ข่าว
ทอร์นาโด 3 ลูกถล่ม'เทกซัส' ตาย 6 คนบาดเจ็บอีกนับร้อย

พายุทอร์นาโด 3 ลูกพัดถล่มพื้นที่ทางตอนเหนือของรัฐเทกซัส ทำให้มีผู้เสียชีวิตแล้ว 6 ราย บาดเจ็บนับร้อยราย... เมื่อวันที่ 16 พ.ค. เกิดพายุทอร์นาโด 3 ลูกพัดถล่มพื้นที่ทางตอนเหนือของรัฐเทกซัส เมื่อคืนวันพุธ โดยหนึ่งในนั้นพัดถล่มเมืองแกรนบิวรี ทางตะวันตกของเมืองดัลลัส เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตแล้ว 6 ราย บาดเจ็บนับร้อยราย บ้านเรือนนับสิบหลังพังเสียหาย

ด้านนายอำเภอ โรเจอร์ ดีดส์ หวังว่าจำนวนผู้เสียชีวิตจะไม่เพิ่มขึ้น หลังจากได้รับรายงานจากผู้ช่วยว่าพบศพผู้เสียชีวิต 6 ราย แต่มีสองศพในจำนวนนั้น อยู่ไกลจากบ้านของพวกเขามาก นายอำเภอจึงเตรียมตัวค้นหาพื้นที่โดยรอบ โดยอาจพบศพเพิ่มขึ้นอีก

ขณะเดียวกัน สำนักงานบริหารสภาพอากาศ (เอ็นดับเบิลยูเอส) ระบุว่าทอร์นาโดลูกดังกล่าว ก่อให้เกิดพายุทอร์นาโดอีกลูกหนึ่ง พัดถล่มพื้นที่บางส่วนของเมืองเคลเบิร์น ซึ่งห่างจากเมืองแกรนบิวรีไปทางตะวันออกเฉียงใต้ราว 40 กม. แต่ไม่มีรายงานผู้เสียชีวิต แต่มีบ้านเรือนหลายหลังถูกทำลายหรือได้รับความเสียหายอย่างหนัก

ส่วนทอร์นาโดลูกที่ 3 พัดถล่มในเทศมณฑลพาร์คเกอร์ สร้างความเสียหายแก่อาคารบ้านเรือน โดยเฉพาะในเมืองมิลแซ็ป แต่ไม่ก่อความเสียหายต่อชีวิต

รองโฆษกอัด“แก้วสรร” อย่ายุคนไทยเกลียดกัน

รองโฆษกรัฐบาลเหน็บ“แก้วสรร”ตั้งพรรคการเมืองให้ปชช.ตัดสินใจ อย่าปลุกระดมคนไทยเกลียดชัง กันเอง วันนี้ (16 พ.ค.) ร.ท.หญิงสุณิสา เลิศภควัต รองโฆษกประจำสำนักนากยัรฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร อดีตรองอธิบดีกรมตำรวจ และนายแก้วสรร อติโพธิ อดีต คตส.ร่วมกันแถลง ข่าวปรากฎการณ์ไทยสปริง ( Thaispring) หรือดอกบัวแห่งการตื่นรู้ เพื่อปฏิเสธการบริหารงานของ รัฐบาลชุด ปัจจุบัน ว่า รัฐบาลยินดีรับฟังความคิดเห็นของคนทุกกลุ่ม และไม่ปิดกั้นการแสดงความคิดเห็นของประชาชน ไม่ว่าจะเป็นการใช้ช่องทางในเว็ปไซต์หรือการชุมนุมบนท้องถนน แต่ขอความร่วมมือ ผู้ที่เป็นแกนนำ ให้ระมัดระวังการพูดยั่วยุหรือปลุกระดมให้เกิดความเกลียดชังคนไทยด้วยกัน และอาจนำไปสู่การใช้ความรุนแรง เพราะคนไทยส่วนใหญ่ สะท้อนความคิดเห็นผ่านโพลล์ของสำนักต่างๆ มาหลายครั้งว่าเบื่อหน่ายความขัดแย้งและอยากให้บ้านเมืองสงบ รวมถึงอยากให้เลิกทะเลาะกัน เพื่อให้ประเทศพัฒนาและเดินไปข้างหน้า

ร.ท.หญิงสุณิสา กล่าวอีกว่า ส่วนข้อกล่าวหาที่ว่ารัฐบาลของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ขาดความชอบธรรม ในการบริหารประเทศนั้น ถือเป็นการกล่าวหาที่ไม่ถูกต้อง เพราะรัฐบาลของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้รับอำนาจ จากประชาชนกว่า 15 ล้านเสียง ให้เข้ามาเป็นรัฐบาลบริหารประเทศ และเหตุที่เสียงส่วนใหญ่ ลงคะแนนให้พรรคเพื่อไทย เพราะต้องการให้เข้ามาแก้ไขรัฐธรรมนูญ ปี 50 ซึ่งเป็น นโยบายที่พรรคเพื่อไทยใช้หาเสียงจนชนะการเลือกตั้ง ดังนั้นการกล่าวหาว่ารัฐบาลแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะเป็นความต้องการของคนใน ครอบครัวชินวัตร จึงเป็นคำพูดที่ไม่ถูกต้อง หากทางกลุ่มเห็นว่ามี แนวคิดอื่นที่ดีกว่าพรรคเพื่อไทยในการบริหารประเทศ ก็ควรจะเปิดโอกาสให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินใจ ว่าจะเห็นด้วยหรือไม่ เช่น การไปตั้งพรรคการเมือง แล้วนำเสนออุดมการณ์ให้ประชาชน ตัดสินใจ ดีกว่าการยั่วยุให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง เพื่อล้มรัฐบาลและเปิดทางให้พรรคพวกของตัวเองเข้าสู่อำนาจแทน ทั้งนี้การเลือกตั้งตามวิถีทางประชาธิปไตย จะเป็นคำตอบที่ดีที่สุดว่าประชาชนมอง แนวคิดของท่านว่าเป็นดอกบัวแห่งการตื่นรู้ หรือเป็นดอกบัวที่อยู่ใต้โคลนตม

คุมราคาเมนูจานด่วน! ไม่เกินจานละ 20-35

น.ส.วิบูลย์ลักษณ์ ร่วมรักษ์ อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยภายหลังหารือกับผู้ประกอบการตลาดสดในการส่งเสริมของกรมฯ ทั้งในกรุงเทพฯและปริมณฑล 16 แห่ง รวมแผงขายอาหารปรุงสำเร็จ 747 แผง เพื่อขอความร่วมมือขายอาหารปรุงสำเร็จในเมนูที่กำหนดตามราคาแนะนำ ว่า ผู้ประกอบการยืนยันจะขายอาหารปรุงสำเร็จในเมนูที่กำหนดตามราคาแนะนำ เป็นเวลา 1 ปี มีทั้งหมด 10 เมนู ไม่เกินจานละ 20-35 บาท เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน เพราะราคาวัตถุดิบอาหารสดขณะนี้ไม่ได้ปรับขึ้นมาก บางรายการ เช่น เนื้อหมู มีราคาลดลง ส่วนราคาแก๊สหุงต้มภาคครัวเรือน ทำให้ต้นทุนอาหารปรุงสำเร็จเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น โดยใน 1-2 สัปดาห์นี้จะส่งเจ้าหน้าที่ออกตรวจสอบราคาในตลาดสด ศูนย์อาหารของห้างค้าปลีก และห้างสรรพสินค้าอีกครั้ง

สำหรับรายการอาหาร ที่กรมฯกำหนดให้ขายตามราคาแนะนำ ส่วนใหญ่เป็นอาหารที่ประชาชนนิยมรับประทานมีทั้งสิ้น 10 รายการ ประกอบด้วย ข้าวไข่เจียวไม่เกินจานละ 20 บาท ข้าวราดแกงกับ 1 อย่าง 25-30 บาท และกับข้าว 2 อย่าง 30-35 บาท ก๋วยเตี๋ยวหมู ไก่ หรือลูกชิ้นปลา ไม่เกินจานละ 30-35 บาท อาหารตามสั่ง ได้แก่ ข้าวผัดกะเพรา ราดหน้า ผัดซีอิ๊ว ไม่เกินจานละ 30-35 บาท ข้าวขาหมู และขนมจีนน้ำยา ไม่เกินจานละ 25-35 บาท ส่วนไข่ดาวไม่เกินฟองละ 5-6 บาท ส่วนราคาก๊าซหุงต้มนั้น กระทรวงพลังงานยังไม่มีการปรับราคาขายปลีก หากมีการฉวยโอกาสปรับราคาเกินจริง จะมีโทษจำคุก 7 ปี ปรับ 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

“การรวบรวมรายชื่อขึ้นทะเบียนรับการชดเชยตามนโยบาย รมว.พาณิชย์นั้น อยู่ระหว่างดำเนินการ โดยพาณิชย์ได้ประเมินว่ามีร้านอาหารรายย่อยทั่วไป 500,000 ราย แต่กระทรวงพลังงานรวบรวมไว้ 170,000 รายเท่านั้น จึงต้องเร่งรวบรวมรายชื่อเพื่อให้ครอบคลุมการช่วยเหลือ โดยผู้ประกอบการสามารถยื่นเรื่องได้ที่กระทรวงพาณิชย์ และสำนักงานค้าภายในจังหวัดทั่วประเทศ”.