ฮอลลีวู้ด รีพอร์ทเตอร์ รายงานว่า เครือข่ายสถานีโทรทัศน์เอบีซี ของอเมริกา ได้ออกแถลงการณ์ขอโทษต่อความผิดพลาดการรายงานข่าวประกาศรายชื่อนอมินี ผู้เข้าชิงรางวัลออสการ์ครั้งที่ 89 เมื่อวันที่ 24 มกราคม ที่เอบีซี รายงานผ่านเว็บไซต์บนมือถือว่ามี ทอม แฮงค์ และ เอมี อดัมส์ เข้าชิงรางวัลในสาขานักแสดงนำชายและนักแสดงนำหญิง ทั้งที่ สองนักแสดงนำ ไม่มีชื่อเข้าชิงรางวัลใหญ่ดังกล่าว
ทั้งนี้ เอบีซี แถลงข้อความชี้แจงว่า ” เมื่อเช้านี้ ด้วยความพยายามจะรายงานข่าวสดให้ทันกับการประกาศ เว็บไซต์เอบีซี ได้รายงานข้อมูลของเว็บไซต์ออสการ์ผิดพลาด รายชื่อนอมินีที่อคาเดมี ประกาศผ่านทวิตเตอร์นั้นถูกต้อง เมื่อรับทราบ ทางเอบีซีได้รีบแก้ไขข้อผิดพลาดให้ถูกต้องแล้ว เราต้องขออภัยต่ออคาเดมี สื่อมวลชน และแฟนภาพยนตร์ต่อความสับสนใดๆที่เกิดขึ้นด้วย ”
เว็บฮอลลีวู้ด รีพอร์ทเตอร์ อ้างแหล่งข่าวหลายรายเล่าว่า เอมี อดัมส์ ไม่รู้ว่าเธอมีชื่อเข้าชิง จนกระทั่งเอบีซี ออกมาแถลงข่าวขอโทษต่อความผิดพลาดดังกล่าว ขณะที่เว็บฮอลลีวู้ด รีพอร์ทเตอร์ รายงานด้วยว่า เว็บ Jezebel เป็นเจ้าแรกที่รายงานข่าวความผิดพลาดของเอบีซี โดยแคปหน้าจอของเว็บเอบีซี ที่ระบุว่า เอมี อดัมส์ เข้าชิงนักแสดงนำหญิงจากเรื่อง Arrival และ ทอม แฮงค์ เข้าชิงนักแสดงนำชายจากเรื่อง Sully
อนึ่ง สำหรับผู้มีรายชื่อเข้าชิงรางวัลสาขานักแสดงนำชาย มี, เคซีย์ แอฟเฟล็ก จาก แมนเชสเตอร์ บาย เดอะ ซี, แอนดรูว์ การ์ฟิลด์ จาก แฮคซอว์ ริดจ์, ไรอัน กอสลิง จาก ลา ลา แลนด์, วิกโก มอร์เตนเซน จาก กัปตันแฟนตาสติก (Captain Fantastic), เดนเซล วอชิงตัน จาก เฟนเซส, รางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม, อิซาแบล อูแปร์ จาก แอล (Elle), รูธ เนกกา จาก เลิฟวิง (Loving), นาตาลี พอร์ตแมน จาก แจ็คกี้ (Jackie)
เอ็มมา สโตน จาก ลา ลา แลนด์, เมอรีล สตรีพ จาก ฟลอเรนซ์ ฟอสเตอร์ เจนกินส์ (Florence Foster Jenkins)
จากกรณีเมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 25 ม.ค. ที่สำนักงานเขตพระนคร ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายประเมิน ไกรรส ผู้อำนวยการเขตพระนคร กรุงเทพมหานคร(กทม.) นำคณะข้าราชการและลูกจ้างเขตพระนครออกกำลังกายตามนโยบายออกกำลังกายวันพุธของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
โดยกิจกรรมในวันดังกล่าวเป็นการเล่นกีฬาเตะฟุตบอล ซึ่งผ่านไปประมาณ 20 นาที นายประเมินกลับมีอาการวูบและล้มลงหมดสติไป จนเจ้าหน้าที่ต้องนำตัวส่งไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลวชิรพยาบาลเพื่อรักษาตัว
ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ที่ใกล้ชิด ซึ่งร่วมกิจกรรมในทุกวันพุธ แจ้งว่าปกติผอ.ประเมินเป็นคนเล่นกีฬาเป็นประจำ และตั้งแต่มีนโยบายออกกำลังกายทุกวันพุธ นายประเมินก็นำข้าราชการทำกิจกรรมทุกครั้ง สลับหมุนเวียนกิจกรรมไปทุกสัปดาห์ ทั้งเล่นฟุตบอล ตีแบดมินตัน และแอโรบิก เป็นต้น แต่ไม่เคยมีอาการหรือโรคประจำตัวมาก่อน จึงเป็นครั้งแรกที่เห็นนายประเมินเกิดอาการดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ล่าสุดมีรายงานอาการของนายประเมินยังวิกฤต แพทย์ยังเฝ้าระวังตลอด 24 ชม.
ล่าสุดผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายประเมิน ไกรรส ผู้อำนวยการเขตพระนครได้เสียชีวิตลงแล้ว หลังจากที่แพทย์ผ่าตัดช่วยชีวิตเมื่อวานนี้ แต่ก็ไม่สามารถช่วยชีวิตไว้ได้ ส่วนรายละเอียดต่างๆ จะรายงานให้ทราบเป็นลำดับต่อไป
25 ม.ค.60 นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว.พลังงาน กล่าวว่า การส่งออกในปี 59 ที่ขยายตัว 0.45% นั้น ไม่น่าจะเป็นการฟื้นตัวของการส่งออกที่แท้จริง เพราะถ้าหักการส่งคืนยุทโธปกรณ์และการส่งออกทองคำแล้ว การส่งออกน่าจะติดลบด้วยซ้ำ อีกทั้งปี 58 การส่งออกลดลงถึง 5.78% ดังนั้น การไม่เพิ่มหรือเพิ่มเพียงเล็กน้อยจึงไม่ถือว่าฟื้น ซึ่งก่อนหน้านี้รัฐบาลตั้งเป้าส่งออกปี 59 จะขยายถึง 5% แต่ก็ไม่ได้ใกล้เคียงเลย แต่ที่น่าห่วงคือ จะทำให้การส่งออกขยายตัวอย่างยั่งยืนได้อย่างไรในอนาคต ถ้าไม่มีการลงทุนภาคเอกชนจากต่างประเทศและในประเทศที่ยังเป็นปัญหาอยู่ในปัจจุบัน อีกทั้งนโยบาย "อเมริกามาก่อน" ของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ น่าจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกและการลงทุนของไทยเพิ่มเติมไม่มากก็น้อย
"ผมอยากให้รัฐบาลได้เตรียมพร้อม และเร่งหาวิธีเจรจาเขตการค้าเสรีและข้อตกลงทางการค้าให้เร็วที่สุด ส่วนปัญหาที่กระทรวงยุติธรรมสหรัฐตรวจสอบพบการจ่ายสินบนของบริษัท โรลส์รอยซ์ ให้กับการบินไทย และ ปตท.สผ.รวมถึงการจ่ายสินบนของบริษัท เจเนอรัล เคเบิ้ล ให้กับ กฟภ. , กฟน.และทีโอที อยากให้มีการตรวจสอบหาผู้กระทำผิดเพื่อมาดำเนินคดี อย่าให้เป็นเหมือนกันคดี จีที 200 ที่ยังหาผู้กระทำผิดไม่ได้" นายพิชัย กล่าว
นายพิชัย กล่าวว่า รวมถึงอยากให้ตรวจสอบทุกโครงการของรัฐบาลที่เชื่อว่ามีการจ่ายค่าคอมมิชชั่นสินบนให้เท่าเทียมกัน โดยเฉพาะที่มีการจัดซื้อจากประเทศจีน และรัสเซีย เพราะประเทศดังกล่าวอาจจะมีระบบการตรวจสอบการจ่ายสินบนภายในประเทศไม่เหมือนในสหรัฐและยุโรป ซึ่งเป็นห่วงว่าในอนาคตจะมีความพยายามที่จะหลีกเลี่ยงการจัดซื้ออุปกรณ์จากประเทศสหรัฐและยุโรปเพราะมีการตรวจเข้มในการจ่ายสินบนทุจริต เพื่อไปจัดซื้อจากประเทศที่ไม่มีการตรวจสอบ ซึ่งจะทำให้มีการทุจริตมากยิ่งขึ้น และมีโอกาสสูงที่จะได้อุปกรณ์ไม่ได้คุณภาพ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพและความสามารถแข่งขันประเทศไทยในระยะยาว
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ลงนามในคำสั่งผู้บริหารให้มีการสร้างกำแพงตลอดแนวชายแดนสหรัฐที่ติดกับแม็กซิโกแล้ว พร้อมกันนี้จะมีการว่าจ้างเจ้าหน้าที่เพิ่มขึ้นอีก 10,000 รายเพื่อช่วยในความพยายามที่จะเพิ่มการตรวจตราบริเวณแนวชายแดน นอกจากนี้เขายังลงนามในคำสั่งให้มีการยกเลิกการให้การสนับสนุนด้านทุนทรัพย์กับเมืองต่างๆ ของสหรัฐซึ่งเป็นแหล่งพักพิงสำหรับผู้อพยพที่ไม่มีเอกสารด้วย
ทั้งนี้ทรัมป์ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวเอบีซีว่าแม็กซิโกจะต้องเป็นผู้จ่ายเงินในการก่อสร้างกำแพงดังกล่าวทั้ง 100% อย่างไรก็ดีการก่อสร้างจะสามารถทำได้ก็ต่อเมื่อสภาคองเกรสได้อนุมัติการจัดสรรงบประมาณในการก่อสร้างกำแพงซึ่งคาดว่าจะสูงถึงหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากชายแดนระหว่างสหรัฐและแม็กซิโกยาวถึง 2000 ไมล์ หรือกว่า 3,219 กิโลเมตร
“ประเทศที่ไม่มีพรมแดนไม่ถือเป็นประเทศ แต่นับจากวันนี้ไปสหรัฐอเมริกาจะสามารถกลับมาควบคุมพรมแดนของตนเองได้อีกครั้ง”ทรัมป์กล่าว พร้อมกับยืนยันว่าความสัมพันธ์กับเม็กซิโกจะดีกว่าเดิม โดยเขามีกำหนดจะหารือกับประธานาธิบดีเม็กซิโกในปลายเดือนนี้
ทั้งนี้มีการคาดการณ์ว่าหลังจากนี้ไปทรัมป์จะประกาศควบคุมการอพยพเข้ามายังสหรัฐของ 7 ประเทศในแอฟริกาและตะวันออกกลาง ซึ่งรวมถึงซีเรีย อิรัก และเยเมนด้วย
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐอเมริกา ถูกคาดหมายว่าจะลงนามในคำสั่งผู้บริหารอีกหลายฉบับในวันที่ 25 มกราคมนี้ ที่มีรวมถึงคำสั่งห้ามรับผู้ลี้ภัยเข้ามาในสหรัฐเป็นการชั่วคราวและคำสั่งระงับการออกวีซ่าให้พลเมืองชาวซีเรียและอีก 6 ประเทศในตะวันออกกลางและแอฟริกา
โดยหลังจากทรัมป์ทวีตข้อความเมื่อกลางดึกคืนวันที่ 24 มกราคมว่า “วันสำคัญด้านแผนงานความมั่นคงแห่งชาติจะมีขึ้นในวันพรุ่งนี้ เหนือสิ่งอื่นใด เราจะสร้างกำแพง” นั่นทำให้ที่ปรึกษาสภาคองเกรสและผู้เชี่ยวชาญหลายคนในหน่วยงานตรวจคนเข้าเมืองของสหรัฐคาดหมายว่านายทรัมป์จะลงนามในคำสั่งบริหารอีกหลายฉบับในการเดินหน้าตามแผนงานด้านความมั่นคงแห่งชาติของตนเอง หนึ่งในนั้นได้แก่การบังคับใช้มาตรการห้ามรับผู้ลี้ภัยเข้าประเทศทั้งหมดเป็นการชั่วคราว ยกเว้นชนกลุ่มน้อยทางศาสนาที่หลบหนีการถูกข่มเหงเข้ามา ส่วนคำสั่งบริหารอีกฉบับจะเป็นมาตรการห้ามออกวีซ่าให้แก่พลเมืองจาก 7 ประเทศ ได้แก่ ซีเรีย อิรัก อหร่าน ลิเบีย โซมาเลีย ซูดาน และ เยเมน
แหล่งข่าวเปิดเผยด้วยว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ยังกำลังพิจารณามาตรการอื่นๆที่จะควบคุมความมั่นคงตามแนวชายแดนสหรัฐที่เข้มข้นขึ้นด้วย ซึ่งอาจรวมถึงการสั่งให้สร้างกำแพงตามแนวชายแดนติดกับประเทศเม็กซิโก และมาตรการที่จะนำไปสู่การลดจำนวนลงของผู้อพยพที่อยู่ในสหรัฐอย่างผิดกฎหมาย
ทั้งนี้ ในระหว่างการหาเสียง นายทรัมป์ได้เสนอแนะหลายมาตรการในการสกัดกั้นผู้อพยพเข้าประเทศ โดยนายทรัมป์ยังได้เสนอแนวคิดห้ามชาวมุสลิมเข้าประเทศสหรัฐเพื่อปกป้องชาวอเมริกันจากภัยคุกคามโจมตีจากกลุ่มมุสลิมหัวรุนแรง
เมื่อวันที่ 25 มกราคม สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า การฝึกคอบร้าโกลด์ที่จะมีขึ้นในเดือนกุuมภาพันธ์นี้ จะมีเจ้าหน้าที่ทหารระดับสูงของสหรัฐอเมริกามาร่วมด้วย ซึ่งถือเป็นเจ้าหน้าที่ทหารระดับสูงที่สุดที่เดินทางมาร่วมในการฝึกคอบร้าโกลด์ นับตั้งแต่มีการรัฐประหารเกิดขึ้นในไทยเมื่อปี 2557 ที่ทำให้สหรัฐปรับลดกำลังทหารที่มาร่วมฝึกคอบร้าโกลด์
โดยทางสถานทูตสหรัฐ ได้ยืนยันว่า พลเรือเอกแฮร์รี ฮาร์ริส ผู้บัญชาการกองเรือภาคพื้นแปซิฟิก จะเป็นผู้เปิดการฝึกคอบร้าโกลด์ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ หลังจาก 2 ปีที่ผ่านมา สหรัฐส่งแต่เจ้าหน้าที่ทหารที่มีระดับต่ำกว่าผู้บัญชาการมาเข้าร่วม โดยสหรัฐอเมริกาได้ลดจำนวนทหารที่ร่วมฝึกคอบร้าโกลด์ลงตั้งแต่ไทยเกิดการรัฐประหารปี 2557 และระบุด้วยว่า การฝึกคอบร้าโกลด์จะกลับสู่ภาวะปกติเมื่อไทยกลับสู่ประชาธิปไตยแล้วเท่านั้น
นางเมลิสซา สวีนีย์ โฆษกสถานทูตสหรัฐ ในกรุงเทพฯ เปิดเผยกับรอยเตอร์ว่า สหรัฐอยากจะกลับสู่ความร่วมมือแบบเต็มรูปแบบอีกครั้ง โดยมีการฟื้นฟูประชาธิปไตยภายใต้รัฐบาลพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้ง
ข่าวระบุว่า สหรัฐอเมริกาจะส่งทหารมาร่วมฝึกคอบร้าโกลด์ปีนี้จำนวน 3,500 นาย ซึ่งน้อยกว่าปีที่ผ่านมาเล็กน้อย ขณะที่ พลเอกธารไชยยันต์ ศรีสุวรรณ เสนาธิการทหาร เปิดเผยกับรอยเตอร์ว่า ไม่ใช่เรื่องธรรมดาที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงขนาดพลเรือเอกฮาร์ริสจะมาร่วมในงานเช่นนี้ และถือว่าเป็นการส่งสัญญาณที่ดีในด้านความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสหรัฐ และแสดงให้เห็นว่าสหรัฐให้ความสำคัญกับภูมิภาคนี้และการฝึกนี้
อย่างไรก็ตาม ข่าวระบุว่า การเดินทางมาร่วมในการฝึกคอบร้าโกลด์ของพลเรือเอกฮาร์ริส เป็นแผนที่กำหนดไว้ก่อนหน้าที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ จะเข้าพิธีสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนที่ 45 โดยทรัมป์ประกาศนโยบายชัดว่าจะกระชับความสัมพันธ์กับประเทศในภูมิภาคเอเชียให้มากขึ้น หลังจากต้องเผชิญหน้ากับจีนทั้งในด้านการค้า เรื่องไต้หวัน และเรื่องการอ้างสิทธิ์ในทะเลจีนใต้
© 2011 - 2026 Thai LA Newspaper 1100 North Main St, Los Angeles, CA 90012