ความจริงหรือความคิด
ไพฑูรย์ สุขสิขารมย์
ความจริงหรือความคิด 3 กุมภาพันธ์ 2561

กรุงเทพฯ เป็นเมืองน่ารักเสมอ คนต่างชาติมาท่องเที่ยวหลงใหลในกรุงเทพฯ ท้องหิวกรุงเทพฯ มีร้านให้เลือกตามความพอใจของชีวิตและสตังค์ในกระเป๋า ถ้าชอบความเป็นธรรมดาของชีวิตไม่ต้องเดินเข้าร้านหรู มีคนพานั่งหยิบเมนูโค้ง กินเสร็จเป็นมารยาทของคนรุ่นใหม่ เมื่อมีคนยืนให้บริการ กินเสร็จก็ต้องดูแลให้เงินที่เรียกว่าทิป

เมื่อชอบความเป็นธรรมดา อาหารริมทางมีทั่วไป ถ้าเลือกกำลังปิ้งร้อนๆ น่าจะปลอดภัยมากกว่าอาหารวางในถาด รอมานาน ฝุ่นละอองผสมปนเป ถ้าคิดว่าท้องไม่คุ้นก็อย่าเสี่ยง แต่ถ้าชีวิตจะกินที่ไหนท้องไม่เคยบ่นไม่เคยท้องร่วง เชิญเถอะขอรับ ราคายุติธรรมมาก คนที่ยืนขายชีวิตไม่คิดจะร่ำรวยเร็ววัน ยืนขายชีวิตมีงานทำ มีอาหารดูแลชีวิต ขยันและขยับขยายธุรกิจ อาจไม่เร็ววันแต่วันข้างหน้า อาจจะมีชีวิตที่ดี มากคนเชื่อเรื่องความแตกต่างของชีวิต

จะเช้ามืด สาย เลยเที่ยง หัวค่ำ แม้แต่หลังเที่ยงคืน กรุงเทพฯ ไม่เคยเหงา จะมีคนเดินไปมา ยิ่งดึกดื่นย่านบาร์ธุรกิจ คนยิ่งคึกคักสนุกสนาน ครับเป็นส่วนของชีวิตคนอยู่ในโลกทำงาน เหน็ดเหนื่อย ถึงจะยังไม่มีความรู้สึกเซ็ง แต่ชีวิตค่ำคืน ยิ่งรุ่งขึ้นไม่ทำงาน การหาความสุขให้ชีวิตอยู่ในความคิดของคนกรุงเทพฯ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยว ต่างคิดเหมือนกัน ยิ่งได้สัมผัสลมหายใจอุ่นจากคนแปลกหน้าเป็นความสุข กรุงเทพฯ มีบริการ

ผมคิดถึงคำพูดที่ว่า ชีวิตคนเราจะอยู่ไหนๆ จะมุมอับหรือมุมสว่าง ถ้ารู้จักใช้ชีวิต คลุกคลีกับสังคม คือ คนรอบด้าน ถ้าเรามีความสุขอยู่แล้ว ไม่เก็บความสุขไว้คนเดียว รู้จักแชร์ ความสุขจะแผ่วงกว้าง ยิ่งสุขขึ้นๆ เผอิญความทุกข์เข้ามาสู่กายใจ ถ้ารู้จักระบายความทุกข์ให้เพื่อน คนคุ้นเคย เป็นความจริงทุกข์จะลดลง และถึงจะไม่หมดไปในระยะสั้น แต่ความทุกข์ก็จะไม่เผาผลาญชีวิตอีกต่อไป คนรอบข้างจะที่ทำงาน วัด การพูดคุยระบายรับประกันความรู้สึกดีเกิด

วันหนึ่งผมนั่งแท็กซี่จากสยามกลับบ้าน เวลาประมาณบ่ายสองโมง ครับรถยังไม่ติดมาก คนขับพยักหน้า ระหว่างทางคุยกัน นิสัยผมชอบคุย เพราะคิดว่าการสนทนา นอกจากจะสร้างความคุ้นเคย ยังลดภาวะเงียบขรึม ขับรถมานานแล้วหรือ ครับผมเป็นคนอีสาน พ่อแม่รับจ้างสารพัด หน้าทำนาก็รับจ้างไถนา คราดนา พอถึงเวลาเก็บเกี่ยวข้าว พ่อแม่ก็ไปรับจ้างเกี่ยวข้าว พอหมดหน้า ก็รับจ้างงานสารพัด ขุดดิน รับจ้างทำไร่ ยิ่งช่วงหลัง การปลูกยางพาราไม่เป็นเพียงทางภาคใต้เท่านั้น มากที่นิยมปลูก ตอนปลูกใหม่ราคายางดี พอคนปลูกมากราคาตกต่ำ จนเรียกว่าขาดทุน ครับเกษตรกร ชีวิตขึ้นอยู่กับธรรมชาติ แดด ฝน และสำคัญราคาในตลาด ผมไม่เข้าใจ แต่ละปีหน้าเกี่ยวข้าวอยู่ในยุ้งฉาง ผลไม้ออกเยอะ ราคาจะลดลง ความรู้สึกถูกเอาเปรียบ หลายคนเคยพูดว่าเหมือนเรือจ้าง พอผู้โดยสารขึ้นฝั่งถีบเรือทิ้ง ชาวเกษตรหมดทางเลือก คงเหมือนต่อราคาเวลาซื้อ แล้วลดไม่ได้ คนซื้อก็เดินออก แต่ชาวไร่ชาวนา ความเป็นจริงแตกต่างมาก ผลิตผลกว่าจะได้ปีละครั้งสองครั้ง ระหว่างรอผลิตผล ไม่มีงานทำต้องกินต้องใช้ ชาวบ้านอย่างพวกผม พอปลายทางของชีวิตจะมีหนี้สินกันเกือบทั้งนั้น ซ้ำร้ายโรคร้ายเกิดขึ้นต้องใช้เงิน โดยเฉพาะผลไม้ไม่ขายก็เน่า จำต้องขายถึงรู้ถูกเอาเปรียบ

ผมเติบโตการศึกษาแค่ ม.4 คือ ม.6 สมัยคุณลุง ผมจึงย้ายตัวเองมากรุงเทพฯ กรุงเทพฯ ถึงจะแออัด ที่อยู่อาศัยหนาแน่น ผุ้มีการศึกษาเรียกแหล่งที่ผมอยู่ “สลัม” ชีวิตของคนสลัมแต่ละวัน ไม่มีอะไรใหม่ ไม่กระตุ้นให้มานะขยัน และสร้างความใฝ่ผัน คนสลัมแออัด แตกต่างพื้นเพ ไม่เป็นแบบที่ดี นี่ดีกรุงเทพฯ มีงานมากมายโดยเฉพาะการใช้กำลัง แม้แต่คนมีการศึกษาโอกาสดีๆ ก็เข้ามาในชีวิต ผมมาอยู่กรุงเทพฯ ถึงจะทำงานหนัก วันละ 12 ชั่วโมงขับรถ อ้อรถผมเช่า เช่าเป็นเดือน ผมมีเวลาว่างเมื่อไหร่ ก็จะออกรถ 3 ชั่วโมง นอนน้อยหน่อย ถ้าวันไหนโชคช่วยได้ผู้โดยสารตลอด และจุดหมายปลายทางช่วงรถวิ่งรถไม่หนาแน่น ที่บอกว่าออก 3 ชั่วโมง ผมหมายถึงวิ่งวันละ 10-12 ชั่วโมงอยู่แล้ว กลับบ้านมีเวลา ออกรถวิ่งต่อ ครับคนจนของโลกต่างต้องทำงานหนัก หลายคนทำงานสองแห่ง ไม่มีวันหยุดเสาร์-อาทิตย์

ท่านเคยสังเกตไหมขอรับ กรุงเทพฯ เดี๋ยวนี้ เพื่อนบ้านอย่างพม่า เขมร ลาว หอบเสื้อผ้ามารับจ้างทำงานบ้านเรา นับวันจะมากขึ้นทุกที ผมไม่รู้ว่าคนต่างชาติที่เป็นเพื่อนบ้านหน้าตาซ้ำพูดภาษาไทยได้ อนาคตวันข้างหน้าคนเหล่านี้น่าจะกลายเป็นคู่แข่งสำคัญของตลาดคนขายแรงงาน วันหนึ่งผมฟังเพลงฉ่อย พูดว่าอนาคตคนยืนขอเงินอาจเป็นคนต่างชาติก็ได้นะครับ เพราะงานยังหาไม่ได้ ต้องมีอาหารกิน เมื่อเงินขาดมือยืนขอ สังคมคนไทย ความเมตตายังมี หยิบยื่นให้ คนยืนขอกลายเป็นนิสัย

คุณลุงเคยคิดไหมครับ คนชั้นล่างกับคนชั้นกลาง ใครหยิบยื่นให้มากกว่ากัน สำหรับผมคนชั้นล่าง เชื่ออย่างถ้ารู้จักเมตตา รู้จักให้สิ่งดีๆ จะมาเป็นส่วนของชีวิต เหมือนซื้อหวย คนซื้อส่วนมากจะหวัง ถ้าวันไหนบุญเก่าเคยทำและสะสมไว้ พลังกรรมที่เป็นบุญกุศลจะรวมเป็นพละกำลัง มาต่อยอดให้พบกับความมีโชค จริงเท็จผมไม่รู้หรอกครับ แม้แต่นักวิชาการยังสนับสนุนความเชื่อที่มองไม่เห็น ไม่ต้องใช้ความเพียร มานะอดทน เชื่อในสิ่งลอยๆ อย่างบอกว่า เมื่อเชื่อเรื่องการเปลี่ยนชื่อ ชีวิตจะมีความหวังชั่วขณะ แต่ความเป็นจริง ชีวิตน่าจะจมดิ่งลงทุกวัน

เหมือนกับซื้อหวย อดอยาก รอวันรวย ผมอดคิดนักวิชาการ มีปัญญาคิดได้อย่างไร ถ้าสอนให้ทำสิ่งดี สิ่งถูกต้อง จะเพิ่มความสามารถขึ้นทุกวัน หลายวันมาผมมีคนนั่งแท็กซี่คุยกับผม คำพูดที่ท่านกล่าว ผมท่องจำและพยายามคิดเข้าหาเป็นส่วนของชีวิตผม คือคำพูด “สิ่งที่เป็นความรู้ ถูกรู้ โดยผู้รู้” ผมฟังไม่เข้าใจ แต่เดี๋ยวนี้พอเข้าใจบ้าง ท่านอธิบาย เหมือนขับรถแท็กซี่ เราต้องรู้วิธีดูแลรถ ง่ายๆ ความสะอาด ความซื้อสัตย์ และหากินไม่เพียงรับผู้โดยสารแล้วคิดถึงระบบระยะทาง สถานที่รถติดแล้วไม่ไปส่ง ทุกอย่างคือการเรียนรู้

ผมขับรถมา สิบปีกว่า พบคนรักทำงานโรงงาน อยู่ด้วยกันมีความสุข ดูแล พึ่งพา เกื้อกูลกัน ผมทำงานมากชั่วโมง เวลาอยู่กุ๊กกิ๊กกับแฟน พาไปเที่ยว ช็อปปิ้ง ดูหนัง กินอาหาร หรือซื้อของให้ ผมยอมรับห่างเหินมาก 3 ปีมาแล้วเมียผมบอกเลิก เขาให้เหตุผล เขาไม่มีความสุข จนถึงวันนี้ถึงจะตัดใจได้บ้างก็ไม่สมบูรณ์เสียทีเดียว

ตอนเธอเลิกกับผมใหม่ๆ ผมกลุ่ม ว้าเหว่ แต่ละวันไม่เคยมีความสุข คิดว่าเราต้องหาที่พึ่ง สิ่งแรกที่คิดคือวัด ไปทำบุญขอคำสอน ผมอยากเล่าเหตุการณ์คำสารภาพลดความเครียด วันหนึ่งไปวัด คิดว่าเข้าวัดทำบุญ ความอาลัยน่าจะสามารถปรับปรุงได้ พระท่านบอกให้ไปหาแม่ชีที่แปดริ้ว น่าจะช่วยได้ คนขับแท็กซี่ไปหาแม่ชี เธอบอกว่าช่วยได้ ให้เมียหอบเสื้อผ้ากลับมา แต่ต้อง 4 หมื่นบาท ตกลงแท็กซี่ยื่นเงินทำพิธีสะเดาะดวง คนขับแท็กซี่เล่า พอพิธีเสร็จบอกว่าอีกไม่เกิน 3-4 วัน เธอจะกลับมา รอ 2 อาทิตย์ก็ยังไม่เห็นหน้า กลับไปหาแม่ชีใหม่ เธอตรวจดวง อ้อเห็นแล้ว ดวงภรรยาเก่าไม่สมพงษ์กับผม ต้องทำพิธีแก้ดวงเธอ ครับผมจ่ายเงินอีก ถึงเวลาก็ยังไม่มา ไปหาใหม่เหตุผล ค้นพบดวงของพ่อแม่เธอ ต้องแก้ที่โน่น แต่ค่าใช้จ่ายต้องสูง

ครับแท็กซี่เสียเงินสะสมเพื่อชีวิตหลายหมื่น เมียก็ไม่กลับมา แล้วแต่ความคิดของคุณเถอะ คนกรุงเทพฯ และชายขอบกรุงเทพฯ เรายังเชื่ออย่างงมงาย เสียเงิน

รายการความเชื่ออีกมากมาย ถึงสังคมจะก้าวหน้า ความศรัทธาต่อสิ่งถือว่าเป็นเหตุมองไม่เห็น พิสูจน์ไม่ได้ ลักษณะอย่างนี้ เข้าข่ายฉ้อโกงเงินไหม หรือเกิดจากความเขลา ถ้าเป็นความไม่เข้าใจจริงๆ ของชีวิต แล้วเราจะได้รับแบบอย่างจากสังคมอย่างไร ข่าวที่เห็นคนต่างงมงาย หาที่พึ่งทั้งนั้น เพราะความแตกต่างที่ก่อร่างของชีวิต