ความจริงหรือความคิด
ไพฑูรย์ สุขสิขารมย์
ความจริงหรือความคิด 25 สิงหาคม 2561

สถานที่เล่นกีฬาของมหาวิทยาลัย ที่เรียกว่าอัฒจันทร์ วันนี้คนมากมาย คนที่นั่งเป็นระเบียบคุยกันระหว่างครอบครัว หลายคนคุยหัวเราะ คนไม่เคยรู้จักกันมาก่อน สังคมลงความเห็น การทักทาย แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเป็นความเจริญของสังคมของคน ถ้าสังคมไหนยึดมั่นในตัวตน เชื่อความชอบพอของคน ความคิดของคนอื่นรับไม่ได้ สังคมคงจะดีได้ยาก

คงจะเหมือนวัดไทย มากวัดตอนแรกมาตั้งวัดอาจเช่าบ้าน หรือซื้อบ้าน ตั้งเป็นวัดพอเป็นวัดคนมาวัดย่อมมากมาย ปัญหาจอดรถคนส่งเสียง ก่อนโน้นชาวบ้านเคยคิดแถบบ้านสงบ จะมีเสียงรบกวนบ้าง ถ้ามีรถไฟฟ้า รถไฟพอนานวัน ความรู้สึกรำคาญจากเสียงไม่รับรู้ ความรำคาญหาย ที่จริงเสียงก็ยังมีปกติ แต่เริ่มคุ้น และความคิดประยุกต์ เสียงที่เกิดคือความเป็นปกติต้องมีขึ้น

แต่สำหรับคนมาวัด ทั้งๆ ที่วัดมีคนมาเยอะกว่าปกติก็วันสำคัญทางศาสนาเท่านั้น แต่ชาวบ้านถึงจะรับรู้ว่าศาสนาพวกเขาอาจได้รับคุณประโยชน์ อย่างนั่งสมาธิ ศึกษาวิถีการดำเนินชีวิตแบบพุทธ แต่ใจมีอคติ ไม่ยอมรับ เมื่อสังคมก่อหวาดอคติ ครับชีวิต กายใจ ย่อมเริ่มมีพิษของความสงบ สอดแทรก นักจิตแพทย์บอกว่ามีคนแพ้เสียงดัง รำคาญ หงุดหงิด ก่อเหตุ

คนอีกมากเดินไปมา หาที่นั่ง หลายคนเดินมองเลขที่แถวประตู หาก๊วนตัวเอง ครับวันนี้ 12 พฤษภาคม 2018 เป็นวันรับปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัย “มานัว” เป็นมหาวิทยาลัยอยู่บนเกาะของฮาวาย ไม่ไกลจากหาดไวกิกิ

ตั้งอยู่กลางมหาสมุทรแปซิฟิค คนที่มาเป็นคนใกล้ชิดของครอบครัว พ่อแม่ พี่น้อง พี่ป้าน้าอา หลายครอบครัวอย่างคนไทยพอลูกจบมหาวิทยาลัย ยิ่งมหาวิทยาลัยท็อปเท็น ความรู้สึกท่วมใจ แม้แต่คนสนิท รักเคารพก็ชวนไปเพื่อแสดงความยินดี

คนที่มาต่างมีหน้าตาสดชื่น ปากยิ้ม เสียงพูดคุยหัวเราะกิ๊ก บรรยากาศดีๆ อย่างนี้ ถ้าเห็นความรู้สึกได้จริง ย่อมรับรู้ถึงจิตใจ ตัดความกังวลอื่นๆ ออก เก็บและดึงความสุขเข้ามาฝ่ายเดียว สู่กาย สิ่งที่รับรู้ของเหตุการณ์รอบตัว ถ้าจะพูดว่าสังคมมีคนดีมากมาย การทำตัวเป็นแบบอย่างดีๆให้สังคม

ครับผม คนมากมายเกิดในโลกต่างก็เรียนรู้ตั้งแต่ พ่อแม่ตั้งใจมีลูกแล้วมากคนอ่านหนังสือเพื่อนำไปปฏิบัติและสอนลูก ศาสนาพุทธสอนเมื่อเริ่มมีครอบครัว ต้องอดทน ละเลิกทุกสิ่งที่จะก่อปัญหาให้ครอบครัว เพียงมาวัด ทำบุญ สวดมนต์ เดินจงกรม หรือนั่งสมาธิ เมื่อใจสงบ สติและความคิดดีๆ ย่อมเป็นพื้นฐาน เคยอ่านหนังสือ “รักลูกให้ถูกทาง” ของท่านอาจารย์ ปัญญา ติกขุนันทะ” วัดชลประทาน ข้อความในหนังสือถึงจะเขียนนาน แต่ความคิดเห็นใหม่ ทันต่อเหตุการณ์เสมอ

สำหรับผมการเรียนที่เห็น เราจะเรียนจากการสอนของพ่อแม่ ของครู และอ่านหนังสือสิ่งที่เรียกเหล่านี้ ความรู้เกิดจากการบอกเล่าของคนมีประสบการณ์มาก่อน หลายคนเรียนรู้จากประสบการณ์ของตัวถึงจะเคยรับรู้สิ่งที่เห็นมาก่อน แต่ไม่เอาความรู้เดิมพิจารณาเริ่มเห็นปฏิรูปใหม่ เรียกว่า “ความรู้”

เคยรับรู้ พระผู้ใหญ่รุ่นก่อนอย่าง หลวงพ่อชา ท่านเรียนแบบปฏิบัติ หาที่สงบ เรียนรู้ ปรับตัวให้เข้ากับธรรมชาติ ความรู้ที่ท่านมีไม่ได้เกิดจากหนังสือ เกิดจากการปฏิบัติ ใช้ที่สงบจิตว่างจากกิเลส เหลือเชื่อสิ่งที่ท่านรู้ สั่งสอนคนต่างชาติ เวลามาบวชพูดแต่ภาษาไทย คงประเภทเดียวกับสมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า 6 ปี ออกอยู่ป่า ปฏิบัติตามอาจารย์ แม้แต่โยคีแต่ไม่สำเร็จ พระองค์หยุดทุกอย่าง ทำกายใจให้สะอาด นั่งปลอดโปร่ง ความเป็นจริงที่เรียกว่าสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าเกิดจากจิต จากสิ่งที่ไม่เคยรู้ แต่เป็นความจริงตามธรรมชาติ เป็นสิ่งอยู่รอบตัวทุกคน แต่ไม่มีใครรับรู้และสัมผัสได้ แต่พุทธองค์ ความจริงที่เป็นความรู้ โพล่งสู่ใจของพระพุทธองค์ เกิดจากปัญญาญาณ ไม่ต้องใช้สมองคิด ปัญญาญาณคือการรับรู้จากจิต ไม่มีแบบอย่าง แบบแผน เป็นความรู้สึกลึกซึ้งตามความเป็นจริงแบบธรรมชาติ ครับปัญญาญาณของทุกคนมีและถ้าปฏิบัติได้ เราย่อมพบกับความสำเร็จ แม้แต่คนที่ทำธุรกิจสำเร็จ ถึงไม่ใช้ปัญญาญาณ แต่ความสำเร็จเกิดากความมานะ อดทน ทำต่อความฝันของตัวเอง หลายคนหมดต้นทุน กำลัง สุขภาพ เงิน แม้แต่ตัวนำภายในของกาย หมดกำลังใจ คิดง่ายๆ คงจะไม่สำเร็จ แท้แล้วความสำเร็จอยู่แค่เปิดประตู ความสำเร็จที่ทุ่มเทรออยู่ข้างหน้าตรงอีกด้านของประตู

ผมมอง ที่กลางห้อง ที่พรุ่งนี้ หรือหลายวันก่อนเป็นที่แข่งขันกีฬา แต่วันนี้คนเรียนจบเต็มพื้นราบของห้อง ลูกชายเคยพูดคุยกับครอบครัว เรานั่งทานข้าวด้วยกัน พอเด็กจบไฮสกูล เมื่อทุกคนไปเรียนมหาวิทยาลัย มีเป็นส่วนน้อยเด็กจบไฮสกูลยังไม่เรียนทีเดียว พูดว่าจะทำงานเก็บเงินและหาประสบการณ์ให้กับชีวิต พูดต่อเท่ากับหาประสบการณ์ตรง

อยากเรียนรู้จากการทำงานดูแลตัวเอง จะได้รับรู้ว่าพ่อแม่ทุกคน พอมีลูกขยันทำงาน อดทน ต่อสู้กับความลำบาก ส่งลูกเรียนหนังสือ ความสำเร็จที่ลูกได้รับคือความภูมิใจที่วิเศษสิ่งหนึ่งของชีวิต

ลูกชายบอก ปีแรกที่เข้ามหาวิทยาลัย โชคดีที่ไปเข้าหอได้ห้องต้องอยู่กับเพื่อน เมื่อไปก่อนเลือกเตียงติดหน้าต่าง ชีวิตในมหาวิทยาลัย สร้างวุฒิภาวะให้เติบโต ตอนไฮสกูลกลับจากโรงเรียนกว่าจะตามคำสอนเรื่อง อย่าทิ้งเสื้อผ้าให้เอาไปไว้ในที่ซัก เวลาบ้านมีปาร์ตี้เคยคิดอยากลองเบียร์ แต่พออยู่มหาวิทยาลัยถึงอายุไม่บรรลุนิติภาวะที่จะดื่มเบียร์ไวน์ได้ แต่ก็ลองดื่ม เวลาเด็กรุ่นพี่มีปาร์ตี้ แต่พออยู่ปี 3-4 ไปเช่าบ้านอยู่กับเพื่อนหญิง 2 คน และเพื่อนชายอีกคน อายุถึงวัยดื่มได้ แต่ก็ไม่สนใจมากนัก พ่อผม (ลูกชายพูด) พ่อเรียนจนจบมหาวิทยาลัยแล้วทำงาน 3 ปี ก่อนมาเรียนต่ออริกอน พ่อบอกว่าดื่มของมึนเมานับครั้งได้ แต่พอวันนี้พ่อจะดื่มวันละแก้วทุกวัน

ลูกชอบชีวิตเรียนหนังสือ ความรับผิดชอบถึงจะมีมากมาย ต้องทำงาน หาค่าเช่าบ้านตอนเรียปริญญาเอก หาเงินซื้อข้าวกิน ซื้อตำรา นี่โชคดี ลูกได้ทุนปีละหลายหมื่นที่มหาวิทยาลัยให้เรียนฟรี ให้ทำงานสอนหนังสือเพื่อดูแลตนเอง

ช่วงเรียนมหาวิทยาลัยมานัว ลูกชอบธรรมชาติมาก ภูเขาทุกลูกเขียวชอุ่ม ลูกชอบเดินขึ้นเขา หลายครับเดินกับเพื่อน 3-4 คน แบกเป้ไปตั้งแคมป์ วิ่งมาราธอนได้เข้าร่วมทุกปี ปีแรกชอบกระโดดน้ำ เล่นสกี ปี 3-4 หลายสิ่งเลิก สิ่งที่ลูกภูมิใจไม่ทิ้งภาษาไทย เดี๋ยวนี้พออ่านได้

ครับแถวเริ่มยืน พวกจบปริญญาตรีสองฝั่งยืน เสียงเรียกชื่อรับปริญญาเริ่ม คนแรกเดินขึ้นเวลารับปริญญาบัตรจากคณะบดี สุดท้ายถึงนักศึกษาจบปริญญาเอก การรับปริญญาไม่ช้า เดินขึ้นเวที เช็คแฮนด์ อีกมือรับปริญญาบัตร กว่าจะได้สมุดปกแข็งหนาสีน้ำเงิน เรียนอนุบาล ประถม มัธยม เกือบ 15 ปี มัธยมต้น กลาง ปลาย 12 ปีเต็ม ปริญญาตรีเฉลี่ย 4 ปี ปริญญาโท 2 สำหรับพหล เรียนปริญญาเอก 5 ปี เกินนิด เวลาช่วงหลังจากจบเนื้อหาอ่านหนังสือ ทำวิทยานิพนธ์ ไปพูดที่ต่างๆ คือหาประสบการณ์ คงจะเป็นไปตามคำบอกเล่า การเล่าเรียน เรียนจบต้องมีคุณสมบัติตามความรู้ เสียงคำพูดของแม่พ่อเป็นคนดีนะครอบครัวภูมิใจลูกทั้งสอง