ข่าว
"ปู" ท่องต่างประเทศ 42 ครั้ง ขยายสัมพันธ์การค้าการลงทุน

วันที่ 30 ส.ค. เว็บไซต์รัฐบาลไทย รายงานว่า นายธีรัตถ์ รัตนเสวี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงสรุปการเดินทางเยือนต่างประเทศในรอบ 2 ปีของนายกรัฐมนตรี

นายธีรัตถ์ รัตนเสวี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตั้งแต่เดือนกันยายน 2554 – สิงหาคม 2556 นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้เดินทางเยือนต่างประเทศทั้งหมด 42 ครั้ง โดยเป็นการเดินทางเยือนประเทศในกลุ่มอาเซียน 9 ประเทศ เยือนอย่างเป็นทางการ 26 ประเทศ และเข้าร่วมการประชุมระหว่างประเทศ 19 การประชุม

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า การเดินทางเยือนต่างประเทศของนายกรัฐมนตรีนั้น ถ้าเป็นการเดินทางในอาเซียน ถือว่าเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่ประเทศสมาชิกต้องแลกเปลี่ยนการเยือนรวมถึงแนะนำตัวหลังจากเข้ารับตำแหน่ง ขณะเดียวกันการเดินทางไปประเทศต่างๆ ยังเป็นการเปิดความสัมพันธ์ เปิดโอกาสความร่วมมือ ตลาดการค้า การลงทุน รวมถึงการสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้กับเศรษฐกิจไทยอีกด้วย เช่น ข้อมูลจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยที่แสดงให้เห็นว่าจำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้าไทยเพิ่มสูงขึ้น การค้าระหว่างประเทศที่เพิ่มขึ้น

สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ รายงานว่าในปี 2555 การที่นายกรัฐมนตรีร่วมในกิจกรรมโรดโชว์ในประเทศที่เยือน สามารถชักชวนนักลงทุนต่างประเทศเข้ามาลงทุนในประเทศไทยได้ถึง 31 โครงการ มูลค่าขอรับการส่งเสริมการลงทุนกว่า 137,770 ล้านบาท โดยนายอุดม วงศ์วิวัฒน์ไชย เลขาธิการบีโอไอ ได้กล่าวว่า การที่นายกเดินทางไปแนะนำประเทศไทยในต่างประเทศ เป็นการแสดงวิสัยทัศน์ว่าไทยเปิดรับการลงทุนจากต่างประเทศ เป็นการแสวงหาโอกาสใหม่ให้กับประเทศ รวมถึงสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนได้เป็นอย่างดี

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวอีกว่า การเดินทางไปต่างประเทศของนายกรัฐมนตรี จะมีการนำนักธุรกิจไทยในหลากหลายสาขา โดยได้รับความร่วมมืออย่างดีจากคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาธุรกิจตลาดทุนไทย และอื่นๆ อีกมาก เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนต่างประเทศต่อภาคเอกชนของไทย รวมถึงเป็นการเปิดโอกาสให้นักธุรกิจไทยได้พบกับคู่ค้าใหม่ๆ ซึ่งเป็นการเพิ่มผลผลิตให้กับห่วงโซ่การผลิตในประเทศได้เป็นอย่างดี เช่น การส่งออกผักและผลไม้ไปตะวันออกกลางเพิ่มมากขึ้น การร่วมก่อสร้างสาธารณูปโภคในต่างประเทศของภาคเอกชนไทย เป็นต้น

นายวิศิษฎ์ ลิ้มประนะ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยกล่าวว่า วันนี้ธุรกิจไทยต้องการตลาดใหม่ ดังนั้นเป็นโอกาสที่ดีที่นายกรัฐมนตรีเดินทางไปหลายประเทศเพื่อช่วยแนะนำนักธุรกิจไทยให้กับต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบางประเทศที่น้อยคนจะรู้จักแต่เป็นประเทศที่มีศักยภาพ ช่วยการค้า การส่งออกของไทยได้เป็นอย่างดี

นายพงษ์ศักดิ์ อัสสกุล ประธานอาวุโสหอการค้าไทย ได้กล่าวว่าการเดินทางไปต่างประเทศของนายกรัฐมนตรีที่พานักธุรกิจไปด้วยทำให้นักธุรกิจสามารถติดต่อกับหน่วยงานด้านการค้าของบางประเทศที่ภาคธุรกิจไม่สามารถติดต่อได้ด้วยตนเอง นับเป็นการเปิดประตูการค้าใหม่ๆ โดยการเดินทางไปต่างประเทศแต่ละครั้งไม่ได้เป็นการท่องเที่ยว เพราะกำหนดการแน่นมาก เพื่อให้ได้มีโอกาสเจรจาการค้าให้เกิดประโยชน์สูงสุด

การเดินทางไปต่างประเทศของนายกรัฐมนตรีที่เข้าร่วมการประชุมถึง 19 การประชุมในรอบเกือบ 2 ปีที่ผ่านมา ทำให้ไทยได้รับการยอมรับในเวทีระหว่างประเทศมากขึ้น ส่งผลให้เกิดความเชื่อมั่นต่อทิศทางการบริหารประเทศของรัฐบาล และความเชื่อมั่นต่อศักยภาพและโอกาสของประเทศไทย เช่นในการประชุมสุดยอดอาเซียน ที่นายกรัฐมนตรีผลักดันให้ทุกประเทศยึดการเติบโตและพัฒนาไปด้วยกันและการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ รวมถึงการประชุมผู้นำลุ่มน้ำโขง ที่ได้แสดงบทบาทให้ทุกประเทศมีส่วนร่วมในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อพัฒนาการเชื่อมโยงระหว่างกันอีกด้วย

เมียโต้ทั้งน้ำตาเปล่าลวงโลก ย้ำ ‘ไพโรจน์’ ป่วยหนักจริง

หลังมีข่าวอาการป่วยหนักของ นายไพโรจน์ ใจสิงห์ อายุ 73 ปี นักแสดงอาวุโส อาทิ โรคความดันสูง เส้นเลือดในสมองตีบ หัวใจโต และต่อมลูกหมากโต ทำให้ร่างกายซูบผอมและต้องพักรักษาตัวอยู่ที่บ้านมากว่า 1 ปี จนห่างหายไปจากวงการบันเทิง เมื่อเหล่าพี่น้องในวงการบันเทิงทราบข่าว จึงได้ช่วยแชร์เพื่อขอรับเงินช่วยเหลือ ก่อนที่จะมีลูกชายคนหนึ่งออกมาประกาศว่าพ่อไม่ได้ป่วยหนักขนาดนั้น และไม่ขอรับเงินบริจาคเงินตนสามารถดูแลพ่อเองได้ จนทำให้เป็นกระแสจนหลายคนมองว่าภรรยาที่ดูแลนายไพโรจน์ ใจสิงห์ อยู่ปัจจุบันคือ นางโซติรส ใจสิงห์ หรือ นก ฉวยโอกาสรับเงินบริจาค ทำให้ถูกมองกลายเป็นคนลวงโลก

ล่าสุด รายการ “ปากโป้ง” ทางช่อง 8 เครืออาร์เอส ได้เชิญนางโซติรส ใจสิงห์ หรือ นก ภรรยานายไพโรจน์ ใจสิงห์ มาเปิดใจ โดยมีพิธีกรหนุ่ม-กรรชัย กำเนิดพลอย, เข็ม-ลภัสรดา ช่วยเกื้อ ทำหน้าที่ดำเนินรายการ

โดย นางโซติรส ภรรยานักแสดงอาวุโสกล่าวว่า พี่โรจน์ป่วยมาตั้งแต่วันที่ 14 กันยายน 2555 ก่อนหน้านี้พี่โรจน์เป็นคนแข็งแรงมาก ไม่เคยป่วยเป็นอะไรเลยจึงไม่เคยไปตรวจเช็คร่างกาย อาการเริ่มเมื่อพี่โรจน์พูดไม่ได้ มีอาการลิ้นแข็ง ทานน้ำเข้าไปก็ไหลออกหมด ตนจึงรีบพาไปหาหมอตรวจพบว่าพี่โรจน์เส้นเลือดตีบ ความดันขึ้นสูงถึง 240 คุณหมอบอกว่าพี่โรจน์เส้นเลือดแตกหลายเส้นแล้ว แต่เป็นเส้นที่ไม่สำคัญเลยไม่มีอาการ แต่ครั้งนี้เส้นเลือดทางฝั่งซีกซ้ายมันตีบ และหัวใจโต ต่อมลูกหมากโต มีหลายโรครุมเร้า ทั้งคอลเลสเตอรอลสูง โรคไต ทำให้น้ำหนักลดลงกว่า 20 กิโล

พิธีกร หนุ่ม-กรรชัย ถามว่า ตอนนั้นมีอาการยังไงบ้าง นางโซติรสกล่าวว่า แรกๆ เขาก็มีอารมณ์เหวี่ยงอยู่ตลอด เวลายืนขาจะสั่นมาก บางทีกลางคืนดึกๆ อยากเข้าห้องน้ำและคงไม่อยากปลุกเรา เขาก็พยายามเดินลุกไปเข้าห้องน้ำเองแต่ก็ล้มลงกองกับพื้น เขาก็เคยท้อนะ บางครั้งไม่ยอมกินยาบอกว่าให้มันตายๆ ไปจะได้ไม่ต้องลำบาก

พิธีการสาว เข็ม-ลภัสรดา ถาม มีกระแสออกมาว่าคุณอาไพโรจน์ไม่ได้ป่วยหนัก ได้ยินแล้วรู้สึกอย่างไร ภรรยานักแสดงอาวุโสกล่าวว่า “มันก็เป็นมุมมองของแต่ละคน เราก็ไม่เข้าใจคนให้ข่าวเหมือนกัน”

หนุ่ม-กรรชัย ถามยังมีกระแสออกมาอีกว่าพี่นกเป็นเมียน้อยเลยฉวยโอกาสเอาเงินบริจาคไปใช้ นางโซติรสกล่าวว่า “มันแล้วแต่คนจะคิดค่ะ แต่ยืนยันว่าเป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย และได้จดทะเบียนสมรสกับพี่โรจน์จริงๆ ดูแลเขาทุกอย่างตั้งแต่เช้า ยัน เย็น

เข็ม-ลภัสรดา ถามคุณอาไพโรจน์มีลูกทั้งหมดกี่คน นางโซติรสตอบ “พี่โรจน์มีลูกที่นับได้ก็ 9 คนค่ะ มีลูกกับเรา 2 คนคือน้องคอปเตอร์ และน้องสโนไวท์”

หนุ่ม-กรรชัย ถามแล้วที่มีลูกชายของคุณอาไพโรจน์คนหนึ่งออกมาประกาศว่า “ไม่ขอรับเงินบริจาคเพราะคุณอาไพโรจน์ไม่ได้ป่วยหนักขนาดนั้น เขาสามารถดูแลคุณพ่อเขาเองได้ ขอรับเป็นกำลังใจพอ” ทำไมเขาถึงออกมาพูดแบบนี้ ทำให้มีกระแสว่าพี่นกและคุณอาไพโรจน์จะมาฉวยโอกาสรับบริจาคเงิน

นางโซติรสชี้แจงว่า “คือเขาเป็นลูกของพี่โรจน์คนหนึ่งเหมือนกัน อยู่ที่ระยอง เคยมาเยี่ยมพี่โรจน์แค่ตอนที่อยู่โรงพยาบาล ส่วนคนที่ดูแลพี่โรจน์ทุกวันจะมีกันอยู่ 4 คนคือพี่ แล้วก็ลูกของพี่ 2 คนคือน้องคอปเตอร์และน้องสโนไวท์ และก็จะมีลูกสาวคนโตของพี่โรจน์ที่ชื่อเจี๊ยบ เวลาขัดสนเรื่องเงินไปซื้อยาก็จะโทร.หาน้องเจี๊ยบ บางทีน้องเจี๊ยบก็จะพาพี่โรจน์ไปทานข้าวบ้าง

หนุ่ม-กรรชัย ถาม แล้วเรื่องเลขบัญชีหรือการออกมาขอรับบริจาคมันออกมาได้อย่างไร “คือช่วงแรกที่พี่โรจน์ป่วยมาจะเกือบปีไม่เคยมีใครรู้มาก่อน เพราะพี่โรจน์จะพูดเสมอว่าอย่าไปทำให้ใครเดือดร้อน พออาการพี่โรจน์เริ่มหนักต้องเข้าโรงพยาบาลครั้งที่ 2 เนื่องจากความดันขึ้นสูงและกล้ามเนื้ออ่อนแรง ทำให้ระบบขับถ่ายผิดปกติ เพื่อนพี่โรจน์อย่างอาต้อย(เศรษฐาศิระฉายา) ทราบก็มาเยี่ยมและเขามีเลขบัญชีของพี่โรจน์อยู่แล้วจึงได้มีการแชร์เพื่อขอรับบริจาคช่วยเหลือออกไป

หนุ่ม-กรรชัย ถาม อยากให้ฝากถึงคนที่อยากจะช่วยเหลือ และยืนยันว่ายังต้องการความช่วยเหลืออยู่ไหม นางโซติรสกล่าวว่า “ยังยินดีรับบริจาคอยู่ค่ะ พี่โรจน์ฝากขอบคุณทุกคนที่ยื่นมือเข้ามาช่วย ตั้งแต่อยู่วงการมาครั้งนี้พี่โรจน์รู้สึกชื่นใจมากและจะสู้กับโรคร้ายต่อไป ส่วนกระแสข่าวนี้พี่โรจน์บอกว่าเสียใจมากทำแบบนี้ผู้ใหญ่เสียกันหมด พี่โรจน์โกรธมาก”

ส่วนท่านผู้ชมท่านใด หรือแฟนๆ ละคร ที่อยากจะสมทบทุนช่วยเหลือขวัญใจคนนี้ ก็สามารถโอนเงินเข้าบัญชี ไพโรจน์ ใจสิงห์ ธนาคารกรุงเทพ สาขาแคราย เลขที่บญชี 188-0-42596-0

สถานการณ์ร้อนจัด อเมริกา Vs. ซีเรีย

สถานการณ์ระหว่างสหรัฐอเมริกา กับ ซีเรีย ดูตึงเครียดมากขึ้น หลังรัฐบาลสหรัฐส่ง "สัญญาณ" พร้อมเปิดฉากการโจมตีทางทหารต่อซีเรียเพียงลำพัง ขณะที่ประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด แห่งซีเรีย ประกาศกร้าวขอต่อสู้จนถึงที่สุด

เป็นเรื่องที่สร้างความตกตะลึงให้กับคนทั้งโลก หลังสำนักข่าวต่างประเทศ รายงานจากกรุงดามัสกัส ประเทศซีเรีย เมื่อวันที่ 21 ส.ค.56 ว่า ชานกรุงดามัสกัส เมืองหลวงซีเรีย โดนโจมตีด้วยอาวุธเคมีทำให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 1,300 คนและบาดเจ็บจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเด็ก โดยจรวดบรรจุอาวุธเคมี ถูกยิงโจมตีเขตโกตา ในช่วงเช้าของวันดังกล่าว ซึ่งภาพที่เผยแพร่ในยูทูบแสดงให้เห็นว่า มีประชาชนจำนวนมากถูกนำตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลชั่วคราว

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้นานาประเทศต่างจับจ้องว่าจะเกิดสถานการณ์อะไรขึ้นกับประเทศซีเรียต่อจากนี้ เนื่องจากมีหลายฝ่ายออกมาแสดงความเห็นเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เกี่ยวกับสถานการณ์ดังกล่าว “หน้าต่างประเทศของเดลินิวส์” ได้เกาะติดข่าวนี้อย่างต่อเนื่อง

ล่าสุด สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 29 ส.ค.ที่ผ่านมา ว่า รัฐบาลสหรัฐส่ง "สัญญาณ" พร้อมเปิดฉากการโจมตีทางทหารต่อซีเรียเพียงลำพัง แม้อังกฤษจะพ่ายการลงมติขอความเห็นชอบจากสภาก็ตาม

นางเคธลีน เฮย์เดน โฆษกหญิงของสภาความมั่นคงแห่งชาติ แถลงว่า ทำเนียบขาวได้รับแจ้งเรื่องที่รัฐบาลอังกฤษเป็นฝ่ายพ่ายแพ้การหยั่งเสียงในสภาล่าง ในญัตติเรื่องการส่งกำลังทหารสนับสนุนสหรัฐในการเป็นฝ่ายเปิดฉากโจมตีซีเรียแล้ว อย่างไรก็ตาม วอชิงตันจะยังคงหารือกับนายกรัฐมนตรีเดวิด คาเมรอน ผู้นำอังกฤษ เกี่ยวกับวิกฤตการณ์ในซีเรียต่อไป

แต่กระนั้น หากมีความจำเป็นสหรัฐอาจเป็นฝ่ายเปิดฉากโจมตีทางทหารต่อซีเรียภายใน "วงจำกัด" เนื่องจากวอชิงตันยังเชื่อมั่นว่า รัฐบาลดามัสกัสภายใต้การนำของประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด ต้องรับผิดชอบต่อการใช้อาวุธเคมีเข่นฆ่าประชาชน ถือเป็นภัยคุกคามด้านความมั่นคงต่อสหรัฐด้วย ซึ่งประธานาธิบดีบารัค โอบามา จะพิจารณาแนวทางที่ "ดีที่สุด" สำหรับสหรัฐโดยเร็วที่สุด แถลงของเฮย์เดนมีขึ้นเพียงไม่กี่ชั่วโมง หลังสภาสามัญชนหรือสภาล่างอังกฤษมีมติเสียงข้างมาก 285 ต่อ 272 เสียง คัดค้านญัตติของคาเมรอน ที่เสนอเรื่องการร่วมใช้กำลังทหารกับสหรัฐในซีเรีย โดยที่ประชุมให้เหตุผลว่า ยังไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะ "เอาผิด" อัสซาด

วันเดียวกัน ประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด แห่งซีเรีย ประกาศกร้าวขอต่อสู้จนถึงที่สุด เพื่อปกป้องประเทศจากการ "รุกราน" ทางทหารของสหรัฐ หลังวอชิงตันเผย "แนวโน้ม" เตรียมเปิดฉากเพียงลำพังมากขึ้นทุกขณะ และสหประชาชาติ ( ยูเอ็น ) ยังคงไม่ได้ข้อสรุปใดในเรื่องซีเรีย

แม้จะใช้เวลาแถลงเพียงไม่นาน แต่ผู้นำซีเรียย้ำจุดยืนของตัวเองอย่างชัดเจนว่า ไม่ได้เป็นผู้อยู่เบื้องหลังการใช้อาวุธเคมีคร่าชีวิตประชาชนกว่า 1,300 ศพ เมื่อวันที่ 21 ส.ค. และจะขอปกป้องแผ่นดินซีเรียจากการโจมตีทางทหารของสหรัฐอย่างถึงที่สุด ไม่ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อใดก็ตาม ดามัสกัสพร้อมรับมือ