ตัวแทนบ.ประกันภัย เข้าหารือผู้เสียหายคดีรถบรรทุก 6 ล้อ ขับชนฝ่าด่านตำรวจพุ่งชนรถ 41 คัน ด้านบริษัทรถบรรทุกยินดีชดใช้ค่าเสียหายทุกอย่าง
จากกรณีนายเอกพจน์ ยศศิริ อายุ 27 ปี ชาวศรีสะเกษ พนักงานขับรถส่งวัสดุก่อสร้างของบริษัท ชัยภิวัตร จำกัด ได้ก่อเหตุขับรถบรรทุกหกล้อชนรถยนต์และรถจักรยานยนต์ มาตั้งแต่ท้องที่สน.พญาไท สน.มักกะสัน และสน.ทองหล่อ ระยะทางทั้งสิ้นกว่า 5 กิโลเมตร รถเสียหายกว่า 41 คัน ก่อนถูกจับกุมได้ที่ทางขึ้นสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส เอกมัย เมื่อช่วงบ่ายของวันที่ 21 ธ.ค. ที่ผ่านมา
วันนี้(23ธ.ค.) เวลา 10.00 น. ที่สน.ทองหล่อ ตำรวจได้ควบคุมตัวนายเอกพจน์ ผู้ต้องหา ไปฝากขังที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ โดยแจ้งข้อหา 7 ข้อ ได้แก่ มียาเสพติดไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย,ข้อหาเสพยาเสพติดให้โทษประเภท 1 โดยผิดกฎหมาย, ขับรถขณะเสพยาเสพติดโดยผิดกฎหมาย, ไม่หยุดรถให้การช่วยเหลือ, ฝ่าสัญญาณไฟจราจร, ฝ่าสัญญาณมือเจ้าหน้าที่และหลบหนีเจ้าพนักงานโดยไม่หยุดรถให้การช่วยเหลือ ทั้งนี้ระหว่างที่ทางตำรวจควบคุมผู้ต้องหามีสีหน้าเรียบเฉย สวมชุดเดียวกับวันจับกุม ก่อนนำตัวขึ้นรถบรรทุกผู้ต้องขัง
ขณะเดียวกัน ได้มีตัวแทนบริษัท สินมั่นคงประกันภัย ฝ่ายบริษัทเจ้าของรถบรรทุก 6 ล้อ ได้เดินทางเข้าเจรจากับตัวแทนประกันภัยฝ่ายผู้เสียหาย โดยมี พ.ต.ท.นพดล สามารถ รอง ผกก.(สอบสวน) สน.ทองหล่อ เป็นคนกลาง เพื่อชดใช้ค่าเสียหายให้คู่กรณีที่มีประกันชั้น 3 และไม่มีประกัน ซึ่งยอดล่าสุดมีรถเสียหาย รวม 42 คัน แบ่งเป็น รถยนต์ 34 คัน และรถจักรยานยนต์ 8 คัน นอกจากนี้มีตัวแทนร้านค้าต่างๆ ที่ได้รับความเสียหายจากอุบัติเหตุดังกล่าวเข้าเจรจาไกล่เกลี่ยอีกด้วย
“ทั้งนี้ขอยืนยันว่าบริษัทยินดีชดใช้ค่าเสียหายส่วนต่างที่เกินวงเงิน 600,000 บาท ของประกันภัยให้คู่กรณีทั้งหมด เบื้องต้นไม่ต่ำกว่า 2 ล้านบาท โดยไม่ต้องไปยื่นเรื่องฟ้องร้องให้มาติดต่อกับตนได้เลยจะได้นัดเจรจา และเตรียมพิจารณากับบริษัทค่าทำขวัญให้ผู้เสียหายทั้งหมดด้วย” นายสุภีร ระบุ
ต่อมา ทางพนักงานสอบสวน ได้ทำการคัดค้านประกันตัวนายเอกพจน์เนื่องจาก ผู้ต้องหามีคดีติดตัวจำนวนมากและอัตราโทษค่อนข้างเยอะ หากให้ประกันตัวเกรงว่าจะหลบหนี
2 ทุ่ม มาตามนัด! กลุ่มพลเมืองต่อต้าน Single Gateway อ้างแฮกข้อมูลกองทัพภาคที่ 2 ได้สำเร็จ พร้อมโชว์ข้อมูลงบประมาณ พบโครงการขุดลอกแหล่งน้ำถูกตั้งค่าใช้จ่ายสูงถึง 184 ล้าน รองลงมาเป็นค่าปฏิบัติงานล่วงเวลา แต่งบการข่าวกลับได้เพียงเล็กน้อย...
ภายหลังจากเฟซบุ๊กแฟนเพจพลเมืองต่อต้าน Single Gateway : Thailand Internet Firewall #opsinglegateway ประกาศจะเปิดการใช้งบประมาณบางหน่วยงานในกองทัพบก ช่วงเวลา 20.00 น. ของวันที่ 23, 26, 27 ธันวาคม
ล่าสุดเมื่อเวลา 20.00 น. ที่ผ่านมา เฟซบุ๊กแฟนเพจพลเมืองต่อต้าน Single Gateway ได้เปิดเผยภาพจำนวน 3 ภาพ โดยอ้างว่าสามารถแฮกระบบของกองทัพภาคที่ 2 ได้เป็นที่เรียบร้อย อีกทั้งยังอ้างว่างบประมาณหลักของทหารหน่วยนี้คือการขุดลอกแหล่งน้ำปี 2559 ซึ่งมีการตั้งงบไว้ราว 184 ล้านบาท จากทั้งหมด 224 ล้านบาท หรือคิดเป็น 82% พร้อมตั้งข้อสังเกตถึงค่าปฏิบัติงานล่วงเวลาที่สูงถึงกว่า 4 ล้านบาท แต่เมื่อไปดูงบกิจการพลเรือน หรือ งบการข่าว กลับพบว่ามีความต่างกันประมาณ 10 เท่าจากค่าปฏิบัติงานล่วงเวลา โดยฝากถึงผู้ติดตามให้รอดูข้อมูลเพิ่มเติมในวันจันทร์ที่ 26 ธันวาคมที่จะถึงนี้
ทั้งนี้ มีรายงานข่าวจากกองทัพบก ว่าทราบตัวกลุ่มผู้พยายามเข้าถึงเว็บไซต์แล้วโดยพบว่าเป็นกลุ่มวัยรุ่นซึ่งได้ออกมาเตือนแล้วว่าอย่ากระทำการดังกล่าว เนื่องจากเสี่ยงต่อการเสียอนาคตจากการทำผิดกฎหมาย ขณะเดียวกันก็มีรายงานข่าวด้วยเช่นกันว่าเจ้าหน้าที่สามารถควบคุมตัวแฮกเกอร์ได้แล้ว 5 คน
จากกรณีที่มีจดหมายส่งถึงห้องผู้สื่อข่าวสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ลงชื่อ คุณหญิงเกิดศิริ ศรุตานนท์ เรื่อง ชี้แจงข้อเท็จจริงกรณีข่าวการหย่าของ พล.ต.อ.สันต์ และคุณหญิงเกิดศิริ ศรุตานนท์ ถึงสื่อมวลชน โดยระบุว่า ว่า จากกรณีที่มีสื่อต่างๆ นำเสนอข่าวการหย่าระหว่าง พล.ต.อ.สันต์ กับคุณหญิงเกิดศิริ ศรุตานนท์ ดิฉัน คุณหญิงเกิดศิริ ศรุตานนท์ ขอเรียนความจริงดังนี้
1.กรณีข่าวการหย่าระหว่างดิฉัน กับ พล.ต.อ.สันต์ ไม่เป็นความจริง และดิฉันไม่เคยคิดที่จะหย่า ความจริง คือ ดิฉันกับพล.ต.อ.สันต์ ยังคงสภาพสมรสและปัจจุบันยังพักอาศัยอยู่ในบ้านเดียวกัน ตามเอกสารสำเนาทะเบียนสมรส และสำเนาทะเบียนบ้านที่แนบ 2.หากมีเอกสารหรือข่าวอื่นๆ ที่แสดงว่า ดิฉันกับสามีหย่าขาดจากกัน ถือว่าเป็นการแอบอ้างหรือเอกสารปลอม 3.หากมีผู้อื่นแสดงตนว่าเป็นคู่สมรส หรือ แสดงเอกสารการจดทะเบียนสมรสกับสามีของดิฉัน ถือเป็นการแอบอ้างหรือจดทะเบียนสมรสซ้อน มีความผิดตามกฎหมาย (อ่านข่าว ฮือฮาแวดวงไฮโซ! เปิดตัว”ยุวเรต ศรุตานนท์”สาวสวยข้างกาย”พล.ต.อ.สันต์ ศรุตานนท์”
หลังจากที่มีการเผยแพร่จดหมายของคุณหญิงเกิดศิริแล้ว เมื่อเข้าไปดูในอินสตาแกรมของ @yuwared_sarutanond ของ “เรต”ยุวเรต ศรุตานนท์ หญิงสาวที่ระบุว่าพล.ต.อ.สันต์อนุญาตให้ใช้นามสกุล “ศรุตานนท์” ปรากฏว่ายังโพสต์ภาพเดินเคียงข้างจับมือกับพล.ต.อ.สันต์ไม่ห่าง โดยภาพถ่ายคู่ล่าสุดโพสต์เมื่อวันที่ 18 ธ.ค.ที่ผ่านมานี่เอง
ล่าสุด “ยุวเรต ศรุตานนท์” โพสต์ภาพในอินสตาแกรม @yuwared_sarutanond เป็นภาพต้นหูกระจงต้นใหญ่ แล้วแคปชั่นแบบแรงๆ ว่า
“ต้นหูกระจง ควรปลูกให้ห่างจากตัวบ้าน #จบนะคะ”
วลีเรื่องต้นหูกระจงควรปลูกให้ห่างจากตัวบ้านนี้ เคยโด่งดังเมื่อครั้ง โน้ส อุดม เคยนำเรื่องนี้มาเล่นขำ ๆ ในเดี่ยว 11 ทำให้แฮชแท็ก #หูกระจงควรปลูกให้ห่างจากตัวบ้าน เต็มหน้าฟีดทั้งเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ และในอินสตาแกรม
สำหรับต้นหูกระจงนั้น แม้กิ่งก้านของต้นให้ร่มเงาเมื่อต้นไม้เติบใหญ่ แต่หากคิดจะปลูกควรวางแผนให้ดี เนื่องจากรากของต้นหูกระจงเป็นรากลอยและแผ่ออกด้านข้าง ที่สำคัญยังมีความแข็งแรงมาก ฉะนั้นหากดูแลไม่ถูกวิธีรากของต้นหูกระจงก็จะทำให้พื้นแตกหรือโครงสร้างบ้านเสียหายได้
นอกจากนี้อาจจะมีกิ่งก้านขยายเข้ามาในบ้านพร้อมตัวบุ้ง แมลงน้อยพิษร้ายปัญหาใหญ่ของบ้านที่ปลูกต้นหูกระจง ที่สำคัญต้นหูกระจงเป็นไม้ผลัดใบ ดังนั้นอาจต้องทำใจเรื่องใบไม้ร่วงเยอะในช่วงผลัดใบซึ่งจะเกิดขึ้นประมาณ 2 ครั้งต่อปี
เพจ พลเมืองต่อต้าน Single Gateway : Thailand Internet Firewall #opsinglegateway ซึ่งประกาศทำสงครามไซเบอร์กับร่างกฎหมาย พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ฉบับใหม่ที่ผ่านมติสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)นั้น ล่าสุดเมื่อคืนวันที่ 22 ธันวาคม เพจดังกล่าวโพสต์ประกาศยกระดับความเข้มข้นขึ้นอีก โดยประกาศเยี่ยมบ้านบิ๊กตู่ ด้วยการจะเปิดเผยข้อมูลการใช้งบประมาณบางหน่วยงานในกองทัพบก ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นการไปเยี่ยมบ้าน “บิ๊กตู่” พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในเวลา 20.00 น. ของวันที่ 23, 26 และ 27 ธันวาคมนี้
โดยระบุว่า “มาตามคำเรียกร้องในที่สุด….ได้เวลาไปเยี่ยมบ้านลุงตู่….#OpSingleGateway ทนได้ ทนไป อึดได้ อึดไป จากการไปเยี่ยม ตร.พิษณุโลก, ตร.ภาค1,ตม., ตร.จราจร, ตร.ทางหลวง, ห้องประชุมใน สตช. ก็ถึงคิว บ้านลุงตู่ตอนนี้ทุกทีม ก็พุ่งเป้าไปเยี่ยมลุงตู่กัน….ปมมม คิดถึง ลุงตู่ คราบบบบ ปล.พวกเราเตือนคุณแล้ว ให้ยุติเรื่องกฎหมายนี้เสีย ทุกอย่างก็จบ….
2 สลัดอากาศ จี้ เครื่องบินลิเบีย ยอมมอบตัวกับทางการแล้ว หลังยอมปล่อยผู้โดยสารพร้อมลูกเรือ 118 คน พร้อมเรียกร้อง ทางการลิเบียปล่อยลูกชายอดีตผู้นำ พอ.โมฮัมมาร์ กั๊ดดาฟี่ ที่ต้องโทษประหารชีวิต
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรณีเกิดเหตุสลัดอากาศ 2 ราย จี้เครื่องบินสายการบิน ”อาฟริคิยาห์”ของประเทศลิเบีย ไปลงจอดที่ประเทศมอลต้า พร้อมทั้งขู่ว่า จะระเบิดเครื่องบิน ล่าสุดสถานการณ์ยุติลงแล้วโดยสิ้นเชิง หลังสลัดอากาศทั้งคู่ ได้ยอมมอบตัวกับทางการพร้อมด้วยผู้โดยสารที่เหลืออยู่ทั้งหมด
ทั้งนี้ก่อนหน้านี้ หลังลงจอดที่มอลต้า สลัดอากาศทั้ง2 ราย ได้เปิดการเจรจากับทางการ และปล่อยตัวผู้โดยสารและลูกเรือออกมาทั้ง 118 คน ก่อนที่จะยอมมอบตัวในที่สุด โดยไม่ได้แจ้งข้อเรียกร้องใดๆ ขณะนี้ทั้งคู่ถูกนำตัวไปขังและสอบสวนตามขั้นตอน อย่างไรก็ตาม มีการ เผยข้อเรียกร้องของทั้ง 2 ในเวลาต่อมาว่า ขอให้ทางการลิเบียปล่อยลูกชายอดีตผู้นำ พอ.โมฮัมมาร์ กั๊ดดาฟี่ ที่ต้องโทษประหารชีวิตด้วย
โดยตอนนี้ผู้ก่อเหตุทั้งสองคนอยู่ในการควบคุมของเจ้าหน้าที่ ซึ่งนายโจเซฟ มัสกัต นายกรัฐมนตรีของมอลต้าแถลงสื่อหลังผู้ก่อเหตุถูกจับกุม ระบุว่า ทั้งคู่มีอาวุธและระเบิดอยู่ในครอบครอง นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ยังพบปืนกระบอกที่ 2 จากการตรวจค้นบนเครื่องบินด้วย
เบื้องต้นคาดว่า ผู้ก่อเหตุเป็นกลุ่มผู้สนับสนุนนายมูอัมมาร์ กัดดาฟี อดีตผู้นำเผด็จการลิเบีย เนื่องจากปรากฎภาพชายรายหนึ่งได้ออกมาโบกธงสีเขียว ซึ่งเป็นธงชาติเก่าของลิเบียในสมัยที่อดีตผู้นำรายนี้ยังอยู่ในอำนาจ เพียงไม่นานก่อนหน้าที่คนร้ายจะยอมมอบตัวในเวลาต่อมา
ด้านรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศของลิเบีย เปิดเผยว่า ผู้ก่อเหตุจี้เครื่องบินต้องการที่จะก่อตั้งพรรคการเมืองที่มีแนวทางสนับสนุนกัดดาฟี สอดคล้องกับคำให้สัมภาษณ์ของคนร้ายรายหนึ่ง ทางสถานีโทรทัศน์ลิเบีย ที่ระบุว่า ใช้วิธีการนี้เพื่อเป็นการประกาศการก่อตั้ง และโฆษณาพรรคการเมืองใหม่ของพวกเขา
ทั้งนี้ เหตุจี้เครื่องบินโดยสารแบบแอร์บัส รุ่นเอ 320 ของสายการบินแอฟริกิยะห์ แอร์เวย์ส ( Afriqiyah Airways) ครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อเวลาประมาณ 15.10 น.ตามเวลาในประเทศไทย หลังจากที่เครื่องบินลำดังกล่าวทะยานออกจากเมืองซาบาเพื่อมุ่งหน้าไปยังกรุงตริโปลี พร้อมด้วยผู้โดยสารและลูกเรือ 118 คน แต่ถูกคนร้ายที่รายงานอ้างว่า มีระเบิดมืออยู่ในครอบครองจี้ให้เปลี่ยนเส้นทางมุ่งหน้าไปลงจอดที่ประเทศมอลต้า พร้อมขู่ว่า จะระเบิดเครื่องบินด้วย
โดยหลังเกิดเหตุสนามบินมอลตาก็ได้ถูกสั่งปิด เที่ยวบินทั้งหมดต้องเปลี่ยนเส้นทางขึ้นลงไปยังท่าอากาศยานใกล้เคียงแทน
เห่อส่งลูกเรียนอินเตอร์ฯ กระทบหนักร.ร.ไทย ปรับตัวไม่ทันปิดไปแล้วกว่า 900 แห่ง บางรายพลิกแผนเพิ่มหลักสูตรอิงลิชโปรแกรมแทน ด้านตระกูล “ธรรมวัฒนะ” เผยทุ่มกว่าพันล้าน ตั้ง TIS บนพื้นที่กว่า 30 ไร่ย่านปทุมธานี พร้อมเปิดส.ค. 60 โอดขาดสถาบันการเงินสนับสนุน เหตุคืนทุนช้า
นายนพดล ธรรมวัฒนะ ประธานกรรมการ บริษัท บีจีที คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และบริษัท โกลด์ มาสเตอร์ จำกัด (มหาชน) และนางมัลลิการ์ ธรรมวัฒนะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท มัลลิการ์ อินเตอร์ฟู๊ด จำกัด เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ร่วมกันลงทุนสร้างโรงเรียนนานาชาติ ภายใต้ชื่อ “ไทยอินเตอร์เนชั่นแนลสกูล” (Thai International School : TIS) บนพื้นที่กว่า 30 ไร่ ถนนรังสิต-ปทุมธานี ใกล้กับสะพานปทุมธานี 1 เปิดทำการเรียนการสอนในปีการศึกษา 2560 (เดือนสิงหาคม) ตั้งแต่ระดับเตรียมอนุบาล-เกรด 12 เพื่อรองรับผู้ปกครองและนักเรียนที่ปัจจุบันพบว่า สนใจส่งลูกหลานเข้าศึกษาในโรงเรียนนานาชาติหรือโรงเรียนอินเตอร์ฯมากขึ้น แต่กลับพบว่าโรงเรียนอินเตอร์ฯ ที่มีคุณภาพ และครบวงจรยังไม่เพียงพอ
“ต้องยอมรับว่าปัจจุบันผู้ปกครองส่วนใหญ่ในระดับกลางขึ้นไป ต้องการส่งบุตรหลานเข้าเรียนในโรงเรียนอินเตอร์ฯ เพราะเชื่อว่าค่าเล่าเรียน 5-6 หมื่นบาทต่อปี สามารถซัพพอร์ตได้ เพื่อคุณภาพที่ดีด้านการศึกษา ทำให้โรงเรียนของไทยหลายแห่งได้รับผลกระทบ มีผู้สมัครเรียนน้อย ไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ บางโรงเรียนผู้เรียนลดลงอย่างมากจนต้องปิดกิจการไปแล้วกว่า 900 แห่ง ทั้งในระดับอนุบาลถึงระดับมัธยมศึกษา ขณะที่บางโรงเรียนพบว่า มีการปรับหลักสูตรด้วยการเพิ่มหลักสูตรภาษาอังกฤษ (English Program : EP) เข้ามาเสริมเพื่อเป็นทางเลือกให้กับนักเรียน แต่ก็ยังไม่ได้คุณภาพเพราะมีปัญหาหลายด้านทั้งเรื่องของหลักสูตร วิชาที่สอน รวมถึงครูผู้สอนที่ขาดทักษะ”
อย่างไรก็ดีปัจจุบันโรงเรียนนานาชาติที่สมบูรณ์ครบทุกระดับชั้น ยังมีจำนวนจำกัด ทำให้ไม่เพียงพอกับความต้องการ จึงมีผู้ปกครองบางส่วนเลือกที่จะส่งบุตรหลานไปเรียนต่อต่างประเทศ แต่ต้องเสียค่าใช้จ่ายที่แพงราว 2-3 ล้านบาทต่อปี ขณะที่โรงเรียนนานาชาติในไทย จะเสียค่าใช้จ่ายราว 3-6 แสนบาทต่อปี หรือประมาณ 1 ล้านบาทต่อปีสำหรับโรงเรียนชื่อดัง
สำหรับค่าเล่าเรียนของที่นี่ทีไอเอส เริ่มต้นในระดับเตรียมอนุบาล 3 แสนบาทต่อปี ประถมฯ 4-4.5 แสนบาทต่อปี มัธยมฯ 5- 6 แสนบาทต่อปี ซึ่งอยู่ในระดับกลางๆ เมื่อเทียบกับโรงเรียนนานาชาติอื่นๆ โดยในปีแรกคาดว่าจะสามารถรับนักเรียนได้กว่า 300 คน และหากครบทุกชั้นเรียนจะสามารถรองรับได้กว่า 800 คน ด้วยมาตรฐานของการเรียนการสอนในระบบอเมริกัน และอาจารย์ที่มีประสบการณ์ เชื่อว่าจะสามารถเข้าศึกษาต่อได้ได้ในระดับอุดมศึกษาทั้งในและต่างประเทศ
© 2011 - 2026 Thai LA Newspaper 1100 North Main St, Los Angeles, CA 90012