23 ก.พ.67 พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้มีหนังสือคำสั่งด่วนที่สุดถึง รอง ผบ.ตร. และ จตช.ผู้ช่วย ผบ.ตร. และ รอง จตช.ผบช. หรือตำแหน่งเทียบเท่า และ ผบก. หรือตำแหน่งเทียบเท่า เรื่อง กำชับการให้ข่าว การแถลงข่าว การให้สัมภาษณ์ การเผยแพร่ภาพต่อสื่อมวลชน ดังนี้
ด้วยปรากฎมีเหตุการณ์ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของ ตร. จากการให้ข่าว การแถลงข่าวการให้สัมภาษณ์ของข้าราชการตำรวจ ซึ่งอาจสร้างความเข้าใจคลาดเคลื่อน หรือคลุมเครือในประเด็นต่างๆ ต่อประชาชนและสังคมมากยิ่งขึ้น อันเกิดจากข้อมูลที่ไม่ชัดเจน หรือไม่สามารถเปิดเผยได้อย่างครบถ้วน เนื่องด้วยมีกระบวนการ ขั้นตอน หรือข้อจำกัดทางกฎหมาย ระเบียบต่างๆที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น อีกทั้งในบางประเด็นมิได้มีความจำเป็นหรือเกิดประโยชน์สาธารณะ หรือเป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติงานตามภารกิจของ ตร.แต่อย่างใด ซึ่ง ตร.มีระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่าด้วยประมวลระเบียบการตำรวจไม่เกี่ยวกับคดี ลักษณะที่ 30 การปฏิบัติเกี่ยวกับการให้ข่าว การแถลงข่าว การให้สัมภาษณ์ การเผยแพร่ภาพต่อสื่อมวลชน และการจัดทำสื่อประชาสัมพันธ์ พ.ศ.2556 ลง 11 มี.ค.56 ให้ข้าราชการตำรวจถือปฏิบัติไว้แล้ว
เพื่อให้เกิดความเรียบร้อย และเป็นแนวทางการปฏิบัติเดียวกันของการพิจารณาในการให้ข่าว การแถลงข่าว การให้สัมภาษณ์ จึงกำชับดังนี้
(1) ให้ปฏิบัติตามระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่าด้วยประมวลระเบียบการตำรวจไม่เกี่ยวกับคดีลักษณะที่ 30 ดังกล่าวข้างตันอย่างเคร่งครัด และให้ใช้วิจารณญาณ ประกอบดุลยพินิจที่มีพื้นฐานบนประโยชน์สาธารณะ และภาพลัษณ์ขององค์กรเป็นสำคัญ ไม่ให้เกิดเหตุในลักษณะของการบ่อนทำลาย หรือมุ่งที่จะใช้ประโยชน์จากสถานการณ์หรือกระแสสังคมเพื่อบั่นทอนภาพลักษณ์ หรือการปฏิบัติงานของข้าราชการตำรวจหรือสร้างสภาวะเกื้อกูลเพื่อประโยชน์ส่วนตน
(2) การให้ข่าว การแถลงข่าว การให้สัมภาษณ์ กรณีเหตุที่เกิดหรือประเด็นข้อพิพาท ข้อสงสัยในการปฏิบัติงานระหว่างหน่วยงานของ ตร. หรือข้าราชการตำรวจด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย หรือมากกว่านั้น ให้ผู้ได้รับแต่งตั้ง หรือรับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชา หรือหัวหน้าหน่วยงาน ให้ปฏิบัติหน้าที่เป็นโฆษกของหน่วยงานเป็นผู้ให้ข่าวตามหน้าที่รับผิดชอบ โดยเฉพาะกรณีเป็นคดีความที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง หรือคดีอาญาสำคัญที่ประชาชนให้ความสนใจในวงกว้างและอาจส่งผลกระทบต่อ ตร. และให้ถือปฏิบัติตามสั่งการ ว.ตร. ด่วนที่สุด ที่ 0001 (ศปก.ตร.) /91 ลง 7 มิ.ย.60
ทั้งนี้ หากพบการกระทำฝ่าฝืนในเรื่องที่กำชับไว้ดังกล่าวอันมีลักษณะเข้าข่ายของการกระทำที่เป็นความผิดวินัย หรืออาญา จะพิจารณาดำเนินการอย่างเด็ดขาดต่อไปเพื่อถือปฏิบัติโดยเคร่งครัด
พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากกรณีคดีเว็บไซต์พนันออนไลน์เครือข่ายมินนี่ ที่มีข้าราชการตำรวจ 8 นายตกเป็นผู้ต้องหา และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้ สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามคำร้องขอของอัยการ ขอให้กำหนดมาตรการคุ้มครองความปลอดภัยอธิบดีอัยการ สำนักงานการสอบสวน และอัยการพิเศษฝ่ายการสอบสวน 1 ที่เข้าไปให้คำแนะนำสืบสวนสอบสวนคดีดังกล่าวนั้น
ล่าสุด พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ลงนามในคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ 106/2567 เรื่อง ให้ข้าราชการตำรวจช่วยราชการและรักษาราชการแทน ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีคำสั่งที่ 543/2566 ลงวันที่ 27 กันยายน 2566 ให้ข้าราชการตำรวจ จำนวน 8 ราย ปฏิบัติราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ด้วยเหตุกรณีที่มีข้าราชการตำรวจถูกดำเนินคดีในการกระทำความผิดอาญา หากปฏิบัติหน้าที่ในหน่วยงานเดิมอาจเกิดความเสียหายต่อทางราชการนั้น
เนื่องจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้รับรายงานกรณีที่ข้าราชการตำรวจดังกล่าว ซึ่งอยู่ระหว่างถูกดำเนินคดีในการกระทำความผิดอาญา มีพฤติการณ์ไม่เหมาะสมกับเจ้าพนักงานผู้ปฏิบัติหน้าที่ในการให้คำแนะนำปรึกษาการสอบสวนคดีนี้ และขัดขวางกระบวนการสืบสวนสอบสวน ทำให้ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในการปฏิบัติหน้าที่ราชการและการอำนวยความยุติธรรมของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยหากให้ปฏิบัติหน้าที่ในหน่วยงานเดิมอาจก่อให้เกิดความเสียหาย ประกอบกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติมีคำสั่งที่ 93/2567 ลงวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2567 แต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง กรณีที่ข้าราชการตำรวจดังกล่าวมีกรณีกล่าวหาหรือเป็นที่สงสัยว่ากระทำผิดวินัย
ดังนั้น เพื่อประโยชน์ในการอำนวยความยุติธรรมทางอาญาของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และให้การดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเป็นไปด้วยความเรียบร้อย รวมทั้งเพื่อมิให้เกิดความเสียหายต่อทางราชการ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 63 และมาตรา 105 แห่งพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2565 ประกอบระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่าด้วยการสั่งให้ข้าราชการตำรวจไปช่วยราชการภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2566 จึงให้ข้าราชการตำรวจช่วยราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อาคาร 1 ชั้น 20 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยขาดจากการปฏิบัติหน้าที่ทางตำแหน่งเดิม เพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามที่ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มอบหมาย เป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย และให้ข้าราชการตำรวจรักษาราชการแทนในตำแหน่งต่าง ๆ รวมจำนวน 11 ราย
ทั้งนี้ ให้ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ควบคุมดูแลการปฏิบัติของข้าราชการตำรวจที่ช่วยราชการ พร้อมทั้งกำชับการปฏิบัติหน้าที่ให้เหมาะสมต่อไป
นิวยอร์ก (รอยเตอร์ส) - ชายไทยตกเป็นจำเลยในคดีที่สหรัฐฯ กรณีสมคบคิดกับหัวหน้าแก๊งยากูซ่าญี่ปุ่น ลักลอบค้าวัสดุ
นิวเคลียร์จากเมียนมาไปยังอิหร่าน โดยมีการเจรจาล่อซื้อกันในประเทศไทย
สำนักงานปราบปรามยาเสพติดของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นเจ้าของคดีนี้ ประกาศว่าคดีนี้มีจำเลยหลักคือ ทาเคชิ เอบิซาวะ อายุ 60 ปี หัวหน้าแก๊งยากูซาชาวญี่ปุ่น ส่วนคนไทยที่เป็นจำเลยร่วมคือ นายสมภพ สิงห์ศิริ อายุ 61 ปี ตามสำนวนฟ้องนั้นระบุว่า ทั้งสองสมคบกันลักลอบค้ายาเสพติด อาวุธและวัสดุนิวเคลียร์ ที่มีทั้งยูเรเนียมและพลูโตเนียม ที่สามารถนำไปผลิตอาวุธได้ ส่วนอาวุธอื่นๆ ประกอบด้วย ขีปนาวุธจากภาคพื้นสู่อากาศ ปืนไรเฟิลจู่โจม และซุ่มยิง ปืนกลจรวด และอุปกรณ์ยุทธวิธีอีกหลายชนิด
กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ เปิดเผยด้วยว่า ทั้งสองคนถูกคุมตัวในเรือนจำที่นครนิวยอร์กมามาตั้งแต่เดือนเมษายน 2022 ในอีกข้อหาคือร่วมกันละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศว่าด้วยการค้าอาวุธและยาเสพติดซึ่งในความผิดข้อหานี้ นอกจากนายสมภพแล้ว ยังมีจำเลยที่เป็นคนไทยอีกสองคนด้วย คือ นายสมภักดิ์ รักษ์สราณี และนายสุขสันต์จุลนันท์ โดยพบว่าลักลอบขนเฮโรอีนและยาไอซ์จากรัฐฉานในเมียนมา และยังพยายามจัดหาขีปนาวุธให้กับกลุ่มกบฏในเมียนมาและศรีลังกาอีกด้วย
สำหรับในคดีนี้ เอบิซาวะ เคยให้การว่า จำเลยคนไทยเป็นนายพลกองทัพอากาศไทย และทหารบกเกษียณราชการด้วย แต่ทางกระทรวงกลาโหมของไทยออกมาปฏิเสธว่าทั้งหมดไม่เคยรับราชการทหาร
อัยการสหรัฐฯ ระบุว่า ทั้งเอบิซาวะและนายสมภพ จะถูกดำเนินคดีรวบเป็นคดีเดียว ทั้งคู่เตรียมถูกนำตัวขึ้นศาลเพื่อรับทราบข้อหาในวันพฤหัสบดีตามเวลาในสหรัฐฯ และหากถูกตัดสินว่ามีความผิด อาจต้องโทษจำคุกตลอดชีวิต ส่วนคนไทยอีกสองคนนั้นไม่แน่ชัดว่ามีส่วนร่วมกับคดีล่าสุดนี้ด้วยหรือไม่ อีกทั้งยังมีรายละเอียดในสำนวนที่น่าตกใจคือ ในระหว่างทำคดี พบว่าเอบิซาวะ ได้นำวัสดุนิวเคลียร์มาแสดงให้กับเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ที่ปลอมตัวล่อซื้อ โดยใช้สถานที่ในไทยเพื่อพบเจรจากันด้วย
วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2567 นสพ.The Guardian ของอังกฤษ รายงานข่าว Cost of raising children in China second-highest in world, thinktank reveals อ้างอิงข้อมูลจากสถาบันวิจัยประชากรหยูวา (YuWa Population Research Institute) ประเทศจีน ที่ระบุว่า พ่อแม่ชาวจีนต้องเสียค่าใช้จ่ายเฉลี่ยในการเลี้ยงดูบุตรจนถึงอายุ 18 ปี อยู่ที่ 538,000 หยวน (59,275 ปอนด์ หรือกว่า 2.6 ล้านบาท) ซึ่งสูงกว่าผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) ต่อหัวมากกว่า 6.3 เท่า นอกจากนั้น เด็กที่เติบโตในเขตเมืองของจีน ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยจะเพิ่มขึ้นเป็น 667,000 หยวน (73,488 ปอนด์ หรือราว 3.3 ล้านบาท)
ซึ่งหากเปรียบเทียบแล้ว คนเป็นพ่อแม่ในจีนจะแบกรับภาระนี้สูงกว่าคนเป็นพ่อแม่ในสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น ซึ่งอยู่ที่ 4.11 เท่า และ 4.26 เท่า ตามลำดับ รวมถึงสูงกว่าพ่อแม่ในออสเตรเลีย ที่ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยในการเลี้ยงดูบุตรจะสูงกว่า GDP ต่อหัวอยู่ที่ 2.06 เท่า ทั้งนี้ ผลวิจัยดังกล่าวซึ่งจัดทำโดย เหลียงเจี้ยนจาง (Liang Jianzhang) นักธุรกิจและอาจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยปักกิ่ง และคณะ ยังกล่าวด้วยว่า จีนเป็นประเทศอันดับ 2 รองจากเกาหลีใต้ ที่มีอัตราการเจริญพันธุ์ต่ำที่สุดในโลก
คณะผู้วิจัยยังกล่าวถึง “ต้นทุนค่าเสียโอกาส” ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้หญิงต้องแบกรับหากมีบุตร โดยคนเป็นแม่ต้องสูญเสียทั้งชั่วโมงการทำงานซึ่งมีผลต่อการได้รับค่าจ้าง รวมถึงสูญเสียเวลาว่างเนื่องจากการเลี้ยงลูก ในขณะที่ผู้ชายในฐานะพ่อ จะสูญเสียเพียงเวลาว่างเท่านั้น ขณะที่บทบาทของพ่อแม่ต่อการเรียนของลูก พบว่า ระหว่างปี 2553-2561 เวลาที่ผู้ปกครองใช้ในการช่วยทำการบ้านของลูกวัยเรียนชั้นประถมศึกษาเพิ่มขึ้นจาก 3.67 เป็น 5.88 ชั่วโมงต่อสัปดาห์
“เนื่องจากเหตุผลต่างๆ เช่น ค่าใช้จ่ายสูงในการคลอดบุตร และความยากลำบากสำหรับผู้หญิงในการสร้างสมดุลระหว่างครอบครัวและการทำงาน ความพร้อมในการเจริญพันธุ์โดยเฉลี่ยของชาวจีนจึงเกือบจะต่ำที่สุดในโลก โดยความพร้อมในการเจริญพันธุ์ หมายถึงสิ่งที่ผู้คนมองว่าเป็นจำนวนลูกในอุดมคติของครอบครัว ซึ่งในประเทศจีนมีน้อยกว่า 2 คน ตามการสำรวจหลายครั้งที่ผ่านมา” รายงานผลการศึกษาฉบับนี้ ระบุ
รายงานของ YuWa ให้ข้อสรุปว่า อัตราการเกิดที่ลดลงจะส่งผลกระทบอย่างมากต่อศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีน ความมีชีวิตชีวาของนวัตกรรม ดัชนีความสุขของผู้คน และแม้แต่การฟื้นฟูของชาติ เหตุผลพื้นฐานว่าทำไมจีนถึงมีอัตราการเจริญพันธุ์ต่ำที่สุดในโลกก็คือ ต้นทุนการเจริญพันธุ์ที่สูงที่สุดในโลก โดยในปี 2566 ที่ผ่านมา จำนวนเด็กเกิดใหม่ในจีนอยู่ที่มากกว่า 9 ล้านคน คิดเป็นเพียงประมาณครึ่งหนึ่งเมื่อเทียบกับปี 2559
ขณะที่จำนวนประชากรของจีนลดลงเป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน ส่งผลให้รัฐบาลมีความกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับระบบการดูแลผู้สูงอายุ เนื่องจากกำลังคนวัยแรงงานลดลง โดยผู้หญิงมีแนวโน้มที่จะชะลอหรือปฏิเสธการเป็นแม่มากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากผลกระทบด้านลบที่มีต่ออาชีพการงานและการเงิน ขณะที่ในปี 2560 รัฐบาลแดนมังกรได้ยกเลิกนโยบายลูกคนเดียว อันเป็นนโยบายควบคุมจำนวนประชากรที่ใช้มานานหลายทศวรรษ และต่อมาก็สนับสนุนให้ผู้หญิงมีลูกได้ถึง 3 คน นอกจากนั้น บางมณฑลได้ยกเลิกข้อจำกัดเกี่ยวกับจำนวนเด็กในครัวเรือนที่สามารถจดทะเบียนได้
รัฐบาลท้องถิ่นหลายแห่งในจีนได้ออกมาตรการเพื่อพยายามเพิ่มอัตราการเกิด ตั้งแต่การอุดหนุนเงินสดสำหรับเด็กเพิ่มเติม ไปจนถึงส่วนลดสำหรับการทำเด็กหลอดแก้ว ผู้กำหนดนโยบายที่เชื่อโชคลางหวังว่าปีมังกรตามจันทรคติ ซึ่งเริ่มในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ อาจนำไปสู่การเกิดที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากพ่อแม่วางแผนที่จะมีลูกมังกรที่เป็นมงคล แต่จนถึงขณะนี้ แรงจูงใจของรัฐบาลได้ส่งผลกระทบเล็กน้อยต่ออัตราการเกิดที่ลดลงอย่างดื้อรั้น
หลี่เจีย จาง (Lijia Zhang) นักเขียนที่กำลังเขียนหนังสือเกี่ยวกับทัศนคติที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้หญิงจีนต่อการแต่งงานและการเป็นแม่ กล่าวว่า ค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาและที่อยู่อาศัยที่สูงทำให้การเลี้ยงดูลูกมีความยากลำบากทางการเงิน โดยผู้หญิงหลายคนที่ตนพูดคุยด้วย ระบุว่า พวกเธอไม่มีเงินพอที่จะมีลูกได้ 2-3 คน บางคนสามารถจัดการได้ แต่คนอื่นๆ ไม่ต้องการแม้แต่จะให้มารบกวนด้วยซ้ำ ยังมีเรื่องขอทัศนคติ ซึ่งผู้หญิงในเมืองและผู้หญิงที่ได้รับการศึกษาสูงจำนวนมากไม่เห็นว่าความเป็นแม่เป็นเส้นทางที่จำเป็นในชีวิต หรือเป็นส่วนประกอบสำหรับความสุขอีกต่อไป
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ยานโนวา-ซี (Nova-C) หรือเรียกอีกอย่างว่า “โอดิสซิอุส” เป็นยานสำรวจดวงจันทร์ที่สร้างขึ้นโดยบริษัทเอกชนด้านเทคโนโลยีอวกาศของสหรัฐทีชื่อ บริษัท “อินทูอิทิฟ แมชชีนส์” ถูกจารึกในประวัติศาสตร์แล้วว่า เป็นเอกชนรายแรกที่นำยานขึ้นไปสำรวจดวงจันทร์ได้สำเร็จ
โดยเมื่อมีสัญญาณยืนยันว่า ยานโอดิสซิอุส ได้ลงจอดบริเวณขั้วใต้ของดวงจันทร์ได้แล้ว เมื่อเวลา 06.23 น. ตามเวลาประเทศไทย บรรดาเจ้าหน้าที่และพนักงานของบริษัทที่ควบคุมยาน ต่างโห่ร้องแสดงความยินดี ที่ฝ่าฝันได้สำเร็จ เพราะว่าก่อนที่ยานจะเริ่มลดระดับลงจอดเกิดปัญหากับระบบเลเซอร์ที่ใช้คำนวณความสูงและความเร็วของยาน แต่ในท้ายสุดก็แก้ไขปัญหาได้
นอกจากจะเป็นความสำเร็จของบริษัท อินทูอิทีฟ แมชชีนส์แล้ว การลงจอดของยานสำรวจครั้งนี้ยังเป็นความก้าวหน้าสำคัญของสหรัฐด้วย เพราะได้ว่างเว้นจากการนำยานไปสำรวจพื้นผิวดวงจันทร์มานานกว่า 50 ปี โดยทางองค์การสำรวจอวกาศแห่งชาติของสหรัฐ หรือ นาซ่า ร่วมใช้งานยานสำรวจโอดิซิอุสเพื่อนำอุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ขึ้นไปด้วย
นาย บิล เนลสัน ผู้อำนวยการนาซ่า กล่าวว่า นี่เป็นชัยชนะครั้งใหญ่ที่สหรัฐได้กลับไปยังดวงจันทร์อีกครั้ง แล้ววันนี้ยังเป็นวันแรกในประวัติศาสตร์มนุษยชาติที่บริษัทเอกชนอเมริกัน ได้ส่งยานขึ้นไปบนดวงจันทร์ได้
สำหรับจุดที่ลงจอดนั้นเป็นพื้นที่แอ่ง ใกล้กับเขา มาลาเพิร์ท (Malapert) ที่มีความสูง 5 กิโลเมตร ซึ่งเป็นจุดที่อยู่ใกล้ขั้วใต้ของดวงจันทร์มากที่สุดที่มนุษย์เคยสำรวจ