วันที่ 8 ส.ค. ซีเอ็นเอ็นรายงานการรอดชีวิตสุดปาฏิหาริย์ในสหรัฐอเมริกา เมื่อนายดีแลน คอร์ลิส และน.ส.เลกซี่ วาร์กา คู่รักวัยรุ่นจากเมืองแคลร์มอนต์ รัฐแคลิฟอร์เนีย ประสบเหตุไม่คาดฝันถูกฟ้าผ่าขณะเดินไปร้านเบอร์เกอร์ช่วงกลางวันเมื่อ 6 ส.ค. แต่เคราะห์ดีเพราะทั้งคู่จับมือกัน กระแสไฟฟ้าที่ไหลเข้าสู่ร่างกายนายคอร์ลิสจึงกระจายไปยังน.ส.วาร์กา และทำให้ความรุนแรงลดลง
“ผมแค่จำได้ว่ารู้สึกสับสน เหมือนถูกใครบางคนใช้แผ่นเหล็กตีที่หัว” นายคอร์ลิสกล่าว และว่าหลังจากนั้นก็ล้มลงนอนกองกับพื้นทันที ขณะที่แฟนสาวกระเด็นห่างออกไปเกือบเมตร ระหว่างนั้นมีพลเมืองดีที่เห็นเหตุการณ์เข้าให้ความช่วยเหลือ แต่เพราะไม่มีบาดแผลฉกรรจ์ หนุ่มสาวจึงตัดสินใจไปร้านเบอร์เกอร์และกินจนอิ่ม กระทั่งกลับมาถึงบ้านจึงรู้สึกแปลกๆ เลยขอร้องให้พ่อแม่พาไปโรงพยาบาล
ด้านนพ.สเตฟาน เรย์โนโซ กล่าวว่านายคอร์ลิส และน.ส.วาร์กาโชคดีมากที่จับมือกัน ไม่เช่นนั้นอาจมีแผลไฟไหม้หรืออาการบาดเจ็บที่ร้ายแรงกว่านี้ พร้อมตั้งสันนิษฐานว่า กระแสไฟจากฟ้าผ่าเข้าสู่ศีรษะของนายคอร์ลิส ก่อนจะเคลื่อนที่ลงลำตัว ตามด้วยมือ และเข้าสู่ร่างกายของแฟนสาว จากนั้นไหลผ่านส่วนขา เท้า และออกพื้นฟุตบาธ
เมื่อวันที่ 11 ส.ค. นายพานทองแท้ ชินวัตร ลูกชายพ.ต.ท.ทักษิณ โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก ถึงกรณีการถอดยศพ.ต.ท.ทักษิณ ว่า ระบุว่า "ถอดยศ ทักษิณ" ถ้าคิดว่าทำแล้ว ประเทศชาติบ้านเมืองจะดีขึ้น ก็ทำไปเถอะครับ..!!
รีบๆทำ รีบๆถอด ซะให้เสร็จๆ จะได้เอาเวลาที่เหลือไปทำประโยชน์ ช่วยเหลือชาวบ้านที่เขายังลำบาก ยังต้องปากกัดตีนถีบ รอความหวังจากรัฐบาลกันอยู่
อำนาจทุกอย่างก็อยู่ในมือ กฎหมายมาตราพิเศษ ก็มีใช้มากกว่ารัฐบาลอื่นๆ แต้มต่อมีเยอะขนาดนี้ ประเทศชาติน่าที่จะพัฒนา ประชาชนน่าที่จะสบายกว่านี้หลายเท่าตัว แต่ปัจจุบันกลับมีเสียงบ่น ข้าวยากหมากแพง เงินเดือนไม่พอจ่าย มีปัญหาหนี้สิน ถูกปลดจากงาน เดี๋ยวน้ำแล้งห้ามทำการเกษตร เดี๋ยวน้ำท่วม ปัญหาอื่นๆอีกร้อยแปดพันเก้า เดือดร้อนกันไปหมดทุกหย่อมหญ้า
อำนาจต่างๆที่มีอยู่ล้นมือ น่าจะเอาไปใช้กับเรื่องหลักๆ ที่ประชาชนเขาเดือดร้อนน่าจะดีกว่านะครับ แก้ปัญหา 3 จังหวัดภาคใต้ให้หมดไป ปราบยาเสพติดให้สิ้นซาก ควบคุมราคาสินค้า ขจัดปัญหาพ่อค้าคนกลางที่เอาเปรียบคนจน ปัญหาหลักอื่นๆที่ควรจะแก้ไขอีกตั้งเยอะแยะ หากแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ คนน่าจะชื่นชมมากกว่า สิ่งที่กำลังพยายามทำอยู่
ผมเชื่อว่าเรื่องถอดยศ คุณพ่อผมน่าจะเฉยๆนะครับ มียศก็ได้ ไม่มีก็ไม่แปลก ผมจำได้ว่าเคยมีคนตั้งเรื่องจะขอพระราชทาน ยศชั้นนายพลตำรวจให้กับคุณพ่อผม ในฐานะที่เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งทำคุณประโยชน์ให้กับบ้านเมือง เมื่อทราบคุณพ่อผมรีบเบรคเรื่องทันที เพราะไม่อยากจะให้ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท ที่จะต้องทรงพิจารณา ในการจะทรงลงพระปรมาภิไธย
วันที่ 11 สิงหาคม ที่ศาลอาญา รัชดาภิเษก ศาลนัดอ่านคำพิพากษา ในคดีที่ พ.อ.ปิยะวัฒก์ กิ่งเกตุ อดีตผู้บัญชาการสำนักคดีทรัพย์สินทางปัญญา กรมสอบสวนคดีพิเศษ เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ และนายชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันปฏิบัติ หรือละเว้นหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
จากกรณีเมื่อวันที่ 30 มีนาคม ถึง 8 ตุลาคม 2555 นายธาริต ได้ทำหนังสือโยกย้าย พันเอก ปิยะวัฒน์ จากตำแหน่งผู้บัญชาการสำนักคดีทรัพย์สินทางปัญญา ดีเอสไอ ไปเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะคดี ซึ่งมีระดับต่ำกว่าเดิม โดยผ่านความเห็นชอบของนายชาญเชาว์ จำเลยที่ 2 ซึ่งศาลอาญา มีคำสั่งไม่รับฟ้อง แต่ต่อมาศาลอุทธรณ์ พิพากษากลับให้ศาลอาญารับฟ้อง ไว้พิจารณา
ซึ่งพันเอกปิยะวัฒน์ นำสืบว่า การเสนอขอย้ายน่าจะมีเหตุความขัดแย้งเรื่องการสั่งสำนวนคดีหลายคดีโดยเฉพาะคดีแชร์สลากกินแบ่งรัฐบาล ที่มีความเห็นไม่ตรงกัน
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานแล้วเห็นว่า หลังถูกโยกย้ายคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมของสำนักงาน ก.พ. มีคำวินิจฉัยว่าคำสั่งโยกย้ายดังกล่าว ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงเป็นความผิด ฐานเป็นเจ้าพนักงานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ พิพากษา ให้จำคุก นายธาริต 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา ส่วนนายชาญเชาวน์ จำเลยที่ 2 ศาลพิพากษายกฟ้อง
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ล่าสุด ศาลตีราคาประกัน นายธาริต 2 แสนบาท พร้อมปล่อยตัวโดยไม่มีเงื่อนไข
หลังจากที่มีการเผยแพร่เรื่องราวของ ฤาษีพุทธจรัล เจ้าสำนักอาศรมอมราวดี ต.แม่ริม อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ โชว์การลอยตัว จนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวางในสังคมออนไลน์
ล่าสุดเมื่อวันที่ 11 ส.ค. พระมหาไพรวัลย์ วรรณบุตร พระนักคิด ได้โพสต์ในเฟซบุ๊คส่วนตัว ไพรวัลย์ วรรณบุตร เป็นภาพ 2 ภาพ คือรูปฤาษีพุทธจรัลลอยตัว กับภาพพระเณรขี่ไม้กวาด
โดยระบุว่า "โถ แค่เหาะได้ทำมาคุย หลวงพี่แถวบ้านอาตมาขี่ไม้กวาดได้ ยังไม่พูดเลย ธรรมชาติออกแบบให้มนุษย์มีขา เพื่อให้รู้จักเดิน ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงอยากเหาะกันนัก สงสัยอยากเป็นพวกแมงวันแมงหวี่ พวกนี้มันก็เหาะได้ เพราะมันมีปีก"
เมื่อ 11 ส.ค.58 สื่อต่างประเทศหลายสำนัก รายงานและเผยแพร่คลิปวิดีโอสุดโหด แสดงให้เห็นถึงความเหี้ยมโหดของกลุ่มติดอาวุธมุสลิมนิกายสุหนี่ ‘รัฐอิสลาม’ หรือ 'ไอซิส' ในการประหัตประหารศัตรูฝ่ายตรงข้าม ที่เคยมีออกมาเป็นระยะๆ และล่าสุด ถึงขนาดใช้วิธีประหารเชลย ซึ่งเป็นผู้ชายจำนวน 10 คน ด้วยการฝังระเบิดไว้ใต้ดิน และจุดชนวนระเบิดปลิดชีวิตอย่างน่าสลด
กลุ่มไอซิสได้เผยแพร่คลิปวิดีโอนี้ลงในโลกออนไลน์เพื่อต้องการสร้างความหวาดกลัวให้แก่ชาวโลก ซึ่งยังไม่มีการตรวจสอบหรือพิสูจน์อย่างแน่ชัดว่าเหตุการณ์ที่เกิดในคลิปเป็นเรื่องจริงหรือไม่ โดยจากภาพในคลิป แสดงให้เห็น ชายคนหนึ่งทำหน้าที่บันทึกวิดีโอ และชายอีกคนยืนถือธงสีดำของกลุ่มไอซิส ขณะที่มีชายชุดดำสองคนกำลังต่อสายชนวนกับระเบิดแสวงเครื่องที่ฝังอยู่ลงในหลุม จำนวนหลายหลุม
จากนั้น เป็นภาพสมาชิกกลุ่มไอซิสใช้ปืนยาวจี้ศีรษะเชลยชายทั้ง 10 คน ที่ถูกผ้าปิดตา บังคับให้เดินมายังบริเวณที่มีการฝังระเบิดไว้ และเมื่อมาถึงแดนประหาร บรรดาสมาชิกกลุ่มไอซิสจอมโหดก็รีบวิ่งออกไปจากบริเวณนั้น ขณะที่มีการจุดชนวนระเบิดทันที
สื่อต่างประเทศชี้ว่า มีรายงานว่า เหตุการณ์ในคลิปวิดีโอนี้ เกิดขึ้นที่เมืองนันการ์ฮาร์ ในประเทศอัฟกานิสถาน ซึ่งกลุ่มสุดโหดนี้กำลังพยายามจะขยายอำนาจเข้ามาในดินแดนแห่งนี้ ขณะที่ไม่ทราบว่าเหตุการณ์ประหารสุดโหดครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อใด
เว็บไซต์มิร์เรอร์รายงานว่าเกิดอุบัติเหตุเกี่ยวกับการเล่นบันจีจัมพ์ที่ประเทศสเปนอีกครั้ง ซ้ำรอยเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดไม่กี่สัปดาห์ก่อน
เหยื่อรายนี้เป็นหญิงสาววัย 17 ปี จากประเทศเนเธอร์แลนด์ มาเที่ยวแคว้นกันตาเบรีย ทางตอนเหนือของประเทศสเปน และเล่นบันจีจัมพ์โดยการกระโดดจากสะพาน แต่ปรากฏว่าร่างของเธอไปกระแทกกับพื้นเบื้องล่างจากความสูงประมาณ 40 เมตร เจ้าหน้าที่เปิดเผยว่าเป็นเพราะหญิงสาวรายนี้ไม่ได้ยึดสายรัดแน่นหนาเพียงพอ
หลังเกิดเหตุ หน่วยฉุกเฉินมาถึงที่เกิดเหตุและพยายามช่วยชีวิตหญิงสาวแต่ไม่ทันเวลา หญิงสาวจากเนเธอร์แลนด์เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ
เหตุการณ์เศร้านี้เกิดขึ้นประมาณ 3 สัปดาห์ ภายหลังที่นักท่องเที่ยวสาวจากอังกฤษกระโดดบันจีจัมพ์ที่มีความสูงกว่า 80 เมตร ที่เมืองกรานาดา ตอนใต้ของประเทศสเปน แต่ร่างกระแทกกับผนังจนเสียชีวิต ในกรณีนี้ตำรวจได้จับกุมชาย 2 คนไว้ฐานฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา
รายงานระบุเพิ่มเติมว่ามีรายงานอุบัติเหตุจากเครื่องเล่นบันจีจัมพ์ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตแล้วประมาณ 12 ราย นับตั้งแต่ปี 2532 ขณะนี้ตำรวจกำลังเร่งตรวจสอบการเสียชีวิตของเหยื่อในอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นทั้งสองครั้งแล้ว
เมื่อวันที่ 11 ส.ค. ซีเอ็นเอ็นรายงานคดีสลดที่พบในเขตทะเลทรายรัฐนิวเม็กซิโก สหรัฐอเมริกา ว่า เจ้าหน้าที่เขตโอเตโรพบศพสามีภรรยาชาวฝรั่งเศสเสียชีวิตในสภาพขาดน้ำ ท่ามกลางสภาพอากาศร้อนจัด แต่ลูกชายอายุ 9 ขวบของทั้งสองรอดตาย คาดว่าทั้งสองยอมดื่มน้ำน้อยมากเพื่อเก็บไว้ให้ลูกรักษาชีวิต
ผู้ตายชื่อนางออร์เนลลา สไตเนอร์ อายุ 51 ปีและนายดาวิด สไตเนอร์ อายุ 42 ปี มาจากเมืองบูร์กอร์เญ ฝรั่งเศส มาท่องเที่ยวพร้อมลูกชายชื่อ เอ็นโซ ในเขตอุทยานทะเลทรายที่ไร้ต้นไม้เพื่อชมความงามของคลื่นทะเลทรายด้วยการเดินเท้า
ในที่เกิดเหตุพบขวดน้ำที่ไม่มีน้ำเหลืออยู่แล้ว ขณะที่อุณหภูมิในบริเวณดังกล่าว สูงกว่า 40 องศาเซลเซียส ส่วนเด็กชายถูกพบในสภาพขาดน้ำรุนแรงแต่ยังมีชีวิตอยู่โดยนอนร้องไห้อยู่ข้างๆ ร่างของพ่อ และไม่ทันรู้ว่าแม่เสียชีวิตไปแล้ว
เด็กชายให้ปากคำกับตำรวจหลังจากอาการดีขึ้นแล้วว่า ระหว่างทางที่เดินไปไกลกว่า 1.6 กิโลเมตร แม่มีอาการไม่ค่อยสบาย และก่อนหน้านั้นเจ็บเข่า จึงขอแยกเดินกลับไปที่รถ แต่คาดว่าไปได้ไม่เท่าไรก็สลบไปและเสียชีวิตกลางทาง
ศาลรัฐโคโลราโด้เว้นโทษประหารนาย เจมส์ โฮล์มส มือกราดยิงในโรงภาพยนตร์ระหว่างฉายเรื่อง "แบทแมน" เมื่อปี 2012 โดยเจมส์ โฮล์มส จะรับโทษจำคุกตลอดชีวิต
(8 สิงหาคม) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เจมส์ โฮล์มส จะรับโทษจำคุกตลอดชีวิตและอาจไม่ได้รับพิจารณาทัณฑ์บน รายงานข่าวระบุว่า ทีมกฎหมายฝ่ายจำเลยพยายามแก้ต่างว่าจำเลยป่วยทางจิตในช่วงก่อเหตุแต่ไม่เป็นผล คณะลูกขุนมีความคิดเห็นตรงกับอัยการว่าแม้โฮล์มสจะมีอาการป่วยแต่ต้องรับผิดชอบกับการกระทำ แต่ทั้งสองฝ่ายเห็นต่างเรื่องโทษประหารชีวิต เมื่อไม่สามารถหาข้อตกลงได้ทำให้คณะลูกขุนยอมรับการลงโทษโฮล์มส ด้วยโทษจำคุกตลอดชีวิต
รายงานข่าวเปิดเผยว่า ระหว่างการอ่านคำพิพากษา อาร์ลีน แม่ของโฮล์มส เอียงศรีษะแนบอิงกับสามีของเธอและมีอาการสะอื้น
ส่วนรายงานข่าวจากสำนักข่าวบีบีซีระบุว่า ตลอดระยะเวลา 3 เดือนของการดำเนินคดี โฮล์มส ปฏิเสธให้การแก้ต่างหรือแถลงการณ์ใดๆ ที่สื่อสารถึงการสำนึกผิด
© 2011 - 2026 Thai LA Newspaper 1100 North Main St, Los Angeles, CA 90012