ความจริงหรือความคิด
ไพฑูรย์ สุขสิขารมย์
ความจริงหรือความคิด 19 ตุลาคม 2556

ชีวิตคนไทย ส่วนมากเติบโต ได้รับการอบรมสั่งสอน เด็กกว่ารู้จักทักทายคนสูงอายุ แสดงความเคารพโดยยกมือไหว้ และแม้แต่ผู้ใหญ่เห็นเด็ก เริ่มการทักทายก่อน ก็ถือเป็นความดีงามของสังคม ใครเริ่มก่อนหลังไม่เป็นผลเสีย การทักทายแล้วเอ่ยชื่อ ผมยิ้มตอบรู้สึกดีใจ ที่จริงสังคมยังมีความเจริญงอกงามทางคุณความดียังจะมีต่อไป โดยเฉพาะสังคมของคนมาวัดในวันนี้ ผมคิดกวาดรวม เป็นกลุ่มกว้าง สูง คิดถึงจิตภายใน ต่างมีจุดหมายเดียว มาทำคุณความดียึดมั่นในหลักพุทธศาสนา ถึงสังคมจะมีบ้างใช้ศาสนา ทำความชั่ว หากิน หันเห พลิกแพลง ความถูกต้องของศาสนา เพื่อความโลภ แต่โดยเนื้อแท้ศาสนามีแต่สิ่งดีๆ ศึกษา แล้วปฏิบัติ อย่างน้อยความสุขทางใจเกิด

ผมกับวัลลภ รู้จักกันมานาน ถือว่าสนิทและคุ้นเคย ผมชอบคำว่าสนิท เจอกันหยุดทักทาย สนทนา ถามทุกข์สุข มีเวลาอาจทานข้าวด้วยกัน มีข่าวที่ดีเกี่ยวกับวัด เกี่ยวกับสังคมบอกกล่าว พี่อาทิตย์นี้สมาคมจัดงานวันแม่ แม่ของคนไทยทุกคน คือสมเด็จพระนางเจ้า พระบรมราชินีนาถ อยากให้พี่และพี่ผู้หญิงไปงาน ผมมีบัตรเชิญให้พี่ ไปทานอาหารร่วมกัน พี่เคยเป็นอดีตนายาสมาคมไทย ไปร่วมกันอวยพรพระแม่ของแผ่นดิน ร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี ผมตอบขอบใจเรื่องบัตร ที่จริงผมกับภรรยาชอบงานกิจกรรม โดยเฉพาะงานสังคม อย่างงานสำคัญสวดศพ ถึงไม่ได้รับเชิญ ถ้าเคยรู้จักสนิทสนมกับผู้ตายจะไปกราบเสมอ เพราะคิดว่าเราต่างมาจากไทย ไกลมาสร้างความผูกพัน สนิท รักใคร่ คงเป็นผลบุญที่สร้างและสะสมสิ่งดีๆ ร่วมกันมา แต่พอถึงวันนี้วัยมากขึ้น ระยะทางไกล ขับรถค่ำมืด ขาดความมั่นใจในความปลอดภัย ทางที่ดีห้ามใจอยู่บ้าน โดยเฉพาะงานวันแม่ใจอยากไปร่วมชีวิตผมกับภรรยา ถือว่าเป็นคนมีโชค และบุญวาสนา ตอนนั้นสมเด็จพระบรมราชินีนาถ พระองค์เสด็จมาที่วัดพุทธานุสรณ์ และวัดมงคลรัตนาราม กงสุลจัดงานเลี้ยงอาหารพระองค์ท่านมื้อค่ำ เชิญฝรั่งและครอบครัวคนไทย ผมกับภรรยาได้รับเกียรติอันสูงสุดของชีวิต จากท่านกงสุลใหญ่แห่งนครลอสแอนเจลิสเชิญด้วย สมัยคุณอุไร เฉลยชีพ (แดง) เป็นนายกสมาคม

เป็นเหตุการณ์มงคลของชีวิตที่สูงสุด ได้ฟังเหตุการณ์ของเมืองไทยจากพระโอษฐ ครับตลอดชีวิตจากเด็กจนถึงปัจจุบัน ได้เห็นและรับรู้แต่คุณงามความดีของพระองค์ท่าน กล้าพูดด้วยความสัตย์ ชีวิตมีแต่ความจงรักภักดี พระองค์ทั้งสองมีแต่พระเมตตา ยุติธรรมพลิกความทุกข์ของประชาชนให้เป็นความสุข ถึงผมและภรรยาจะไม่ได้ไปงาน ผมบอกกับนายกสมาคมว่า จะอวยพระพรต่อพระองค์ท่านอยู่ที่บ้าน

ส่วนตัว ยอมรับว่าวัดเป็นศูนย์กลางของชีวิตและจิตใจ ไม่อยากขาดหายจากการไปวัด ทั้งๆ ที่ความจริงจะทำบุญทำความดี ที่ไหนๆ ก็ทำได้ แม้ไม่ใช่ภายในวัด แต่ความรู้สึกที่มีต่อวัดเหมือนกับบ้าน ผูกพันเสริมต่อส่วนดีๆ กับจิตใจ อย่างน้อยอาทิตย์ละหนึ่งวัน กับภรรยาจะทำอาหารไปถวายพระ การไปวัดจากความคิดถ้าจะให้สมบูรณ์ ครบองค์การปฏิบัติ วันนั้นต้องเข้าโบสถ์ กราบพระประธาน ฟังพระเทศน์ และสวดมนต์ ออกจากโบสถ์ได้มีโอกาสสนทนาธรรม ได้รับการบอกและตอกย้ำการสนทนาจากความเข้าใจของผม ทุกสิ่งทุกอย่างจะแง่ดีแง่เสีย การดำรงค์ชีวิตประจำวัน หลักของพุทธศาสนาเป็นหัวใจด้วยเสมอ ต่างนำอาหารถวายพระ หลังจากพระฉัน ทานอาหารร่วมกัน พูด คุย รับรู้ข่าวคราวต่อกัน เป็นความพอใจอย่างยิ่ง ยอมรับทานอาหารร่วมกันมีความรู้สึกดีๆ บังเกิด

วัลลภ อดีตเคยเป็นเลขาส่วนตัวของหลวงพ่อมงคล เจ้าอาวาสวัดมงคลรัตนารามทุกแห่งในอเมริกา ท่านเป็นพระนักพัฒนา แน่นอนวิสัยทัศน์กว้าง คนวิสัยทัศน์กว้างย่อมสร้างความคิดเห็นดีๆ เพื่อส่วนรวม สิ่งเป็นประโยชน์ต่อสังคม ไม่เห็นแก่ตัวถ้าจะสรุปว่าเป็นพระมีแต่ให้ และมีเมตตา “แม่น” วัลลภคือเด็กก้นกุฏิ ผมเรียนการเมือง เลขาพรรค คือบุคคลสำคัญ กำความลับ เสนอ และปฏิบัติ หลวงพ่อไปนอกวัด ไปสวด ไปเยี่ยมคนนอกวัด คนรับเชิญงานพิธีต่างๆ วัลลภเป็นเลขาและพระก้นกุฏิจะไปด้วยเสมอ เมื่อไปด้วยรับรู้ คนฉลาดทุกคนในโลก จะหมวดสิ่งดีๆ ไว้กับตัว เมื่อหลวงพ่อมาสร้างวัดที่อเมริกา สิ่งปรารถนาอยากให้คนไทยห่างไกล ใกล้ชิดกับพุทธศาสนา วัลลภตามมาอยู่เบย์แอเรียด้วย เมื่อมีโอกาสอยากตอบแทน เป็นสูตรคนดี เมื่อรับสิ่งดีเก็บสิ่งดี มีโอกาสขยายสิ่งดีสู้คนอื่นได้ จะลงมือทำเป็นคนไฝ่รู้ และคิดตอบแทนสังคม อยู่ติดกับใจตลอดเวลา เมื่อสามารถยืนตรง แข็งแรง และมั่นคง ความคิด ช่วยสังคมซึ่งไม่เคยสิ้นเชื้อในใจ ลุกโชน เห็นงานวัด งานสังคม กุลีกุจอรับอาสา ช่วย และสำคัญคิดงานพัฒนาใหม่ อย่างจัดงานออกร้าน ส่งเสริมวัฒนธรรมไทย งานกลางแจ้งที่เรียกว่างานสงกรานต์ ความคิดที่ว่าเมื่อเราแข็งแรงย่อมต้องช่วยคนอ่อนแอ คำพูดที่ผมจำขึ้นใจของอองซาน ซูจี จบการศึกษาจากแคมบริช แต่งงานกับคนอังกฤษ มีลูกอยู่อังกฤษ ประเทศเสรี แต่ประเทศพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย เป็นเมืองปิด ไม่มีเสรีภาพ คำพูดออกจากใจ ถ้าเรามีเสรีภาพ เราจะใช้เสรีภาพอย่างไร เธอเดินทางเข้าพม่า ต่อสู้เสรีภาพ ถูกจองจำไม่เคยกลัว แม้แต่สามีตายก็ไม่ได้เผา ความคิดที่ว่า เรามีเสรีภาพต้องต่อสู้เสรีภาพเพื่อคนอื่น

วัลลภมีมากสิ่ง ถึงจะไม่ทุกสิ่ง เพียงยื่นมือช่วยสังคม ชีวิตที่เติบโตเมื่อถึงวันสิ้นชีวิตย่อมพูดได้ว่า ชีวิตที่เกิดคุ้ม เหมือนท่านพุทธทาสพูดเสมอ และท่านยึดเป็นแบบอย่างและปฏิบัติชีวิตคืองาน ทุกคนต้องทำงาน

ภาพในโรงมโหรสพ ที่วัดของท่านภาพท่านยืนหันหน้า มองรูปท่าน คำพูด วันน้ไม่ได้ทำอะไรเลย หมายถึงตลอดทั้งวันท่านทำแต่งาน ไม่รู้จักท้อแท้ มีแต่ความสุข พองานสิ้นสุด ไม่รู้ด้วยซ้ำถึงเวลาและความเหนื่อย หมายถึงทำงานด้วยความสุข ไม่มั่นหมาย คำพูดที่กล่าว การพูดคุยต่อชีวิต สานความสุข และรวมถึงการค้นคว้าในวันต่อไป สิ่งพูดคุย มากเรื่อง บางครั้งเป็นเรื่องประทับใจส่วนตัว อย่างวัลลภเวลาพูดต่อหน้าคนฟัง จะมีโคลงกลอนดีๆ กล่าวเสริมต่อเสมอ ตอนผมไปวัดอตัมมยตาราม รัฐวอชิงตัน มีพระบางรูประหว่างเทศน์ พูดคุย จะกล่าวโคลงกลอนด้วยทุกครั้ง โคลง และกลอนเป็นคำกระทัดรัด ได้เนื้อหาครบ เพลินต่อการฟัง อดคิดจำกันได้อย่างไรมากมาย และวัลลภชอบแต่งพวกนี้ด้วย ผมชอบอ่าน ผมเรียนหนังสือไม่มีความรู้เกี่ยวกับสิ่งดีๆ เหล่านี้ แม้แต่อายุตอนนี้ก็รับรู้เพียงชอบ ได้รับสาระครบถ้วน จะผสมปนเปครบองค์การสร้างอย่างไร ผมไม่รับรู้ รู้แต่ ประทับใจคงเหมือนคนเราสนใจในสิ่งดีๆ ที่เขาทำ สิ่งไม่ดีถึงจะรู้บ้างแต่ก็ด้วยคุณค่าต่อการจดจำ

ปัจจุบัน เราต่างมีลูกเรียนในมหาวิทยาลัยเดียวกัน เป็นสังคมของผู้ปกครอง คือมหาวิทยาลัยฮาวาย (The University of Hawaii at Manao) สาขาที่มีชื่อดัง Marine Biology และ Asia Studies ผมคุยกับวัลลภ ตอนนี้ลูกสาวอยู่ปีแรกสนใจเรียนเกี่ยวกับสัตว์น้ำ (Marine Biology) ลูกชายผมตอนนี้เรียนวิชาสุดท้ายของปริญญาเอก วิชาเอกไทย-อเมริกัน วันที่ผมเขียนเป็นวันที่ 2 กันยายน 2556 ลูกชายได้รับเชิญจากมหาวิทยาลัย Leiden เป็นมหาวิทยาลัยเก่าแก่ที่สุดของประเทศเนเธอร์แลนด์ เป็นเวลาสี่วัน พูดวันหนึ่งพูดคุยสองครั้ง มหาวิทยาลัยสปอนเซอร์ เดือนที่แล้วมหาวิทยาลัยวอชิงตันเชิญลูกไปพูด มหาวิทยาลัยเท็กซัส ยูซีริเวอร์ไซด์เคยไปพูดได้รับเชิญ มหิดลเมืองไทยก็เคยเชิญ

ครับการที่พูดคุย ผมถือเป็นเรื่องการศึกษา เราต่างมีลูก เมื่อเรียนหนังสือ ความกังวลและความรับผิดชอบหมด ย่อมสบายใจ การเสนอความรู้ไม่ใช่เรื่องโม้ แต่เป็นเรื่องแบบอย่างที่ดี การพูดคุยเรื่องจริงเป็นประโยชน์ ผมยกมือไหว้ตอบ คำพูดสวัสดีครับวัลลภ การไหว้และทักทาย ถือเป็นสิ่งดีงาม สุดยอดสิ่งหนึ่งของคนไทย ชีวิตเราจะใช้สิ่งดีๆ เหล่านี้ทุกวัน แปลกแต่มันเป็นของแน่นอน ยิ่งใช้ความรับรู้จะสานต่อ ต่อสิ่งมากมายไม่มีวันจบสิ้นของสิ่งดี คนไทยฉุนกันง่ายระหว่างความรู้สึกต่อคนอื่น บางคนไม่เคยรู้จักเห็นหน้าบอกว่าไม่ถูกชะตา ความเกลียดเกิดกับใจ แม้แต่ความเห็นตรงข้ามกับความรู้สึกก็มีความเกลียดชังกัน แล้วเรื่องจะคืนดี ซึ่งเกิดจากจิตใจ มองและรับรู้สิ่งที่เป็นมงคลต่อกันคงยาก คนไทยบางคนที่กล้าพูด อะไรๆ ก็ยากที่จะแก้ไขให้ดีขึ้น เมื่อคิดเช่นนี้ เท่ากับสร้างกำแพงกั้น ผลที่ออกเฉลยได้เลย สิ่งดีๆ ย่อมไม่เกิดขึ้น ส่วนตัวชอบการปรองดอง จับมือ ลดมานะ พบปะสนทนา ยื่นความรักใคร่

การไหว้ ความคิดย่อมแตกต่าง มากคนคิดการไหว้คือการแสดงความเคารพ อ่อนน้อม มากคนคิดการไหว้คือการสร้างความคุ้นเคยต่อกัน แรกพบหรือเคยพบปะ และถ้าจะอนุโลมการไหว้คือการเริ่มทักทาย แต่น่าจะลึกกว่าคำว่าสวัสดี เด็กไหว้ผู้ใหญ่คืออ่อนน้อม เคารพ ผู้ใหญ่ไหว้ตอบ เมตตา การไหว้ตอบของพระสงฆ์ไม่ได้ทำตอบจากมือ แต่เต็มไปด้วยพฤติกรรม สงบ ความระงับต่อความอยาก และนำธรรมะมาให้เป็นสิ่งกำกับชีวิต ให้อยู่ในสังคมโลกอย่างถูกต้อง จะเสียเวลาไหม ถ้าจะพูดคุยถึงลักษณะของการทำมือไหว้ และโอกาสในการแสดงการไหว้ในความแตกต่างของคนที่เราไหว้ การทำมือ และการวางมือ (อ่านต่อฉบับหน้า)