เมื่อ 18 ส.ค. ตำรวจนครลอสแอนเจลิส (แอลเอพีดี) รัฐแคลิฟอร์เนีย ในสหรัฐฯ ประสานงานร่วมกับสำนักงานสอบสวนกลางสหรัฐฯ (เอฟบีไอ) และสำนักงานรักษากฎหมายอีกหลายแห่ง ภายใต้ภารกิจที่ชื่อว่า “ปฏิบัติงานกู้ภัยภาคฤดูร้อน” ตลอดระยะเวลา 3 วัน ในช่วงวันที่ 10-12 ส.ค. แถลงผลงานเกี่ยวกับการเข้ากวาดล้างกระบวนการค้ามนุษย์ทั่วนครลอสแอนเจลิส สามารถจับกุมผู้ต้องสงสัยไว้ได้ 286 คน ทั้งหมดถูกตั้งข้อหาค้าประเวณี ช่วยเหลือเหยื่อได้ 10 คน ผู้หญิง 9 คน ผู้ชาย 1 คน ในจำนวนนี้ 8 คน เป็นเยาวชนอายุระหว่าง 15-17 ปี ซึ่งถูกบังคับขู่เข็ญให้ค้าบริการทางเพศ และถูกนำตัวส่งไปให้ศูนย์สงเคราะห์ที่เกี่ยวข้องเพื่อดูแลคุ้มครองต่อไป
ทั้งนี้ ศูนย์แหล่งข้อมูลการค้ามนุษย์แห่งชาติสหรัฐฯ เผยว่า คดีที่เกี่ยวกับการค้ามนุษย์มักเกิดขึ้นที่รัฐแคลิฟอร์เนียมากกว่ารัฐอื่นในประเทศ เช่นเมื่อปีกลาย เกือบ 1 ใน 5 สายที่ทางศูนย์ฮอตไลน์ของศูนย์ได้รับโทรศัพท์มาจากรัฐแคลิฟอร์เนีย และปี 2559 นี้ พบว่า มีคดีที่เกี่ยวข้องและได้รับรายงานทั่วสหรัฐฯถึงกว่า 4,000 คดี ขณะที่นายทิม สแต็ก หนึ่งในทีมแอลเอพีดี เผยว่า เหยื่อส่วนใหญ่มาจากครอบครัวมีปัญหา เคยถูกคุกคามทางเพศหรือความรุนแรงภายในบ้าน ทำให้คนร้ายหลอกเหยื่อว่า จะทำให้ชีวิตสบายและหาเงินได้มาก ซึ่งไม่ใช่เรื่องจริง.
(19 ส.ค..)ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าว โดยผู้สื่อข่าวถามถึงข้อเสนอให้รัฐบาลผ่อนคลายบุคคลที่ทางการจับกุมตัวกรณีออกมาแสดงความเห็นทางการเมือง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวสวนทันทีว่า เขาผิดกฎหมายหรือเปล่า ไม่ว่าจะกรณีไหนมันก็ผิดกฎหมาย ถ้ากฎหมายเขียนว่ามีความผิดนั่นก็คือมีความผิด จะละเว้นไม่ได้ กฎหมายไม่ได้เขียนให้ละเว้นใครตนใดคนหนึ่ง แต่เขียนไว้ว่าห้ามทำ และถ้าทำก็ต้องถูกลงโทษ กฎหมายเขียนไว้ชัดเจน รู้อยู่แล้วจะทำกันทำไม ในเมื่อสถานการณ์บ้านเมืองเป็นแบบนี้ ตนเคยบอกไว้แล้วว่าบางอย่างก็อาจถูกจำกัดในเรื่องของสิทธิ์เสรีภาพไว้บ้าง ไม่สามารถทำได้ร้อยเปอร์เซนต์ เพราะที่ผ่านมามีปัญหาตลอด บางอย่างจึงต้องห้ามไว้บ้าง แต่พอห้ามก็กลายเป็นจุดที่บางคนนำไปขับเคลื่อนให้เกิดเรื่องราว ต้องการให้เจ้าหน้าที่จับกุมเพื่อไปเคลื่อนไหวในต่างประเทศ เรื่องของสิทธิมนุษยชน ไปเรียกร้องสถานทูตจนวุ่นวายไปหมด ให้ไปถามคนเหล่านี้ว่ารักประเทศไทยแค่ไหน บ้านเมืองสงบก็ไม่เห็นคนทั่วไปเขาวุ่นวายอะไรอยากถามว่า ไอ้คนที่ออกมาพูดอยู่ทุกวันนี้ทำอะไรบ้างหรือยัง พูดว่าถ้าเข้ามาแล้วจะทำอะไรให้กับบ้านเมืองบ้าง ยังไม่เห็นมีใครพูดสักคน ไอ้พวกที่แรง ๆ อยู่ทุกวันนี้ เพราะฉะนั้นกฎหมายก็คือกฎหมาย คนที่จะปล่อย จับกุมหรือลงโทษ ก็คือศาล เจ้าหน้าที่ก็ต้องลงโทษตามหน้าที่ ถ้าไม่ทำก็ถือว่าเป็นการละเว้น ซึ่งระหว่างนี้ก็มีการดำเนินคดี และจับกุมในหลายคดี จะให้ปล่อยทั้งหมดเลยหรืออย่างไร โดยเฉพาะคดีการเมือง ถามว่าทำให้เกิดความวุ่นวายหรือเปล่า ถ้าปล่อยทั้งหมด เราก็คงใช้กฎหมายไม่ได้สักฉบับ อย่ามาทำให้กฎหมายเสีย และเราก็อย่าไปให้ท้าย ไม่เช่นนั้นก็จะพูดในเรื่องไม่จริงบ้าง พูดไปเรื่อย ป่วยบ้างจะเป็นจะตายบ้าง อย่าหาเรื่องกันนักเลย พอแล้ว
เมื่อวันที่ 19 ส.ค. ที่กระทรวงยุติธรรม พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม แถลงผลการประชุมแผนรองรับการปล่อยตัวผู้ได้รับพระราชทานอภัยโทษตามพ.ร.ฎ.พระราชทานอภัยโทษ 2559 ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์(พม.)และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่า ตามพ.ร.ฎ.ดังกล่าวจะมีผู้ต้องขังได้รับสิทธิลดวันต้องโทษและปล่อยตัวประมาณ 200,000 คน เป็นกลุ่มที่ได้รับการปล่อยตัว 7,780 คน ในจำนวนนี้มีผู้ต้องขังที่ได้รับการปล่อยตัวไปแล้ว 3,000 คน เป็นกลุ่มผู้พิการทุพลภาพ ผู้ป่วยด้วยโรคเรื้อรัง ผู้สูงอายุ และคดีโทษน้อย ส่วนที่เหลือประมาณ 4,000 ราย จะปล่อยทันทีหลังมีมติครม.เรื่องแผนรองรับฯ สำหรับกลุ่มที่สองเป็นผู้ต้องขังที่ได้ลดวันต้องโทษก่อนปล่อยซึ่งต้องผ่านกระบวนการพิจารณาพักโทษอีกประมาณ 5,000 คน
พล.อ.ไพบูลย์ กล่าวต่อว่า จากการปล่อยตัวผู้ต้องขังที่ทำให้สังคมอาจเกิดความกังวล นายกรัฐมนตรีจึงสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำแผนรองรับที่ชื่อว่า"ประชารัฐห่วงใยไม่ทอดทิ้งกัน"ซึ่งจะนำเสนอต่อที่ประชุมครม.ในวันที่ 23 ส.ค. นี้ มีกระทรวงยุติธรรมรับหน้าที่เป็นศูนย์กลาง ส่วนกรมราชทัณฑ์จะช่วยประสานกับกระทรวงมหาดไทย ส่วนระดับภูมิภาคจะขอให้ครม.พิจารณาให้กรมการปกครอง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พัฒนาสังคมจังหวัด แรงงานจังหวัด สำนักงานยุติธรรมจังหวัดและสาธารณสุขจังหวัด ตั้งคณะกรรมการระดับจังหวัดเพื่อทำงานร่วมกัน
พล.อ.ไพบูลย์ ยังกล่าวถึง กรณีนายชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม ผู้ต้องขังคดีทุจริตต้องโทษจำคุก 1 ปี 6เดือน ว่าอยู่ในกลุ่มที่ได้รับการลดโทษ โดยโทษที่ได้ลดคือ 4 เดือน ดังนั้นจึงเหลือโทษจำคุกอยู่อีกประมาณ 1 เดือน ก็จะอยู่ในเกณฑ์ได้รับการพักโทษ ส่วนจะได้รับการพักโทษหรือไม่ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของคณะกรรมการพักการลงโทษ และจะต้องผ่านการกลั่นกรองจากคณะกรรมการระดับกระทรวงที่มีปลัดกระทรวงและอธิบดีกรมราชทัณฑ์ตรวจสอบอีกชั้นหนึ่งซึ่งผู้ต้องขังที่อยู่ในข่ายนี้จะได้รับสิทธิเท่าเทียมกัน ส่วนผู้ต้องขังในคดีข่มขืนและเป็นภัยร้ายแรงต่อสังคมสร้างบาดแผลให้สังคมจะไม่เสนอให้อภัยโทษและไม่ได้สิทธิพักโทษ ยกเว้นคดีผิดทางเพศที่เป็นการข่มขืนระหว่างสามีภรรยาสำหรับผู้ที่ได้รับการปล่อยตัวแล้วเมื่อพ้นโทษออกไปแล้วยังไปทำผิดซ้ำ หากจับได้และถูกจำคุกมีการฟ้องใหม่จะต้องถูกเพิ่มโทษ ไม่ได้พักโทษ ไม่ได้ลดโทษ และจัดให้เป็นผู้ต้องขังชั้นเลว.
วันที่ 19 สิงหาคม 2559 ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้ากรณีคณะเจ้าหน้าที่เปิดปฎิบัติการรื้อถอนรีสอร์ตภูทับเบิก ซึ่งปรากฎว่า ในช่วงบ่าย(14.00 น.) ทางเจ้าหน้าที่เริ่มใช้รถแบ็กโฮจำนวน 2 คันเข้าจ้วงรื้อถอนป้ายและอาคารและสิ่งปลูกสร้างที่หน้ารีสอร์ต จากนั้นเริ่มขยับเข้าจะรื้อบริเวณอาคารด้านทิศเหนือของรีสอร์ต ส่งผลให้สถานการณ์เกิดความตึงเครียดขึ้นโดยทันที เนื่องจากนายกุญช์ภัสส์ พัฒนฉัตรรุ่งรุจ เจ้าของรีสอร์ตฯแสดงอาการไม่พอใจ จากนั้นได้เดินเข้าไปสอบถามนายบัณฑิต เทวีทิวารักษ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์โดยทันที จนเกิดการโต้แย้งปะทะคารมกันขึ้น
นายกุญช์ภัสส์อ้างว่า เมื่อเช้ายังแจ้งว่าจะรื้อถอนแบบวิญญูชน ไม่มีการใช้แบ็กโฮมาจ้วงแบบนี้ อันไหนถอดได้ก็ให้ถอด กระทั่งนายบัณฑิตย์กล่าวชี้แจงว่า พนักงานเจ้าหน้าที่สั่งให้รื้อถอนเป็นเดือนแล้ว แต่เมื่อไม่ดำเนินการตามกฎหมาย เวลานี้จึงหมดเวลาที่จะให้คุณดำเนินการเองแล้ว คำสั่งศาลสั่งให้คุณออกมาหลายปีแล้ว แต่คุณก็ยังไม่ออกและขบวนการต่อไปทางป่าไม้ก็ยังมีขบวนการคิดค่าเสียหายที่ทำให้ธรรมชาติเสียหายอีก ทำให้นายกุญช์ภัสส์ตอบโต้ว่า ขั้นตอนยังสุดต้องให้เจ้าพนักงานคดีบังคับคดียังไม่สุด ทำแบบนี้ไม่ถูกต้องเป็นการรังแกประชาชน
จากนั้นนายกุญช์ภัสส์พร้อมพนักงานลูกจ้างพากันไปยืนบริเวณอาคารที่รถแบ็กโฮจะเข้ารื้อต่อเนื่อง พร้อมระบุว่าหากทำกันแบบนี้ขอยอมตายดีกว่า ทำให้มีเจ้าหน้าที่เข้าพยายามเจรจาพร้อมเชิญให้นายกุญช์ภัสส์ออกพ้นจากจุดบริเวณดังกล่าวเนื่องจากเกรงได้รับอันตราย แต่นายกุญช์ภัสส์ไม่เพียงปฎิเสธเท่านั้น ยังชักชวนให้พนักงานลูกจ้างยืนหยัดต่อไปแบบไม่ต้องเกรงกลัว กระทั่งทำให้รถแบ็กโฮต้องหยุดดำเนินการรื้อถอน แต่มีการจัดส่งเจ้าหน้าที่ชุดรื้อถอนจำนวน 80 นายพร้อมอุปกรณ์ทั้งค้อนและค้อนปอนด์ เหล็กชะแลงครบมือ เข้าทำการรื้อถอนด้วยมือแทน
ต่อมาเวลา 16.30 น.คณะเจ้าหน้าที่ได้ยุติการรื้อถอนในวันแรกเป็นการชั่วคราว โดยภาพรวมปฎิบัติการรื้อถอนตลอดทั้งวันส่วนใหญ่เน้นไปที่การจัดเก็บทรัพย์สินและสิ่งของสังหาริมทรัพย์ ในขณะที่การรื้อถอนดำเนินการไปได้แค่เพียงราว 10% โดยสิ่งปลูกสร้างที่ถูกรื้อถอนได้แก่ อาคารป้อมยอมและที่รับรองลูกค้า ร้านห้องชงชาอูหลง ร้านอาหาร
เมื่อเวลา 17.00น.เพจเฟซบุ๊ก ขบวนการประชาธิปไตยใหม่ New Democracy Movement – NDM ได้เผยเเพร่ภาพพร้อมคลิปเหตุการณ์ที่ เรือนจำอำเภอ ภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ ซึ่งเป็นสถานที่ควบคุมตัวและฝากขังนายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือ “ไผ่ ดาวดิน” จากกรณีการแจกเอกสารประชามติที่ตลาดสดภูเขียว จนครบกำหนดฝากขังผัดแรกในวันนี้
เบื้องต้น ศาลภูเขียวอนุญาตให้ประกันตัว ไผ่ ดาวดิน คิดหลักทรัพย์ตีเป็นเงิน 150,000 บาท โดยพ่อของไผ่ซึ่งเป็นทนายความใช้ตำแหน่งทนายความค้ำประกันและวางเงินสดเพิ่มอีก 30,000 บาท และมีเงื่อนไขห้ามเดินทางออกนอกประเทศ
เเต่ล่าสุด สภ.เมืองขอนแก่นมีหมายอายัดตัวไผ่ ดาวดิน ในคดีที่ร่วมกับพวกชูป้ายคัดค้านรัฐประหารที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย จ.ขอนแก่น เมื่อปี 2558 โดยจะนำตัวไป จ.ขอนแก่น เพื่อขึ้นศาลทหารทันที ขณะที่ นางพริ้ม บุญภัทรรักษา มารดาของไผ่ ที่มารอรับลูกชายหลังทราบข่าวก็พยายามเจราจาร้องขอพบไผ่ เพื่อให้เซ็นใบมอบฉันทะในการลงทะเบียนเรียน ปรากฎว่าทางเรือนจำไม่ยินยอมให้พบ นางพริ้มพร้อมลูกสาวจึงนั่งคุกเข่าวิงวอนร่ำให้ขวางทางรถที่จะนำตัวลูกชายไปอายัดตัวต่อ ประมาณ 1 ชั่วโมง ทั้งนี้มีเพื่อนกลุ่มดาวดินและขบวนการประชาธิปไตยใหม่ได้ให้กำลังใจอยู่รอบๆ พร้อมทั้งตำรวจคอยรักษาความสงบ
ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า นางพริ้มได้ตะโกนต่อว่าเจ้าหน้าที่ด้วยว่า “ทำไมพอได้ประกันก็มาอายัดตัวอีก ขอแค่ให้เซ็นเอกสารลงทะเบียนเรียน ทำไมให้ไม่ได้ เกินไปรึเปล่า ต่อจากนี้จะใช้ความเป็นแม่ต่อสู้เพื่อให้ได้ความเป็นธรรมกลับมา” ก่อนที่นางพริ้มจะร้องไห้เสียงดังออกมา
ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวมติชนรายงานว่าจากนั้นเวลา 18.10 น. ได้มีเจ้าหน้าที่เรือนจำออกมาเจรจาด้วย โดยนายวิบูลย์ บุญภัทรรักษา พ่อของไผ่ได้เข้าร่วมเจรจาโดยกล่าวว่า เหตุที่มาขอร้องเรื่องขอใบมอบฉันทะให้แม่ไปลงทะเบียนเรียนแทนลูก ไม่ได้มาขัดขวางกระบวนการของกฎหมาย ทางเรือนจำต้องเข้าใจนี่มันคนละเรื่องกัน ถ้าให้แม่ของไผ่เจอลูกแล้วช่วยเซ็นมอบฉันทะลงทะเบียนเรียนก็จะจบเลย ยินดีทำตามข้อตกลงเอาแม่เข้าไปเจอไผ่คนเดียว
กระทั่งเจ้าหน้าที่เรือนจำยินยอม ก่อนจะให้เจ้าหน้าที่เรือนจำหญิงตรวจค้นร่างกายของนางพริ้มแล้วนำเข้าตัวเข้าไปเจอกับไผ่ หลังได้ใบมอบฉันทะแล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจสภ.เมืองขอนแก่นได้นำตัวไผ่ขึ้นรถไปยังสภ.เมืองขอนแก่น โดยมีนายวิบูลย์ บุญภัทรรักษา หรือทนายอู๊ด พร้อมด้วยนางพริ้ม บุญภัทรรักษา แม่ของไผ่ น.ส.พร้อมพร บุญภัทรรักษา น้องสาวไผ่ ขับรถตามหลังไปด้วย
เฟซบุ๊กของอานนท์ นำภา ทนายของไผ่ ได้เผยว่า เมื่อเวลา 19.40 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองขอนแก่นได้ควบคุมตัวไผ่ ส่งศาลทหารที่มณฑลทหารบกที่ 23 ค่ายศรีพัชรินทร (มทบ.23) และศาลทหารได้สั่งให้นำไผ่เข้าเรือนจำขอนแก่นทันที
ข่าวช็อกนักกีฬาไทย "โปรเม" เอรียา จุฑานุกาล ก้านเหล็กสาวตัวความหวังเหรียญทอง ล่าสุดขอถอนตัวสวิงโอลิมปิกเกมส์ 2016 แล้วเนื่องจากได้รับบาดเจ็บที่หัวเข่า...
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานวันที่ 19 ส.ค. ว่า "โปรเม" เอรียา จุฑานุกาล โปรสาววัย 20 ปีตัวเต็งเหรียญทองโอลิมปิกเกมส์ 2016 ของทีมชาติไทย ล่าสุดขอถอนตัวจากการแข่งขันแล้ว จากปัญหาอาการบาดเจ็บ
ขณะที่ "โปรเม" ลงประชันวงสวิงประเภทบุคคลหญิง ในศึกริโอเกมส์วันที่ 3 ผ่านไป 13 หลุม โปรเม ฟอร์มออกทะเลตีเกินไปถึง 12 โอเวอร์พาร์ ก่อนที่เจ้าตัวจะขอประกาศถอนตัวจากการแข่งขันโดยให้เหตุผลว่ามีอาการบาดเจ็บที่หัวเข่า
ส่วนในรายของ "โปรแหวน" พรอนงค์ เพชรล้ำ อีกหนึ่งก้านเหล็กชาวไทยยังทำการแข่งขันอยู่ในวันที่สามตีเข้ามา 2 อันเดอร์พาร์ สกอร์รวมสามวัน 1 อันเดอร์พาร์อยู่อันดับที่ 22 ร่วม ตามหลังจ่าฝูง ปาร์ก อินบี โปรชาวเกาหลีใต้ผู้นำวันที่สองอยู่ถึง 9 สโตรก
ชาวเน็ตจีนเมาท์กระหึ่มโซเชียล.. ช็อก หวัง เป่าเฉียง ดาราดัง ประกาศหย่าเมีย หม่า หรง พร้อมสั่งปลดผู้จัดการส่วนตัวแบบสายฟ้าแลบ หลังจับได้ว่าทั้งคู่แอบคบชู้กัน อีกทั้งเมียรักยังมีการยักย้ายถ่ายโอนสินสมรสออกไปด้วย
เมื่อ 18 ส.ค. 59 สำนักข่าวบีบีซี รายงานข่าวเกิดกระแสฮือฮา เมาท์สนั่นสังคมโซเชียลของจีนอย่างถล่มทลาย เมื่อนายหวัง เป่าเฉียง ดาราชื่อดังของจีน วัย 32 ซึ่งคนไทยไม่น้อยยังรู้จักเขาจากการเป็นดาวตลกในภาพยนตร์เรื่อง ‘Lost in Thailand’ ได้โพสต์ผ่านไมโครบล็อกยอดฮิตของชาวจีน ‘Weibo’ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 14 ส.ค.ที่ผ่านมา ประกาศข่าวช็อกแฟนๆ ชาวจีนว่า เขาจะหย่าขาด แยกทางกับภรรยา หม่า หรง แล้ว พร้อมทั้งยังปลดผู้จัดการส่วนตัวของเขา นายซง จี้ หลังมารู้ว่าทั้งคู่แอบ ‘คบชู้’ มีความสัมพันธ์กันอย่างลับๆ
หวัง เป่าเฉียง บอกด้วยความเจ็บปวดว่า ชีวิตสมรสของเขากับภรรยาต้องพังพินาศ หลังจากภรรยาของเขาแอบคบชู้กับผู้จัดการส่วนตัวของเขาเอง หนำซ้ำ เธอยังมีการยักย้ายถ่ายโอนสินสมรสออกไปด้วย ขณะที่ทางฟากของหม่า หรง ก็สวนกลับ หวัง เป่าเฉียง แทบจะทันทีว่า เขานั่นแหละที่เป็นคนทำลายชีวิตแต่งงานให้ต้องจบเห่ลงแบบนี้ จากการที่เขาทอดทิ้งไม่ดูแลครอบครัว
บีบีซี แจ้งว่า หลังจาก หวัง เป่าเฉียง โพสต์ข้อความประกาศหย่าขาดกับภรรยาคนสวยแล้ว ปรากฏว่าไม่กี่อึดใจต่อมา ชาวเน็ตได้เมาท์กระหึ่มโลกออนไลน์กันทันที จนกลายเป็นหัวข้อฮอตสุดๆ โดย #หวังเป่าเฉียงหย่า มีคนเข้าไปดูแล้วมากกว่า 5 ล้านครั้งเลยทีเดียว ทั้งนี้ หวัง เป่าเฉียง แต่งงานกับหม่า หรง เมื่อปี 2552 และมีลูกด้วยกัน 2 คน เป็นลูกสาว 1 คน และลูกชาย 1 คน
© 2011 - 2026 Thai LA Newspaper 1100 North Main St, Los Angeles, CA 90012