ความจริงหรือความคิด
ไพฑูรย์ สุขสิขารมย์
ความจริงหรือความคิด 13 กุมภาพันธ์ 2564

เวลานี้ที่นั่งเขียน 4:30 PM โต๊ะเขียนหนังสืออยู่มุมของห้อง อยู่หน้าบ้านบรรยากาศตามธรรมชาติดีที่สุดของบ้าน ผมนั่งหันหน้าออกหน้าต่าง ฝั่งที่เห็นเมืองซานฟรานซิสโก นอกจากตัวเมือง สายตายังจับภาพธรรมชาติ งดงาม แดดช่วง 4:30 ดวงอาทิตย์เริ่มอำลา ช่วงกลางวันที่แถบนี้หดหายหน้า เลียบมหาสมุทรแปซิฟิคไปฮาวาย เพราะฮาวายช้ากว่าซานฟราน 2 ชั่วโมง แดดยามเย็นก็ยังอบอุ่น อยู่ๆแม่บ้านผลักไสให้ผมไปนั่งตากแดดที่ Deck หลังบ้านเป็นประจำ เพราะผมอายุยังเยาว์ผมหมายถึงนับปลายทางที่จากโลกไป คงเหลือเวลาอีกไม่กี่ปี ถ้าต่อรองกับความเป็นธรรมชาติได้ จะขออยู่ดูหลานชาย 3 คนเข้ามหาวิทยาลัย จะเรียนอะไร พ่อแม่ปู่ย่าตายายทำได้แค่รับฟัง เด็กที่เลือกเรียนย่อมมาจากความถนัดทางความคิด คือความชอบพอ จบแล้ววิชาที่เล่าเรียนรักและถนัด แน่นอนย่อมมีสติ ปัญญา ขยันหมั่นเพียร รักการทำงาน ย่อมทุ่มเท

คนที่เป็นพ่อแม่ รุ่นผม พ่อ แม่ คะยั้นคะยอ และบังคับ เลือกเรียนเมื่อจบมา งานหาง่าย เงินดี แถมมีเครดิต อย่างหมอ และวิศวกรรม สำหรับผม สมัครเรียนครู รุ่นผม ผมเป็นรุ่นที่สองของกระทรวงศึกษา มีการสอบชิงทุน เรียนฟรี คำว่าฟรี หอหลับนอน อาหาร แล้วเสื้อผ้าล่ะ คนอยากได้ จ่ายเอง หนังสือตำรา รัฐเขาลืมเขียนรวมกับการสอบได้ทุน เลยจ่ายเอง

ผมเป็นนักเรียนทุนกระทรวงรุ่น 2 โดยปกติก็ชอบกฎหมายเหมือนกัน พ่อแม่ก็ไม่รังเกียจ ท่านบอกว่าดีเหมือนกัน จะได้รู้กฎหมาย ถูกผิดไม่เพียงรู้ในตำรา แต่เมื่อเรียนย่อมเข้าใจกฎหมาย การลงโทษ จะได้ควบคุม จิตสำนึกของตัวเราเอง ไม่เผลอไผล ทำผิด ด้วยโทสะจริต ติดคุกได้

คนต่างจังหวัด ลูกเรียนกฎหมายจะได้รู้ ถึงการเอาเปรียบของคนรอบตัว การเอาเปรียบ อย่างใช้อำนาจขู่ อำนาจคือตำแหน่ง

ผมอดสงสัย ช่วงนี้และก่อนมีเด็กพวกยก 3 นิ้ว บางพวกเรียกตัวเองนักเรียนเลว ผมเชื่อเขาเลวจริง อย่างออกมากีดขวางถนน กล่าวคำให้ร้ายสถาบัน แปลกเวลาพวกเขาเหล่านั้นถูกจับ “คนประกัน คือ ส.ส. ทั้งๆที่รู้เด็กถูกจับเพราะกระทำผิด” อย่างกล่าวล่วงสถาบัน ด้วยคำหยาบ มาดร้าย และที่เลวร้าย “กล่าวคำบิดเบือน ความเป็นจริงและพระเมตตาของพระองค์ท่าน”

เมื่อถูกจับอนุญาตให้ประกันตัว ไม่ต้องถูกฝากขัง คนประกันตัว คือ ส.ส. การประกันไม่ต้องจ่ายเงิน ใช้สิทธิ์คือตำแหน่ง ผมอดคิด ประกันได้กี่คน คงไม่มีอภิสิทธิ์ประกันได้มากมาย เกิดเคสที่ประกันทำผิดซ้ำแบบเดิมๆ มาประกันอีกจะต้องควักกระเป๋าไหม ผมหมายถึงเงินเข้าหลวงนะ

แปลกแท้ แม้แต่สภาก็คิดแก้กฎหมายเกี่ยวกับการล่วงล้ำอธิปไตยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คือมาตรา 112 ส่วนตัวทุกคนมีอธิปไตย คือความมีอิสระในชีวิต อาจจะตรงกับนักการเมืองหมดอำนาจชอบพูดคือ นิติธรรม คำพูดอันนี้ คนประเภทความคิดกลวงก็สนับสนุนเห็นพ้อง

โดยความเป็นจริงของคนในโลกจะจนหรือรวย ไร้อำนาจ หรือมีอำนาจทุกคน ย่อมได้รับสิทธิการคุ้มครองจากกฎหมาย คนที่ถูกจับน่าจะเป็นคนล่วงอธิปไตยของคนอื่น โดยปกติกฎหมายคือสิ่งดีงามคุ้มครองสรรพสิ่งของประเทศ อย่างพวกยกสามนิ้ว เดินขบวนสาดสีทาบ้าน บนกำแพง รูปแกะเอกลักษณ์ ถูกจับน่าจะถูกลงโทษ เพราะทำผิดล่วงอธิปไตยของกฎหมาย แต่ที่เห็นหลายคนผู้ก่อการเดือดร้อนถูกจับ แล้วมีคนประกันปล่อยตัว สำหรับผมความปรับเป็นเงิน “สด” เพื่อทำความสะอาด เขียนลงบนถนนกำแพง แม้แต่ต้นไม้ อย่าปล่อยให้ประกันฟรี เพราะสิ่งที่เขากระทำเป็นความเดือนร้อน “ผมคุยกับนักจิตวิทยา บอกว่าคนกระทำผิด เป็นประจำไม่สำนึก” ความหวังจะเป็นคนดีของสังคม มีเปอร์เซ็นต์ไม่มากนัก

คำว่าไม่มากผมอาจะหมายถึงช่วงชีวิต อาจมีการกระทำผิด แตกต่าง อีกหลายอย่างเหตุผลอันหนึ่งเด็กขาดผู้ใหญ่สั่งสอน ความเป็นจริงกฎหมาย ทุกข้อจำเป็น ไม่ต้องการที่จะยกเลิก บางครั้งที่ผมเห็นว่าน่าปรับปรุง เพิ่มโทษอย่างจำคุก ปรับ เหรือจำคุกและปรับกฎหมายลงโทษ มีแต่ประโยชน์ ถ้าเป็นคนดี ไม่ตั้งใจทำผิด กฎหมายก็ไม่น่ากลัว เพราะกฎหมายพูดไม่ได้ เป็นตัวหนังสือ สง่าอยู่บนกฎหมาย ได้รับการโหวตจากสภา ตัวแทนของประชาชนไทย 70 ล้านคน

คนที่กลัวกฎหมาย และอยากให้เลิก น่าจะเป็นคนคิดทำผิด กล่าวร้าย ล่วงเกิน และเจตนาล้มล้างระบบนิติกรรม

ผมดูทีวี ชาวเผ่าประเทศอินโดนีเซีย แม้แต่จุดไฟก็ยังใช้อุปกรณ์ถูกัน แปลกผัวเมียไม่นอนด้วยกัน เลยอดคิด สังคมโลกของคนทั่วไป เดี๋ยวนี้ชอบแยกกันอยู่ อย่างน้อยนอนคนละห้อง เหตุผล กิจกรรมธรรมชาติอย่างกรน นอนดิ้น ปากเหม็น จะได้ไม่รบกวนกัน

เหตุที่พูดถึงชาวเผ่า มีประเพณีเวลาญาติตาย จะตัดข้อนิ้วข้อบน ข้อนิ้วมี 3 ข้อ ตัดข้อบนสุดก็ยังพอทำงานได้ บางคนตัดบางส่วนของหู

แล้วพวกชู 3 นิ้ว ที่มีความคิดเห็นไม่ตรงกับความเป็นจริง ไร้สาระ และเป็นพฤติกรรมเชิญชวนให้คนที่มีจิตศรัทธาเห็นตาม เราจะออกกฎหมายตัดข้อนิ้วแบบชาวเผ่าของอินโดนีเซีย ความคิดคงทำไม่ได้ เพราะคนยกนิ้วอาจบอกว่ากฎป่าเถื่อน จริงแล้วกฎลงโทษย่อมถูก