ข่าว
'การบินไทย'ปลื้มผลงานปี 55 พลิกกลับมีกำไร 6,510 ล้าน

เมื่อวันที่ 1 มี.ค.2556 นายอำพน กิตติอำพน ประธานกรรมการบริษัท การบินไทย จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่า ที่ประชุมบอร์ด การบินไทยได้มีมติ รับทราบผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ประจำปี 2555 ในปีบัญชี 2555 เริ่มตั้งแต่เดือนม.ค.ถึงสิ้นเดือนธ.ค. 2555 พบว่า การขนส่งผู้โดยสารระหว่างประเทศในภาพรวมมีการขยายตัวจากปี 2554 เนื่องจากการปรับกลยุทธ์การตลาดด้านราคา โดยการจำหน่ายบัตรโดยสารราคาพิเศษเพื่อกระตุ้นให้ผู้โดยสารกลับมาใช้บริการเพิ่มขึ้น จากผลกระทบน้ำท่วมเมื่อปี 2554 และการปิดซ่อมแซมทางวิ่งของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิในเดือนมิ.ย. - ก.ค. 2555 ทำให้เที่ยวบินล่าช้าและมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น

ขณะเดียวกันได้ดำเนินกลยุทธ์สร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน และมีการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัท สายการบินนกแอร์ จำกัด การจัดตั้งหน่วยธุรกิจการบินไทยสมายล์ เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งของตำแหน่งทางการตลาดให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น การการปรับฝูงบินและพัฒนาเส้นทางบิน โดยปรับตารางบินให้สอดคล้องกับความต้องการเดินทางในแต่ละช่วงเวลา เป็นต้น ทำให้ในปี 2555 บริษัทฯ มีอัตราการบรรทุกผู้โดยสารสูงสุดในรอบ 5 ปี โดยเฉลี่ยร้อยละ 76.6 เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา ซึ่งเฉลี่ยร้อยละ 70.4 และทำให้ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ในปี 2555 กลับมามีกำไรอีกครั้งหลังจากประสบภาวะขาดทุนในปี 2554

ทั้งนี้ บริษัทฯ และบริษัทย่อย มีรายได้รวมทั้งสิ้น 213,530 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน จำนวน 19,188 ล้านบาท หรือร้อยละ 9.9 โดยเป็นรายได้ส่วนของบริษัท สายการบินนกแอร์ จำกัด จำนวน 8,248 ล้านบาท และกำไรจากการซื้อธุรกิจบริษัท สายการบินนกแอร์ จำกัด จำนวน 1,584 ล้านบาท ในส่วนของรายได้รวมเฉพาะกิจการเพิ่มขึ้น 10,042 ล้านบาท จากรายได้จากการขาย หรือการให้บริการที่เพิ่มขึ้น 10,366 ล้านบาท หรือร้อยละ 5.4 เนื่องจากจำนวนผู้โดยสารเพิ่มขึ้น

สำหรับค่าใช้จ่ายไม่รวมกำไร (ขาดทุน) จากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ มีจำนวนทั้งสิ้น 209,639 ล้านบาท สูงกว่าปีก่อน 9,808 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 4.9 โดยเป็นค่าใช้จ่ายของบริษัท สายการบินนกแอร์ จำกัด จำนวน 6,869 ล้านบาท ในส่วนค่าใช้จ่ายเฉพาะกิจการเพิ่มขึ้น 2,685 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 1.3 เป็นผลมาจากค่าน้ำมัน ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวเนื่องกับการเพิ่มเที่ยวบินและจำนวนผู้โดยสาร และการจ่ายเงินรางวัลประจำปี ขณะที่ค่าซ่อมแซมและค่าบำรุงอากาศยาน และค่าเช่าเครื่องบินลดลงจากปีก่อนในปี 2555 บริษัทฯ มีกำไรก่อนอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศและภาษีเงินได้ 3,891 ล้านบาท

นอกจากนั้น ในปี 2555 บริษัทฯ มีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ 3,213 ล้านบาท เปรียบเทียบกับปี 2554 ที่ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ 2,428 ล้านบาท ส่วนผลการดำเนินงานปี 2555 (1 ม.ค. - 31 ธ.ค. 2555) บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิรวม 6,510 ล้านบาท โดยเป็นกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่จำนวน 6,229 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 2.85 บาท เปรียบเทียบกับปี 2554 ซึ่งขาดทุนสุทธิ 10,197 ล้านบาท คิดเป็นขาดทุนต่อหุ้น 4.67 บาท ณ วันที่ 31 ธ.ค. 2555 บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) และบริษัทย่อย มีสินทรัพย์รวมทั้งสิ้น 304,096 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากวันที่ 31 ธ.ค. 2554 จำนวน 30,140 ล้านบาท หนี้สินรวมทั้งสิ้น 234,278 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23,269 ล้านบาท และส่วนของผู้ถือหุ้นรวมทั้งสิ้น 69,818 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6,871 ล้านบาท

ทั้งนี้ บอร์ดการบินไทยยังได้มีมติ ให้การบินไทยรับพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินรุ่นใหม่ ประจำปี 2556 จำนวน 247 อัตรา เนื่องจากขณะนี้การบินไทยได้ประสบปัญหาการขาดแคลนพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินสะสมในปี 2555 และเป็นไปตามแผนการรองรับเครื่องบินใหม่ การปลดระวางเครื่องบินเก่า และแผนการใช้งานของเครื่องบินในปี 2556 สำหรับกระบวนการรับสมัคร และคัดเลือกพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินจะเริ่มดำเนินการได้ประมาณเดือนมี.ค.2556 เป็นต้นไป

ลุยค้นร้านเจ้เล้งยึดสินค้าเพียบ เครื่องสำอาง-อาหารไม่ผ่านอย.

"พสิษฐ์" นำทีมบุกร้านเจ้เล้ง ทั้ง อย.และ ตำรวจ ปคบ.เข้ายึดอาหารและเครื่องสำอางไม่ผ่านการตรวจจำนวนมาก หลังถูกชาวบ้านร้องเรียน

เมื่อเวลา 12.00 น. วันที่ 1 มี.ค. นายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ ที่ปรึกษา รมว.สธ. พร้อมเภสัชกรหญิงศรีนวล กรกชกร รองเลขาธิการ อย. นำทีมเจ้าหน้าที่ อย. ร่วมกับตำรวจ บก.ปคบ. นำโดย พล.ต.ต.นิพนธ์ เจริญผล ผบก.ปคบ. พ.ต.อ.ไพฑูรย์ คุ้มสระพรหม รอง ผบก. พ.ต.อ.ล้ำพันธุ์ พรรธนประเทศ ผกก.4 บก.ปคบ. และเจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.ปคบ. บุกเข้าตรวจค้นร้านเจ้เล้ง ถนนวิภาวดี-รังสิต แขวงทุ่งสีกัน เขตดอนเมือง กทม. หลังมีผู้บริโภคร้องเรียนว่าทางร้านขายผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ไม่ผ่านการรับรองจาก อย.

จากการตรวจสอบพบเครื่องสำอางนำเข้าจากต่างประเทศ จำพวกครีมเปลี่ยนสีผม ครีมบำรุงผิว และครีมบัวหิมะสูตรใหม่ ยี่ห้อบัวฟู่หลิง ไม่มีฉลากภาษาไทย และแสดงฉลากไม่ถูกต้อง วางจำหน่ายภายในร้านจำนวนมาก นอกจากนี้ยังพบผลิตภัณฑ์อาหารที่ไม่แสดงเลขสารบบอาหาร และไม่แสดงชื่อผู้ผลิต เป็นอาหารประเภทขนมกรุบกรอบ และน้ำผลไม้ด้วย เจ้าหน้าที่จึงยึดของทั้งหมดไปตรวจสอบ ขณะเดียวกันทางผู้จัดการร้านแจ้งว่านางอารียฉัตร อภิสิทธิ์อมรกุล หรือเจ้เล้ง ติดธุระอยู่ด้านนอก วันนี้ยังไม่ได้เข้ามาที่ร้าน

นายพสิษฐ์ กล่าวว่า เนื่องจากมีผู้บริโภคร้องเรียนมาที่ อย. ว่าภายในร้านเจ้เล้งที่เป็นแหล่งจำหน่ายสินค้านำเข้าจากต่างประเทศรายใหญ่ มีการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่ไม่ผ่าน อย. ไม่มีฉลากภาษาไทย จึงได้นำทีมเจ้าหน้าที่ อย.และประสานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ปคบ.มาร่วมตรวจสอบตามที่ได้รับร้องเรียน ซึ่งจากการตรวจสอบก็พบการกระทำผิดจริง และเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ผู้บริโภคได้รับอันตรายจากการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ผิดกฎหมาย จึงต้องตรวจยึดสินค้าเหล่านี้ไปตรวจสอบ และดำเนินคดีตามกฎหมาย

นายพสิษฐ์ กล่าวต่อว่า ในส่วนของผู้บริโภคก็ควรระมัดระวัง ไตร่ตรองให้ถี่ถ้วนก่อนเลือกซื้อสินค้าที่นำเข้าจากต่างประเทศ ควรดูฉลากให้ดีว่าถูกกฎหมาย ผ่าน อย. และมีฉลากภาษาไทยถูกต้องชัดเจนหรือไม่ ในส่วนของเครื่องสำอางต้องมีใบอนุญาติที่มีเลขที่ระบุว่าขออนุญาตกับ อย.แล้ว สำหรับผลิตภัณฑ์อาหารต้องมีเลขสารบบอาหารในกรอบเครื่องหมาย อย.เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ได้รับความเสี่ยงอันตรายจากการใช้ผลิตภัณฑ์ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ที่สำคัญอย่าด่วนหลงเชื่อผลิตภัณฑ์สุขภาพที่โอ้อวดสรรพคุณเกินจริง โดยเฉพาะเครื่องสำอางที่อ้างว่าทำให้ผิวขาว ขอยืนยันว่าไม่มีผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางใดๆช่วยปรับเปลี่ยนสีผิวให้ขาวมากกว่าเดิมได้ ทั้งนี้ฝากไปถึงประชาชนซึ่งเป็นผู้บริโภคช่วยเป็นหูเป็นตาแทน อย. หากพบว่ามีผลิตภัณฑ์ใดที่คาดว่าผิดกฎหมาย โปรดแจ้งร้องเรียนมายัง อย. สายด่วน อย. 1556

เบื้องต้นแจ้งข้อหา จำหน่ายอาหารแสดงฉลากไม่ถูกต้อง โทษปรับไม่เกิน 3 หมื่นบาท ส่วนกรณีผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง แจ้งข้อหาจำหน่ายเครื่องสำอางที่แสดงฉลากไม่ถูกต้อง ไม่มีฉลากภาษาไทย ไม่แสดงเลขที่ใบรับแจ้ง มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน ปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

สหรัฐรับนโยบายตัดงบ อาจกระทบการขอ“วีซ่า”

กระทรวงต่างประเทศสหรัฐยอมรับว่า ขั้นตอนการพิจารณาอนุมัติวีซ่าในอนาคตอาจกินเวลานานขึ้น หากรัฐบาลกลางบังคับใช้นโยบายตัดงบครั้งใหญ่ เพื่อแก้ไขวิกฤตเศรษฐกิจของประเทศ

รายงานจากกรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 28 ก.พ. ว่า ผู้ประสงค์จะเดินทางเข้าสหรัฐที่จำเป็นต้องขอวีซ่า อาจต้องเผื่อระยะเวลาในการยื่นเรื่องให้ล่วงหน้านานขึ้น รวมถึงกระบวนการพิจารณาอนุมัติวีซ่าอาจต้องใช้เวลานานขึ้นเช่นกัน หากสภาคองเกรสผ่านความเห็นชอบ ให้บังคับใช้นโยบายตัดลดงบประมาณจำนวนมหาศาล เพื่อแก้ไขวิกฤตเศรษฐกิจภายในประเทศ

นายแพทริค เวนเทรล รักษาการรองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ แถลงยอมรับว่า ทางกระทรวงยังไม่มีโยบายสำรองที่ชัดเจน สำหรับรับมือมาตรการปรับลดงบประมาณรายจ่ายของภาครัฐ หรือ “ซีเควสเตอร์” ที่มีมูลค่ามหาศาลถึง 85,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งประธานาธิบดีบารัค โอบามา ผู้นำสหรัฐ และเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสภาคองเกรสจะหารือร่วมกันในประเด็นดังกล่าวในวันนี้

นอกจากนี้ แม้ทางกระทรวงจะพยายามแก้ไขเบื้องต้นด้วยการจ้างเจ้าหน้าที่ฝ่ายรับยื่นเรื่องและพิจารณาวีซ่าประจำสถานเอกอัครราชทูตหลายประเทศ ก็ยังไม่เพียงพอเมื่อเทียบกับจำนวนประชาชนที่เข้ามายื่นเอกสารในแต่ละวัน โดยเฉพาะในอินเดีย จีน และบราซิล ซึ่งหากนโยบาย ซีเควสเตอร์ มีผลบังคับใช้จริง ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในด้านงานบริการกงสุล คือ สถานเอกอัครราชทูตหลายแห่งอาจต้องปรับลดจำนวนเจ้าหน้าที่ เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย

ดังนั้น ทางกระทรวงจึงขอแนะนำผู้ที่ต้องการจะยื่นขอวีซ่าเข้าสหรัฐ ให้เผื่อเวลาในการยื่นเอกสารเพื่อขอสัมภาษณ์รับวีซ่าให้นานขึ้น สถิติเมื่อปีที่แล้วระบุว่า ราว 90% ของผู้ยื่นเรื่องแสดงความจำนงขอวีซ่า จะได้รับการเรียกสัมภาษณ์ภายใน 3 สัปดาห์ ซึ่งในอนาคตอาจนานกว่านั้น