ธรรมะสมสมัย

หลวงพ่อไสว ชมไกร



อยู่อเมริกา แต่ไม่รู้จักอเมริกา

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาค ผู้เป็นสัพพัญญู ผู้เป็นบรมครูของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย สาธุชนพุทธบริษัท ท่านผู้เจริญทั้งหลาย เราอยู่ประเทศอเมริกากันก็จริง แต่ไม่พยายามเรียนรู้แก่นแท้เจตนารมณ์ของบรรพชนอเมริกา ได้แต่มาเสพ มาสร้าง มาลุ่มหลงสิ่งในใหม่ๆ หลวงพ่อก็ไม่ได้รู้อะไรๆ มากมายนักหรอก แต่พอดีในขณะเขียนธรรมะสมสมัย ฉบับเสาร์นี้แล้วจู่ๆ มันก็แว๊ปๆ เข้ามา เลยเปลี่ยนเรื่อง เปลี่ยนหัวข้อพอให้เตะหูเตะตาขึ้นต้นมา เรื่องนี้จริงๆ จะพูดถึงโยมท่านหนึ่งวัดมาทำบุญ ได้พูดถึงความเป็นอริยะบุคคล แต่ไม่ได้พูดไปถึงที่มีในพระสูตรพระวินัยโดยตรงนะ คือเมื่อฟังโยมพูดแล้ว ไม่ใช่ พระอริยะเจ้า 4 คู่ หรือ 8 บุรุษบุคคล ตามที่เราสวดๆ กันในถวายพรพระ หรือตามบททำวัตรเช้า - เย็น เลยทำให้ต้องสืบที่มาจากพระสูตรมาเขียนให้เป็นข้อมูลความรู้ แต่ใช้บทนำว่า "อยู่อเมริกา แต่ไม่รู้จักอเมริกา อยู่กับพระพุทศาสนา ไม่รู้จักพระอริยะบุคคล"


อริยะ - สัตบุรุษ

ญาติโยมท่านทั้งหลาย คำว่า อริยะ ในคำเป็นต้นว่า อริยานํ อทสฺสาวี ท่านกล่าวหมายเอา พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระพุทธสาวก เพราะเป็นผู้ไกลจากกิเลส ไม่ดำเนินไปในทางเสื่อม ดำเนินไปในทางเจริญ และอันชาวโลกพร้อมทั้งเทวโลก พึงดำเนินตาม อีกอย่างหนึ่ง พระอริยะในที่นี้ก็คือพระพุทธเจ้านั่นเอง สมดังที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระตถาคตท่านเรียกว่า อริยะ ในโลกพร้อมทั้งเทวโลก ฯลฯ

อนึ่ง พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระสาวกของพระตถาคตเจ้า พึงทราบว่า สัตบุรุษ ในคำว่า สปฺปุริสา นี้ จริงอยู่พระปัจเจกพุทธเจ้า เป็นต้นเหล่านั้น ชื่อว่า โสภณบุรุษ เพราะประกอบด้วยคุณอันเป็น โลกุตตระ เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า สัตบุรุษ.

อีกอย่างหนึ่ง สัตบุรุษเหล่านั้นทั้งหมดเทียว ท่านกล่าวแยกออกเป็น 2 พวก. จะเป็น พระพุทธเจ้าทั้งหลายก็ดี พระปัจเจกพุทธเจ้า และพุทธสาวกก็ดี เป็นทั้งพระอริยะและสัตบุรุษ สมดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า บุคคลใดแลเป็นนักปราชญ์ ผู้กตัญญูกตเวที เป็นกัลยาณมิตร มีความภักดีมั่น กระทำการช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก โดยความเต็มใจ บัณฑิตทั้งหลายกล่าวผู้เช่นนั้นว่า สัตบุรุษ ดังนี้

ด้วยคำมีประมาณเท่านี้ว่า กลฺยาณมิตฺโต ทฬฺหภตฺติ จ โหติ ดังนี้ ท่านกล่าวหมายเอาพระพุทธสาวก ด้วยคำว่า กตญฺญุตา เป็นต้น ท่านกล่าวหมายเอาพระปัจเจกพุทธเจ้า และพระพุทธเจ้า ดังนี้แล

บัดนี้ ท่านผู้ใดมีปกติไม่เห็นพระอริยเหล่านั้น และไม่ยินดีในการเห็น ผู้นั้น พึงทราบว่า มีปกติไม่เห็นพระอริยเจ้าทั้งหลาย ดังนี้ และการเห็นนั้นแยกออกเป็น 2 คือ

1) ไม่เห็นด้วยตา

2) ไม่เห็นด้วยญาณ

ใน 2 อย่างนั้น การไม่เห็นด้วยญาณ ท่านประสงค์เอาในที่นี้ พระอริยะทั้งหลายถึงบุคคลจะเห็นด้วยมังสจักษุ หรือทิพยจักษุ ก็ยังไม่ชื่อว่าได้เห็น เพราะจักษุเหล่านั้นรับเอาเพียงอุปาทายรูป ไม่ใช่ยึดเอาความเป็นพระอริยะเป็นอารมณ์


อยู่กับพระอริยะ แต่ไม่รู้จักพระอริยะ

ดังได้สดับมา อุปัฏฐากของพระเถระผู้ขีณาสพ ผู้อยู่ในจิตตลดาบรรพต บวชเมื่อแก่ อยู่มาวันหนึ่ง เที่ยวไปบิณฑบาตกับพระเถระรับเอาบาตรจีวรของพระเถระเดินตามหลังมา

- ถามพระเถระว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ บุคคลเช่นไรชื่อว่า พระอริยะ

- พระเถระตอบว่า บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นคนแก่ รับเอาบาตรและจีวรของพระเถระ ทำวัตรปฏิบัติแม้เที่ยวไปกับพระอริยะ ก็ย่อมไม่รู้จักพระอริยะ โยม พระอริยะ ทั้งหลาย รู้ได้ยากอย่างนี้ ดังนี้ เมื่อพระเถระแม้พูดอย่างนี้ อุปัฏฐากนั้น ก็ยังหารู้ไม่ เพราะฉะนั้น การเห็นด้วยจักษุ ไม่ชื่อว่าเห็น

การเห็นด้วยญาณเท่านั้น ชื่อว่าเห็น สมดังที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า ดูก่อนวักกลิ ประโยชน์อะไรด้วยกายอันเปื่อยเน่านี้ อันเธอเห็นแล้ว, ดูก่อนวักกลิ ผู้ใดแล เห็นพระธรรม ผู้นั้นชื่อว่า เห็นเราตถาคต ดังนี้

เพราะฉะนั้น บุคคลแม้เห็นอยู่ (ซึ่งพระอริยะ) ด้วยจักษุ แต่ไม่เห็นอนิจจลักษณะ เป็นต้น ที่พระอริยเจ้าทั้งหลายเห็นแล้วด้วยญาณ และไม่บรรลุธรรมที่พระอริยเจ้าบรรลุแล้ว พึงทราบได้เลยว่า ท่านนั้นไม่รู้จัก ไม่เห็นพระอริยเจ้าทั้งหลาย เพราะธรรมที่ทำให้พระอริยะ และความเป็นพระอริยะอันบุคคลนั้นยังไม่เห็น ดังนี้.

อ่านข้อความนี้แล้วอาจต้องทำความเข้าใจพอสมควร และเดี๋ยวนี้เข้ามีละครสั้นตามเฟสบุ๊ค ตามยูทูป เขามักจะขึ้นข้อความตอนหลังจากที่ละครจบว่า "อย่าด่วนตัดสินคนอื่นเพียงแค่เห็นภายนอก (ตาเนื้อ จักษุธาตุ) ต้องเห็นด้วยญาณ เข้าถึงด้วยญาณ เพราะส่วนมากมักจะยกอาจารย์ของตนเป็นอริยะไปทั้งหมด แล้วยังไม่เพียงแค่นั้นกลับได้กล่าวปรามาส ดูถูก, สบประมาท, ดูหมิ่นดูแคลน, บุคคลอื่นอย่างกับว่าตนเองนั้นได้เป็นอริยะบรรลุธรรมสูงส่งแล้ว

โลกหนอโลก ชั่งไม่เผื่อแผ่ความยุตติธรรมให้เกิดปฏิปทาแก่ผู้ที่จำต้องนั่งฟัง ยืนฟัง ยอดอดทนฟัง นี่แหละชีวิตพระธรรมทูตสายต่างประเทศ ต้องอยู่ให้เป็น คือ พระต้องยอมเป็นกระโถนให้สังคม และหรือญาติโยมบางท่านระบายอารมณ์ได้ ก็อยู่เป็นสุข นี่และที่ต้องขึ้นหัวเรื่องว่า อยู่อเมริกา แต่ไม่รู้จักอเมริกา คือ ไม่รู้จักเคารพเสรีภาพของคนอื่น ใช้ตนเองเป็นเกณฑ์ตัดสินผู้อื่นผิดๆ สำคัญตนเองว่าเป็นผู้รู้ เป็นผู้ใช้ชีวิตอยู่ในอเมริกามานานมากกว่า 30 - 40 ปี อ้างตนว่าเป็นอเมริกัน แต่ก็ร้องเพลงชาติอเมริกาไม่ได้ เสมือนหนึ่งอ้างและบอกผู้อื่นว่าตนนั้นเป็นพุทธศาสนิกชน แต่อาราธนาศีล 5 และอธิบายความหมายของรัตนะ 3 ประการไม่ได้ แล้วจะเอาพระพุทธศาสนาไปรอดได้ฦๅ รูปขอจำเริญพร