณ์ ได้ทำบุญ กุศลมากจนชาติต่อมาได้เป็น กษัตริย์ครองกรุงราชคฤห์ พระนามว่า พระเจ้าพิมพิสาร และทรงเป็น พระสหายกับเจ้าชายสิทธัตถะ ต่อมาเจ้าชายสิทธัตถะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้เสด็จมา โปรดพระเจ้าพิมพิสาร จนบรรลุเป็นโสดาบัน และได้ถวายพระเวฬุวันมหาวิหารให้พระพุทธเจ้า ให้ เข้าประทับ จึงเป็นอานิสงส์ให้ได้วิมานอันสวยงาม และการที่พระเจ้าพิมพิสารถวายทานบ่อย ๆ จึง เป็นปัจจัยให้มีทิพยสมบัติมากมาย เมื่อได้เป็นเทวดาก็เป็นเทวดาที่ใจบุญ และทรงมีอำนาจมาก ขณะที่ตำนานของพรามหณ์ เชื่อกันว่า ท้าวเวสสุวรรณ หรือ ท้าวกุเวร เป็นพี่ชายต่างมารดา ของทศกัณฐ์ แต่ไปนับถือท้าวมหาพรหม ผู้เป็นเทวดา เพราะปรารถนาจะบำเพ็ญบารมี ทำให้ผิด ใจกับพ่อซึ่งอยู่ในตระกูลยักษ์ โดยท้าวมหาพรหมทรงโปรดปรานท้าวกุเวร จึงประทานบุษบกให้ เพื่อ ให้ล่องลอยไปไหนๆ ได้ตามใจปรารถนา ก่อนที่ทศกัณฐ์ จะไปแย่งบุษบกของท้าวกุเวร ที่พระมหา พรหมประทานให้ไป และยึดกรุงลงกาที่ท้าวกุเวรปกครองอยู่มาได้สำเร็จ เหตุการณ์การเสียเมือง จึงทำให้ท้าวมหาพรหมสร้างนคร "ลงกา" ใหม่ให้ท้าวกุเวรด้วยเสน่หา ดังนั้น เราอาจจะเคยเห็นว่า วัดวาอารามต่าง ๆ หรือด้านหน้าถ้ำ จะมีรูปปั้น ยักษ์ 1 ตนบ้าง 2 ตนบ้าง ยืนถือกระบองค้ำพื้นเฝ้าหน้าประตูโบสถ์หรือวิหารที่เก็บของมีค่า หรือโบราณวัตถุ หากเห็นยักษ์ที่ยืนปกปักรักษาอยู่ด้านหน้านั้น นั่นก็คือ ท้าวเวสสุวรรณ นั่นเอง

และนอกจาก ท้าวเวสสุวรรณ จะมีหน้าที่ปกปักรักษาพระพุทธศาสนาแล้ว ท้าวเวสสุวรรณ ยังมีหน้าที่จดความดีของคนทางทิศเหนือไปจารึก และประกาศให้เทพยดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ได้รับรู้อีกด้วย ท้าวเวสสุวรรณ (ท้าวกุเวโร) หรือในภาษาพราหมณ์เรียกว่า "ท้าวกุเวร" ถ้าในพระพุทธศาสนา จะเรียก "ท้าวไพสพ" เป็นอธิบดีแห่งอสูร หรือเจ้าแห่งภูตผีปีศาจทั้งหลาย โดย ท้าวเวสสุวรรณ เป็นหนึ่งในท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่ ผู้คุ้มครองดูแลโลกมนุษย์ สถิตอยู่บนสวรรค์ชั้นจาตุมหาราช ประทับทางทิศเหนือมีอสูร รากษส และภูตผีปีศาจเป็นบริวาร

เพราะท้าวเวสสุวรรณ เป็นเจ้าแห่งอสูร คนโบราณจึงมักทำรูป ท้าวเวสสุวรรณ แขวนไว้เหนือ เปลเด็กอ่อน เพราะเชื่อว่าจะช่วยป้องกันภูตผีปีศาจไม่ให้มารบกวนเด็กเล็กได้ และนิยมทำผ้ายันต์รูป ท้าวเวสสุวรรณ รวมทั้งจำหลักรูป ท้าวเวสสุวรรณ ไว้ที่มีดหมอของสัปเหร่อ เพื่อกำราบวิญญาณ และยังมีผู้พกพารูป ท้าวเวสสุวรรณ หรือทำเป็นเครื่องรางของขลังป้องกันภัยจากวิญญาณอีกด้วย ท้าวเวสสุวรรณ เป็นยักษ์ที่มีผิวกายและพัสตราภรณ์สีเหลืองทอง จิตใจดีงาม และอุทิศตน ถวายพิทักษ์รักษาพุทธสถาน และพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดังนั้น หากใครที่เดินทางไปยังวัดทุ่งเศรษฐี เมืองเลควูด แคลิฟอร์เนีย จะเห็นแท่นทำเป็น ที่ประดิษฐานเทวรูป ท้าวเวสสุวรรณ เพื่อปกปักคุ้มครองพระพุทธศาสนา ไม่ให้หมู่มารมารังควาน รวมทั้งปกป้องคุ้มครองแก่ผู้นั่งสมาธิปฏิบัติพระกรรมฐานให้ปลอดภัย ให้พ้นจากบ่วงกรรม ให้ไกลจากบ่วงแห่งมาร อันได้แก่ ภัยจากเจ้ากรรมนายเวร และภูตพยาบาททั้งปวงที่เป็นข้าศึกของ การบำเพ็ญบุญ จากคติดังกล่าวนี้ทำให้ท้าวเวสสุวรรณ จอมอสูรผู้ใจบุญ เทพแห่งโภคทรัพย์มั่งคั่งร่ำรวย จึงเป็นที่รักของมหาชน ตลอดมาทุกกาลสมัย


คาถาบูชาท้าวเวสสุวรรณ

ในคัมภีร์โบราณ กล่าวไว้ว่าผู้ใดหวังความเจริญในลาภยศ ทรัพย์สินเงินทอง อำนาจวาสนา ให้บูชารูปท้าวเวสสุวรรณ หรือ ท้าวกุเวร ตามคาถาบูชาต่อไปนี้ "ตั้ง นะโม 3 จบ

"อิติปิโสภะคะวา ยมมะราชาโน ท้าวเวสสุวรรณโณ, มรณังสุขัง อะหังสุคะโต นะโมพุทธายะ, ท้าวเวสสุวรรณโณ จตุมหาราชิกา ยักขะพันตา ภัทภูริโต, เวสสะ พุสะ พุทธัง อะระหัง พุทโธ ท้าวเวสสุวรรณโณ นะโมพุทธายะ."