26 ต.ค.61 ที่พรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) มีการจัดงาน ‘ดีเบต61 ประชาธิปัตย์ คนไทยจะได้อะไร’ เป็นกระบวนการที่คณะกรรมการการเลือกตั้งประจำพรรคประชาธิปัตย์ จัดขึ้นเพื่อเปิดให้ผู้สมัครเข้ารับการหยั่งเสียงเลือกหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ทั้ง 3 คน ประกอบด้วย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้สมัครหมายเลข 1 , นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ผู้สมัครหมายเลข 2 และนายอลงกรณ์ พลบุตร ผู้สมัครหมายเลข 3 แสดงวิสัยทัศน์ โดยก่อนการดีเบตผู้สมัครทั้ง 3 คน ได้จับมือกัน เพื่อแสดงให้เห็นว่าเป็นการแข่งขันกันฉันท์พี่น้อง มีนายชุมพล กาญจนา ประธานกกต.ปชป.มอบช่อดอกไม้ให้ทั้ง 3 คน พร้อมกับถ่ายรูปร่วมกันและมีกองเชียร์ของผู้สมัครทั้ง 3 คนมาให้กำลังใจด้วย
โดยมีการให้ตัวแทนสื่อมวลชน คือ นายกิตติ สิงหาปัด ผู้สื่อข่าวอาวุโส สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 และนาย ณ กาฬ เลาหะวิไลย บรรณาธิการบริหารเครือโพสต์พลับบลิชชิ่ง มาตั้งคำถามผู้สมัครทั้ง 3 คน โดยมีการให้ผู้สมัครตอบคำถามทั้งหมด 9 คำถาม เช่น จุดยืนของพรรคประชาธิปัตย์ในการจัดตั้งรัฐบาลหลังเลือกตั้งว่าจะเอาเผด็จการหรือ ไม่เอาเผด็จการ ทัศนะต่อโครงการรถไฟความเร็วสูง ของรัฐบาลปัจจุบัน รวมทั้ง ความคิดเห็นต่อรัฐธรรมนูญและกฎหมายยุทธศาสตร์ชาติ
นพ. วรงค์ กล่าวว่า ตนจะไม่เลือกซ้ายหรือขวา ถ้าชนะเลือกตั้ง ก็มีสิทธิ์เลือกคนทำงาน มีหลักการ 4 ข้อ คือ ต่อต้านและต้องการปราบทุจริตอย่างจริงจัง เพราะการโกง คือ อุปสรรคในการพัฒนาประเทศ เรียกร้องให้เคารพกฎหมาย ไม่ส่งเสริมการใช้อำนาจทางไม่ชอบ และจงรักภักดีต่อสถาบัน
ด้านนายอลงกรณ์ ระบุว่า ถ้าเราชนะเลือกตั้งอันดับ 1 จัดตั้งรัฐบาลเองแน่นอน แต่ถ้าอันดับ 2 ก็ให้อันดับ 1 จัดตั้งก่อน ถ้าจัดตั้งไม่ได้ พรรคประชาธิปัตย์จึงจะจัดตั้ง และยืนยันไม่เอานายกฯคนนอก เพราะจะเป็นชนวนก่อวิกฤตของชาติ การเมืองจะเดินหน้าต้องไม่มีรัฐประหารอีกต่อไป
ขณะที่อภิสิทธิ์ กล่าวว่า ปฏิเสธโจทย์ที่ว่าเอาหรือไม่เอาเผด็จการมานานแล้ว เพราะคนไทยต้องมีสิทธิ์มากกว่าการเลือกเผด็จการหรือคนขี้โกง ประชาธิปัตย์จะเดินหน้าตามอุดมการณ์เสรีนิยมประชาธิปไตย เพราะจะเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าเราอยู่จุดไหน ถ้าเราได้เสียงข้างมากจะได้จัดตั้งรัฐบาล และไม่ควรมีใครฝืนเจตนารมณ์ประชาชน สำหรับเงื่อนไขตั้งรัฐบาลอยู่ที่นโยบาย เพราะเราไม่ได้เป็นรัฐบาลเพื่อตำแหน่ง แต่เป็นรัฐบาลเพื่อแก้ไขปัญหาประชาชน
ส่วนเรื่องยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และรัฐธรรมนูญจะมีการแก้ไขหรือไม่นั้น ผู้สมัครทั้ง 2 คน คือ นายอลงกรณ์ กับ นพ.วรงค์ ตอบคล้ายกัน คือ จะแก้ไขในส่วนที่เป็นปัญหา
ขณะที่นายอภิสิทธิ์ ระบุชัดเจนว่ายุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี มีปัญหาไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ และมีหลายอย่างขัดแย้ง ซึ่งจะเป็นอุปสรรคต่อการบริหาร โดยการปรับแก้จะต้องทำเพื่อประชาชนและทำให้สังคมเข้าใจว่าการแก้ไขดังกล่าวไม่ใช่การทำเพื่อดึงอำนาจกลับมาอยู่ในมือนักการเมือง แต่เป็นการแก้ไขเพื่อตอบสนองต่อการแก้ปัญหาประชาชน เช่นเดียวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ซึ่งมีปัญหาในหลายเรื่อง มีปัญหาขัดแย้งกันเอง ไม่เป็นประชาธิปไตย เช่น สิทธิเสรีภาพ โครงสร้างทางการเมืองอย่างวุฒิสภาที่ไม่ได้มาจากประชาชน และบางประเด็นที่เป็นอุปสรรคต่อการแก้ปัญหาทุจริต แต่เมื่อมีจัดตั้งรัฐบาลแล้ว
“สิ่งแรกที่ควรทำก่อนคือแก้ปัญหาประชาชน ส่วนจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ ยุทธศาสตร์ชาติ หรือแผนการปฏิรูปประเทศ จะต้องเป็นฉันทามติของประชาชน หากจะต้องแก้ไข ต้องรู้ว่าจะเอาอะไรมาทดแทน และต้องแก้ไขอย่างสร้างสรรค์ ไม่เอาเรื่องเหล่านี้มาเป็นประเด็นทางการเมือง” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
สำหรับประเด็นที่ทำให้เกิดการถกเถียงกันอย่างเข้มข้นระหว่างนายอภิสิทธิ์ กับ นพ.วรงค์ คือ กรณีที่ นพ.วรงค์ ระบุว่าจะเปลี่ยนอุดมการณ์เสรีนิยมประชาธิปไตยนั้น เป็นเสรีภาพที่เอาเปรียบประชาชน จึงจะเปลี่ยนเป็นประชาธิปไตยสวัสดิการ เพราะทำให้เกิดทุนผูกขาด ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ให้คนด้อยโอกาสอยู่ร่วมกับคนในสังคมได้
เรื่องนี้ทำให้นายอภิสิทธิ์ ใช้สิทธิพาดพิงว่า อุดมการณ์เสรีนิยมประชาธิปไตยของพรรคประชาธิปัตย์ ตามหลักการคือสนับสนุนการแข่งขันที่เสรีและเป็นธรรม ส่วนเรื่องสวัสดิการเป็นนโยบายไม่ใช่อุดมการณ์ ไม่ว่าจะเป็นเสรีนิยมประชาธิปไตยหรือสังคมนิยมก็ต้องใช้ระบบสวัสดิการเช่นเดียวกัน แต่สังคมนิยมจะใช้การเก็บภาษีที่สูงกว่าในขณะที่เสรีนิยมจะใช้ระบบการแข่งขันแบบเสรี และเก็บภาษีในอัตราก้าวหน้า ดังนั้นอุดมการณ์พรรคจะต้องไม่เปลี่ยน
ขณะเดียวกันผู้สมัครทั้ง 3 คนต่างก็ยืนยันว่าไม่ว่าผลการเลือกหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์จะออกมาอย่างไร ก็จะไม่ลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์ จากนั้นเป็นการแสดงวิสัยทัศน์ของผู้สมัครทั้ง 3 คนภายในเวลา 3 นาที
โดยนายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนเป็นผู้นำแนวทางการหยั่งเสียงเลือกหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์มาดำเนินการ ซึ่งเป็นก้าวแรกของการเปลี่ยนแปลงพรรคเอาเทคโนโลยีมาให้ประชาชนมีส่วนร่วม พิสูจน์ว่าปชป.เป็นพรรคเดียวที่เป็นประชาธิปไตยและทันสมัยอย่างสมบูรณ์แบบ เป็นผู้นำการเมืองและเป็นสถาบันการเมืองอย่างแท้จริง หลังวันที่ 5 พ.ย. มีภารกิจนำพรรคเข้าสู่การเลือกตั้ง เอาประเทศออกจากหล่มที่ติดมานานกว่า 10 ปี
นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า พรรคประชาธิปัตย์เป็นตัวของตัวเองเป็นทางหลักที่มีทางเลือกดีกว่าเผด็จการและคนโกง ด้วยจุดยืนเสรีนิยมประชาธิปไตย เป็นประชาธิปไตยที่กินได้แต่ไม่โกง สานต่อนโยบายประกันรายได้ เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ กองทุนการออม นโยบายเรียนฟรีไปสู่การศึกษาที่มีคุณภาพ ฯลฯ และมีแนวคิดใหม่แบบก้าวกระโดด ขจัดการผูกขาดทั้งภาครัฐและเอกชน เลือกผู้ว่าราชการจังหวัด และตนในฐานะประธานอาเซียนปีหน้าจะนำประเทศไทยเป็นหนึ่งในภูมิภาคอีกครั้งหนึ่ง
“เพื่อนร่วมอุดมการณ์ที่เคารพทุกท่าน 27 ปีที่ผมเป็นนักการเมืองในนามพรรค ผมทุ่มเทชีวิตการทำงานของผมให้กับพรรคการเมืองพรรคนี้แต่สิ่งที่ผมทุ่มเทให้เทียบไม่ได้กับบุญคุณที่พรรคมีกับผม กับคุณูปการที่พรรคนี้มีให้กับประเทศชาติ ผมปกป้องพรรค ต่อสู้เพื่อพรรคและประชาชนในทุกสถานการณ์ ภัยคุกคามต่อพรรคยังมี เพราะยังมีคนจ้องทำลาย ยังมีคนอยากใช้พรรคเป็นเครื่องมือ ผมไม่ยอม และผมใช้โอกาสนี้ให้เจ้าของพรรคตัวจริง พลิกวิกฤตเป็นโอกาสนอกจากรักษาพรรค รักษาอุดมการณ์แล้ว นำประเทศไทยไปสู่ความรุ่งเรืองด้วย” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
ด้าน นพ.วรงค์ กล่าวว่า เชื่อมั่นเจ้าของพรรคคือประชาชนและอดีตที่ผ่านมาเจ้าของพรรคมีโอกาสน้อย ถ้าตนชนะใจกว้าง ใจใหญ่ที่จะเชิญชวนทุกคนมาร่วมสร้างพรรคประชาธิปัตย์ให้แข็งแกร่ง ถ้าแพ้ก็จะให้ความร่วมมือทุกเงื่อนไข พรรคประชาธิปัตย์เป็นบ้านของทุกคนไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง ตนรักบ้านหลังนี้ไม่น้อยกว่าคนอื่น การลงสมัครรับเลือกตั้งครั้งนี้ก็เพราะเชื่อว่าจะทำให้บ้านหลังนี้เข้มแข็งได้ หนึ่งเดือนที่ผ่านมาเหนื่อยแบบแสนสาหัส ความรู้สึกเหมือนสู้กับระบอบทักษิณในปี 2548 บางครั้งอ้างว้าง เพราะหลายคนไม่กล้าคุยกับตน แต่ตนถือว่าพรรคประชาธิปัตย์เป็นของตนและจะเป็นพรรคสุดท้ายที่ตนใช้ชีวิตทางการเมือง
ส่วนนายอลงกรณ์ ได้นำน้ำครำจากคลองแสนแสบมาประกอบการแสดงวิสัยทัศน์ของตัวเอง ว่าเป็นตัวอย่างของการเมืองน้ำเน่าที่สร้างปัญหา ทำให้ต้องปักธงการเมืองสีขาวเหมือนน้ำบริสุทธิ์ที่ทุกคนต้องดื่ม ซึ่งจะทำให้ได้รับการสนับสนุนจากประชาชน ผู้นำต้องเด็ดขาด เด็ดเดี่ยว
“ถ้าผมเป็นหัวหน้าพรรค ผู้สมัคร ส.ส.ทั้งเขตและบัญชีรายชื่อจะขอใบลาออกล่วงหน้า หากมีปัญหาจะปลดทันที หากมีปัญหาเรื่องทุจริต เป็นรัฐบาลก็จะขอใบลาออกจากรัฐมนตรีทุกคน และผมก็จะยื่นใบลาออกล่วงหน้าไว้ด้วย หากมีข่าวทุจริต กรรมการคุณธรรมจะตรวจสอบภายใน 36 ชั่วโมง ไม่ต้องรอให้ใครมาอภิปรายไม่ไว้วางใจ ผมขอโอกาสเป็นผู้นำพรรคสร้างจุดเปลี่ยนพรรค จุดเปลี่ยนการเมือง และจุดเปลี่ยนประเทศ” นายอลงกรณ์ กล่าว
26 ต.ค.61 นายนคร มาฉิม อดีต ส.ส. พิษณุโลก และสมาชิกพรรคเพื่อไทย (พท.)โพสต์ข้อความแสดงความคิดเห็นทางการเมือง โดยมีเนื้อหาระบุว่า ประเทศไทยกำลังเคลื่อนสู่ทาง 3 แพร่งหลังการอ้างเหตุทำรัฐประหารเมื่อเกือบ 5 ปีที่แล้ว โดยพวกเขากำลังสร้างกฎกติกาที่เกื้อหนุนให้ระบบเผด็จการแข็งแกร่ง และได้เปรียบทุกด้านผ่านรัฐธรรมนูญปี 60 เป็นกฎเกณฑ์ที่ทำลายอำนาจของประชาชนและระบอบประชาธิปไตย
นายนคร กล่าวว่า ตอนนี้พวกเขาเป็นผู้กำหนดเองทั้งหมดแค่เพียงองค์กรอิสระอย่าง กกต. รับลูกต่อจากพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯว่าอาจจะยุบพรรคเพื่อไทย หลายคนก็ผวากันแล้ว ถ้าเปิดศึกเต็มรูปแบบยุบพรรคเพื่อไทย ยุบพรรคเพื่อชาติ ยุบพรรคเพื่อธรรม ยุบพรรคอนาคตใหม่ที่เป็นแกนนำฝ่ายประชาธิปไตย หรือโยนใบส้ม ใบเหลือง ใบแดง จับกุม คุมขัง พวกฝ่ายประชาธิปไตยจะรับมืออย่างไร
นอกจากนี้นายนคร ยังอ้างถึงการสำรวจคะแนนนิยมของคนไทยทั้งจากหน่วยงานภาครัฐ เช่น กอ.รมน. สันติบาล กรมการปกครอง สถาบันการศึกษา และแม้แต่พรรคการเมืองที่ได้ทำโพล ผลการสำรวจจะออกมาในทำนองเดียวกัน ว่าคนไทยส่วนใหญ่เบื่อหน่ายรัฐบาลทหาร เผด็จการชุดนี้มา ได้เห็นถึงความเสื่อมทรุดของประเทศไทย ทั้งด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคม ด้านการเมืองโดยเฉพาะด้านการทุจริตคอรัปชั่นที่เบ่งบาน
“การเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในเวลาอันใกล้นี้จึงสำคัญอย่างยิ่งยวด เป็นการเลือกตั้งทางยุทธศาสตร์ว่าคนไทย จะเลือกเอาระบอบประชาธิปไตย หรือ ระบอบเผด็จการ หากชะล่าใจนอนหลับทับสิทธิ หรือหลงไปตามการชี้นำของเผด็จการและเครือข่ายของเผด็จการก็จบกัน ประเทศไทยก็จะถูกปกครองด้วยระบอบเผด็จการต่อไปอีกยาวนาน พวกเราและลูกหลานของคนไทยก็คงจะเป็นทาสไพร่ต่อไปชั่วลูกชั่วหลาน”นายนคร กล่าว
และว่า แต่หากคนไทยส่วนใหญ่ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ เด็ดเดี่ยว ขอเลือกฝ่ายประชาธิปไตยที่มีเพื่อไทย เพื่อธรรม เพื่อชาติ และอนาคตใหม่เป็นผู้ถือธงนำ ฝ่ายประชาธิปไตยคนไทย ประเทศไทย และลูกหลานของเราก็จะเป็นไทอย่างแท้จริงบนความมีเสรีภาพ มีความเสมอภาค มีความภราดรภาพ และเจริญรุ่งเรืองเช่นอารยะประเทศ
วันนี้ (26 ต.ค.) ที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) พ.อ.บุรินทร์ ทองประไพ นายทหารพระธรรมนูญ ในฐานะคณะทำงานฝ่ายกฎหมาย คสช. ได้รับมอบอำนาจจาก พล.ต.นเรศ ขีโรท หัวหน้าคณะทำงานด้านกฎหมาย ส่วนงานการรักษาความสงบเรียบร้อย สำนักเลขาธิการ คสช. เดินทางเข้าแจ้งความดำเนินคดีต่อผู้ควบคุมดูแลบัญชีเฟซบุ๊กชื่อ Pavin Chachavalpongpun ในความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14 (2) “นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศ หลังพบว่าบัญชีดังกล่าวโพสต์ภาพและข้อความบิดเบือนข้อเท็จจริงกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. พร้อมนางนราพร จันทร์โอชา ภริยา เดินทางเยือนกรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม เพื่อเข้าร่วมประชุมเอเชีย-ยุโรป ครั้งที่ 12 (ASEM) ระหว่างวันที่ 18-20 ก.ค.ที่ผ่านมา โพสต์ดังกล่าวถูกเผยแพร่เมื่อเวลา 11.23 น.ของวันที่ 22 ต.ค.ที่ผ่านมา โดยมีข้อความระบุว่า “โถ ผัวเมียถูกไล่ออกที่ประชุมข้อหาทรราช แถมโรงแรมก็ไล่ออกเพราะไม่ต้อนรับโจรห้าร้อย ต้องบากหน้าเดินตามถนนในกรุงบรัสเซลส์หามุมนอนพัก ข้าวปลาก็ไม่มีกิน ต้องคุ้ยในถังขยะ เป็นนายกฯ ที่ปล้นอำนาจมาชีวิตไม่ง่ายนะคะ” ซึ่งมีผู้กดถูกใจกว่า 2,600 ราย และมีการแชร์กว่า 260 ครั้ง
ด้าน พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ ผกก.3 บก.ปอท.ในฐานะรองโฆษก บก.ปอท.กล่าวว่า สำหรับผู้ที่แชร์ต่อโพสต์ที่มีข้อความบิดเบือนก็จะเข้าข่ายความผิดตามมาตรา 14 (5) ซึ่งจะมีโทษอัตราเดียวกันกับผู้โพสต์ คือ จำคุก 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท
รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับเฟซบุ๊ก Pavin Chachavalpongpun นั้น เป็นของนายปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ นักวิชาการฝ่ายเสื้อแดง ปัจจุบันเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น และอยู่ระหว่างหลบหนีคดีฝ่าฝืนคำสั่ง คสช.ที่ให้ไปรายงานตัวตั้งแต่ปี 2557
เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 26 ต.ค. พรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) นำโดย ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล หัวหน้าพรรค พร้อมด้วยนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ประธานคณะทำงานรณรงค์เชิญชวนประชาชนเป็นสมาชิกพรรค นำคณะผู้จัดตั้งพรรคเดินคารวะแผ่นดิน เชิญชวนประชาชนร่วมกันเป็นเจ้าของพรรคด้วยการสมัครเป็นสมาชิก เป็นวันที่ 2
โดยเริ่มเดินจากมาร์เกตเพลส ทองหล่อ เดินไปตามถนนสุขุมวิท ผ่านศูนย์การค้าเอ็มควอเทียร์ ศูนย์การค้าเทอร์มินอล 21 ศูนย์การค้าไทม์สแควร์ ขณะที่ช่วงบ่ายจะเดินต่อไปที่ห้างเซ็นทรัลเอ็มบาสซี เซ็นทรัลชิดลม เซ็นทรัลเวิลด์ ศูนย์สยามพารากอน และสยามสแควร์
ทั้งนี้ ก่อนเริ่มเดินรณรงค์หาสมาชิกพรรค นายสุเทพย้ำกับสมาชิกพรรคและทีมงานว่า การเดินรณณรงค์ครั้งนี้เพื่อเชิญชวนให้ประชาชนสมัครเป็นสมาชิกพรรคนั้นห้ามพูดลักษณะเชิญชวนให้เลือกพรรค และต้องปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด ที่สำคัญต้องไม่ทำให้ประชาชนเดือดร้อน
นายสุเทพให้สัมภาษณ์ยืนยันว่า การเดินเพื่อเชิญชวนประชาชนสมัครเป็นสมาชิกพรรคได้ ดำเนินการตามคำสั่ง คสช. โดยหลังจากได้รับการรับรองความเป็นพรรคการเมืองจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) แล้วก็จำเป็นต้องหาสมาชิกเพิ่ม และการหาสมาชิกก็ต้องลงพื้นที่เพื่อพบปะกับประชาชน ซึ่งไม่ใช่การหาเสียงแต่เป็นการเชิญชวนให้ประชาชนร่วมเป็นเจ้าของพรรค ด้วยการเสียสละเงินวันละ 1 บาท ปีละ 365 บาท และได้กำชับกับว่าห้ามโฆษณาหาเสียงเด็ดขาด ซึ่งจากการเดินเชิญชวนประชาชนในวันแรก ยอมรับว่ายังไม่มีผู้สมัครเป็นสมาชิกมากนัก เพราะขาดหลักฐาน แต่หลายคนมีความกระตือรือร้นและนำใบสมัครกลับไป พบว่าผู้หญิงมีความสนใจเป็นจำนวนมาก
นายสุเทพยังกล่าวถึงโรดแมปวันเลือกตั้งว่า พรรค รปช.มองว่าเรื่องวันเลือกตั้งไม่ใช่ปัญหาเพราะพอใจที่ คสช.ประกาศว่าจะมีการเลือกตั้ง ดังนั้น ไม่ว่าจะเลือกตั้งวันที่ 24 ก.พ. 62 หรือ วันที่ 5 พ.ค. 62 ก็ได้ทั้งนั้น ขอเพียงให้การเลือกตั้งเป็นไปด้วยความเรียบร้อย สุจริต โปร่งใส เป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าหลังการเลือกตั้งจะไม่มีใคร สร้างความวุ่นวาย เพราะประชาชนไม่เห็นด้วยกับวิธีการของนักการเมืองหรือพรรคการเมืองทำอย่างที่ผ่านมา
จากกรณีที่มีการเผยแพร่คลิปวิดีโอเพลงแร็ป "ประเทศกูมี" ในโซเชียลมีเดียนั้น แร็ปเปอร์ผู้ใช้ชื่อ aka (ฉายา) Liberate P, Jacoboi, ET, Hockhacker ซึ่งเป็น 4 ขุนพลผู้อยู่เบื้องหลังเพลงดัง ยอมพูดคุยกับทีมข่าวเจาะประเด็นอย่างหมดเปลือก
ณ ขณะนี้ มีเจ้าหน้าที่รัฐติดต่อขอเชิญตัวไปให้ปากคำหรือยัง?
4 ขุนพล เบื้องหลังเพลงประเทศกูมี ให้คำตอบกับทีมข่าวว่า “ไม่มีครับ ยังไม่มี”
รัฐบาลตั้งข้อสงสัยว่ามีใครบงการ แล้วเบื้องหลังจริงๆ มันเป็นยังไง?
“พวกผมทำกันเองครับ ทำกันเองหมดเลย ไม่มีใครอยู่เบื้องหลัง ชิ้นงานชิ้นนี้เราร่วมแรงร่วมใจทำด้วยกันมานาน หากนับๆ ดูเราใช้เวลาตั้งแต่ปลายปี 2017 เพื่อสร้างชิ้นงานชิ้นนี้ขึ้นมา โดยมีคนแต่งเนื้อเพลงนี้ทั้งหมด 10 คน ซึ่งคนที่แร็ปก็คือคนที่แต่งครับ ใครแต่งท่อนไหนก็แร็ปท่อนนั้น”
“ก่อนที่จะสร้างเพลงนี้ขึ้นมา เรามีการเวิร์กช็อป มีการรีเสิร์ชข้อมูล เพื่อหา content มาเล่า จนเราได้เจอคำหลายคำในโลกโซเชียล เช่น นาฬิกา, บ้านพักบนอุทยาน, เสือดำ”
“เอาจริงๆ แล้ว เนื้อเพลงมันได้บอกไปหมดแล้วว่า เราคิดอะไร ทีมเราคงไม่ต้องไปพูดซ้ำแล้วแหละว่า เราคิดอะไรถึงได้ทำเพลงนี้ออกไป เพราะเนื้อเพลงมันถูกกลั่นกรองมาให้ฟังง่าย คิดตามง่าย”
คิดอย่างไรหลังจาก พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ออกมาเตือน?
“ส่วนนี้เป็นเรื่องของกฎหมายแล้วครับ ว่าในเนื้อเพลงมันมีจุดที่ผิดจริงๆ หรือเปล่า แต่เราบอกได้เลยว่า จุดประสงค์ที่พวกเราตั้งกลุ่มขึ้นมาก็เพื่อสร้างผลงานเพลง เราไม่ได้มีจุดประสงค์ที่อยากจะทำอะไรนอกเหนือกฎหมาย พวกเราแค่อยากจะสร้างผลงานเพลงมาสัก 1 ชิ้น และเราจะปักเพลงๆ หนึ่งไว้ในวงการเพลงประเทศไทยเท่านั้นแหละครับ”
“แต่ถ้ามันมีส่วนใดส่วนหนึ่งของเพลงมันผิดกฎหมาย หรือจะผิดด้วยเรื่องอะไรก็ตาม เราก็พร้อมที่จะยอมรับ และรับมือกันต่อไป ซึ่งเราก็คิดกันไว้อยู่แล้วว่า เพลงนี้จะเข้าถึงคนทุกกลุ่ม ตั้งแต่ประชาชนไปจนถึงรัฐบาล”
รัฐบาล มองว่าเยาวชนที่แต่งเพลง 'ประเทศกูมี' ทำร้ายประเทศชาติ ในฐานะคนทำเพลง รู้สึกอย่างไร?
“พวกเราไม่ใช่ระดับเยาวชนแล้วอะ กลุ่มเรามีคนอายุเกิน 30 ปีหลายคน เรามีอาชีพ มีงาน มีการศึกษา และเราอาศัยอยู่ในประเทศนี้มานาน เราทุกคนรู้นะครับว่าประเทศนี้มันมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง ทีมทำเพลงของเราที่เด็กที่สุดก็อายุยี่สิบกว่าแล้วด้วยซ้ำ ไม่มีใครต่ำกว่ายี่สิบ ทุกคนบรรลุนิติภาวะ และพร้อมที่จะถ่ายทอดเรื่องราวที่ตัวเองประสบในมุมมองของตัวเอง”
“เราไม่ใช่เยาวชนที่ทำอะไรไม่คิดแล้ว เราผ่านอะไรต่างๆ ในประเทศนี้มาพอสมควร โดยมีเป้าหมายอย่างหนึ่งที่ตรงกันก็คือ ประเทศชาติเราต้องดีขึ้น”
ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองออกมา “ฮึ่ม” กันขนาดนี้ กลัวไหม?
“ไม่กลัวนะครับ เรายังเชื่อมั่นในความตั้งใจ เชื่อมั่นในตัวผลงานที่ออกมา เชื่อมั่นในสิ่งที่ทำ เราแค่อยากสร้างงานที่มันวิพากษ์สังคม แต่สิ่งที่เรากลัว คือ คนไม่เข้าใจ คนไม่ตื่นตัวกับสิ่งที่เราพยายามจะสื่อออกไป”
ความรู้สึกหลังจากที่เพลงนี้เป็นที่พูดถึงในวงกว้างของสังคม?
“ตกใจพอสมควร แต่ลึกๆ ก็สะท้อนให้เห็นว่า งานของเราที่ได้มาถึงจุดนี้ ก็อาจเป็นเพราะเรื่องราวในเพลงที่มันค่อนข้างโอเคในระดับหนึ่งเลยครับ”
“ส่วนสาเหตุที่เพลงนี้ถูกพูดถึงเป็นวงกว้าง ก็คงมาจาก 1. ในช่วงนี้ กระแสเพลงแร็ปมาแรง 2. การเมืองเป็นที่พูดถึงในสังคมค่อนข้างมาก นี่อาจจะเป็นที่มาให้เพลงนี้เข้าถึงผู้ฟังได้ค่อนข้างมาก”
“เพลงนี้ ถือว่าสำเร็จในการเข้าถึง เราเชื่อว่าคนเข้าถึงแล้ว แต่คนเข้าถึงแล้ว และจะตีความยังไงต่อ เราว่าตรงนี้ควรเปิดกว้างให้ทุกคนได้ถกเถียงกันว่า ตรงนี้มันจริง มันไม่จริง มันมีอะไรบิดเบือน หรือมันมีอะไรที่มันยังไม่เคลียร์หรือเปล่า ซึ่งเป็นหน้าที่ของคนฟังที่จะตัดสินงานชิ้นนี้อย่างไร”.