ข่าว
'โป๊ป'ชี้'ทรัมป์'ไม่ใช่คริสเตียน เจอสวนถูกISถล่มแล้วจะสำนึก

โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครเป็นตัวแทนพรรครีพับลิกันชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ อ่านถ้อยแถลงตอบโต้ สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส ระหว่างหาเสียงที่เซาท์แคโรไลนาเมื่อวันพุธ(17ก.พ.)

สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส ทรงนำพาตนเองเข้าสู่ข้อถกเถียงทางการเมืองอีกครั้ง หลังระบุโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครเป็นตัวแทนพรรครีพับลิกันชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ "ไม่ใช่คริสเตียน" สืบเนื่องจากมุมมองของเขาต่อผู้อพยพ คำตรัสที่ดึงมหาเศรษฐีอสังหาริมทรัพย์รุดออกมาตอบโต้ทันควัน ด้วยบอกว่าโป๊บจะปรารถนาให้เขานั่งเก้าอี้ในทำเนียบขาวทันที หากว่าวาตินกันถูกพวกรัฐอิสลาม(ไอเอส)โจมตี

แม้จะแสดงความคิดเห็นไม่โปรดปรานต่อมุมมองของนายทรัมป์เกี่ยวกับผู้อพยพ แต่โป๊ปฟรานซิสทรงไม่ประสงค์แนะนำชาวอเมริกันคาทอลิกว่าควรลงคะแนนเลือกนายทรัมป์หรือไม่

ความเห็นดังกล่าวของโป๊ปฟรานซิส เกิดขึ้นระหว่างการสนทนากับเหล่าผู้สื่อข่าวระหว่างที่พระองค์กำลังประทับเครื่องบินกลับจากเสด็จเยือนเม็กซิโก โดยพระองค์ถูกถามเกี่ยวกับนายทรัมป์และคำแถลงต่างๆของเขาบางส่วน อย่างเช่นการประกาศสร้างกำแพงระหว่างสหรัฐฯกับเม็กซิโกหากว่าเขาได้เป็นประธานาธิบดี

"บุคคลใดก็ตามที่คิดเพียงแต่จะสร้างกำแพง แต่ไม่สร้างสะพาน คนๆนั้นไม่ใช่ชาวคริสเตียน" โป๊ปฟรานซิสตอบคำถามที่เชื่อมโยงกับมุมมองของนายทรัมป์ "มันไม่ได้อยู่ในคำสอนของพระเยซู"

ในวันสุดท้ายของการเสด็จเยือนเม็กซิโก สมเด็จพระสันตปาปาฟรานซิสทรงเสด็จเยือนเมืองซิวแดด ฮัวเรซ ซึ่งเป็นเมืองชายแดนเม็กซิโก ที่ติดกับสหรัฐฯ ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเมืองที่อันตรายที่สุดในโลก ท่ามกลางฝูงชนชาวคริสต์ที่มารับเสด็จจำนวนมหาศาล

นายทรัมป์เคยบอกว่าเขาจะเนรเทศผู้อพยพผิดกฎหมายหลายล้านคนหากเขาได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯในเดือนพฤศจิกายน ขณะที่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เขาให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ฟ็อซ์ บิสเนส ว่าโป๊ปฟรานซิสทรงไม่เข้าใจประเด็นชายแดนเม็กซิโก "โป๊ปมีความเป็นนักการเมืองสูงมาก ผมคิดว่าพระองค์คงไม่เข้าใจปัญหาต่างๆที่ประเทศเรามี ผมไม่คิดว่าพระองค์จะเข้าใจถึงอันตรายต่อการเปิดชายแดนติดกับเม็กซิโก"

เมื่อถูกถามถึงกรณีถูกเรียกว่าเป็น "บุคคลการเมือง" โป๊ปฟรานซิสตอบว่า "ขอบคุณพระเจ้า ที่เขาเรียกข้าพเจ้าว่าเป็นนักการเมือง เพราะอาริสโตเติลเคยระบุว่ามนุษย์เป็นสัตว์สังคมหรือสัตว์การเมือง ดังนั้นอย่างน้อยข้าพเจ้าก็เป็นมนุษย์"

นายทรัมป์มีคะแนนนิยมนำหน้านายเท็ด ครูซ วุฒิสมาชิกสหรัฐฯ อยู่กว่า 20 จุด ในศึกแย่งเป็นตัวแทนพรรครีพับลิกันลงชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ขณะที่การหาเสียงของเขาประสบความสำเร็จอย่างไร้ขีดจำกัดจากข้อถกเถียงต่างๆนานาที่เขาได้ก่อขึ้น

ทั้งนี้การถูกสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส ระบุว่าไม่ใช่ชาวคริสต์ กระตุ้นให้มหาเศรษฐีรายนี้รุดออกมาโจมตีผู้นำทางศาสนาว่าน่าอัปยศอดสูที่ตั้งคำถามเกี่ยวกับศรัทธาของเขา "มันเป็นเรื่องน่าอดสูยิ่งที่ผู้นำศาสนาตั้งคำถามเกี่ยวกับศรัทธาของคนอื่น ผมภูมิใจที่เป็นชาวคริสเตียน และในฐานะประธานาธิบดี ผมจะไม่ยอมให้ศาสนาคริสต์อ่อนแอและถูกโจมตีอย่างไม่ขาดสาย"

นอกจากนี้แล้วนายทรัมป์ ยังบอกด้วยว่าสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสจะภาวนาให้เขาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ หากว่าพวกรัฐอิสลาม(ไอเอส) โจมตีวาติกัน "เมื่อไหร่ที่วาติกันถูกโจมตีโดยไอเอส เชื่อได้เลยว่า โป๊ปทรงจะปรารถนาและภาวนาให้นายโดนัลด์ เป็นประธานาธิบดี" นายทรัปท์กล่าวปราศรัยในเซาท์แคโรไลนา

เบนซ์เจ้าปัญหาผิดกม. สมเด็จช่วงอดได้ไปต่อ

คดีร้องเรียนเรื่องรถเบนซ์โบราณในพิพิธภัณฑ์วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พ.ต.ท.กรวัชร์ ปานประภากร ผบ.สำนักคดีเทคโนโลยีและสารสนเทศ พร้อมคณะ ร่วมแถลงข่าวที่ดีเอสไอ ถึงการตรวจสอบรถยนต์โบราณ เมอร์เซเดส-เบนซ์ สีไข่ไก่ ทะเบียน ขม 99 กรุงเทพมหานคร ของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ) ว่าเป็นรถที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ โดย พ.ต.ท.กรวัชร์เผยว่า จากการสืบสวนของดีเอสไอในประเด็นเกี่ยวกับการจดประกอบรถยนต์เบนซ์ดังกล่าวมี 4 ขั้นตอนด้วยกัน คือ 1.การนำเข้าชิ้นส่วนรถยนต์ 2.การประกอบชิ้นส่วนขึ้นเป็นรถสมบูรณ์ 3.การชำระภาษีสรรพสามิต และ 4.การจดทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบก พบว่า หจก.อ๊อด 89 เอ็นเตอร์ไพรส์ (ประเทศไทย) จำกัด เลขที่ 162/535 อาคารบางแคคอนโดทาวน์ ชั้น 21 ถนนเพชรเกษม แขวงบางแคเหนือ เขตบางแค มีนายพิชัย วีระสิทธิกุล เป็นเจ้าของ สั่งเครื่องยนต์และตัวถังรถยนต์จากประเทศสหรัฐอเมริกาเข้ามายังประเทศไทย ผ่านบริษัท ILS, INC. ตัวแทนนำเข้าสินค้า ส่วนโครงตัวถังรถยนต์ มาโดยเรือเมื่อวันที่ 17 ก.ย.53 มีชื่อ หจก.ซี.ที.ออโตพาร์ท เป็นผู้นำสินค้าเข้า ส่วนเครื่องยนต์มาโดยเรือ เมื่อวันที่ 19 ก.ย.53 มีชื่อบริษัทคาร์โก้ คาร์ จำกัด เป็นผู้นำสินค้าเข้า

“จากนั้น หจก.อ๊อด 89ฯ ให้ตัวแทนไปรับสิ่งของจากผู้นำเข้าทั้งสองราย ส่วนอุปกรณ์อื่นๆ เช่น ฝากระโปรงหน้า-หลัง ไฟหน้า-หลัง ไฟเลี้ยว เบาะ ประตู กันชนหน้า-ท้าย พบหลักฐานว่าซื้อจาก หจก.สายชลมอเตอร์ ทั้งนี้ จากการตรวจสอบพบว่า หจก.สายชลมอเตอร์ ไม่มีในสารบบของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า หมายเลขประจำตัวผู้เสียภาษีไม่มีในสารบบของกรมสรรพากร บ้านเลขที่ไม่ปรากฏในสารบบทะเบียนราษฎร สถานที่ประกอบการไม่มีจริง คาดว่าถูกตั้งขึ้นมาหลอก ขั้นตอนการประกอบชิ้นส่วนขึ้นเป็นรถสมบูรณ์ พบหลักฐานว่า หจก.อ๊อด 89ฯ ได้ร่วมกับนายวิชาญ รัษฐปานะ เจ้าของบริษัทแอนซีทรานสฟอร์เมอร์ จำกัด เลขที่ 70/9 ถนนเพชรเกษม ต.อ้อมน้อย อ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร เป็นอู่รถผู้รับจ้างประกอบรถยนต์โบราณ เป็นผู้ประกอบรถยนต์ดังกล่าว” พ.ต.ท.กรวัชร์กล่าว

ขณะที่ พ.ต.อไพสิฐเปิดเผยว่า การประกอบรถนี้เป็นไปตามการสั่งซื้อของพระมหาศาสนมุนี หรือหลวงพี่แป๊ะ หรือพระธนกิจ สุภาโว (ศรีอุ่นเรือน) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดปากน้ำ เอกสารการสั่งซื้อมีลายเซ็นของสมเด็จช่วงเซ็นอยู่ด้วย เจ้าหน้าที่ต้องตรวจสอบด้วยว่าเป็นเอกสารและลายเซ็นสมเด็จช่วงเป็นของจริงหรือไม่ โดยหลวงพี่แป๊ะเป็นผู้นำเอกสารไปสั่งซื้อรถจากอู่ของนายวิชาญ ในราคา 4,000,000 บาท นายวิชาญได้ค่าประกอบรถยนต์ 1,500,000 บาท ส่วน หจก.อ๊อด 89ฯ ผู้นำเครื่องยนต์ ตัวถังและอะไหล่รถทั้งหมดรับเงินไป 2,500,000 บาท

“ทั้งนี้ หลวงพี่แป๊ะได้ให้พนักงานสอบสวนดีเอสไอสอบปากคำแล้ว รับว่าเป็นคนถวายรถเบนซ์ให้กับสมเด็จช่วงจริง แต่จะต้องมีการสอบสวนต่อไปว่ามีเจตนาอย่างไรในการถวาย ส่วนข้อกล่าวหา ต้องให้เวลากับพนักงานสอบสวนก่อน ที่จะดูในรายละเอียด ส่วนผู้ครอบครองจะมีความผิดหรือไม่นั้น ขอให้กระบวนการสอบสวนไปก่อน แถลงข่าววันนี้ยืนยันเกี่ยวกับเรื่องความถูกต้องของรถเบนซ์โบราณคันนี้ เห็นได้ว่ามีการกระทำความผิดในทุกขั้นตอนและมีความซับซ้อนเป็นขบวนการ มีบุคคลที่เกี่ยวข้องและอยู่ในข่ายที่จะต้องถูกดำเนินคดีอาญาหลายคน จำเป็นต้องใช้วิธีการสืบสวนสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานเป็นพิเศษ คาดใช้เวลา 2-3 เดือนในการตรวจสอบ ทั้งนี้ เรื่องข้อหาและความผิด เบื้องต้นเชื่อว่ารถคันนี้น่าจะผิดหลายข้อหา โดยเฉพาะผิดตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ร.บ.สรรพสามิต กฎหมายอาญา ในเรื่องของแจ้งความเท็จ ใช้เอกสารปลอมแน่นอน” พ.ต.อไพสิฐกล่าว

ต่อมานายกุลิศ สมบัติศิริ อธิบดีกรมศุลกากร กล่าวถึงการดำเนินคดีว่า ดีเอสไอได้ส่งข้อมูลการตรวจสอบรถยนต์ของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ มาให้กรมศุลกากรพิจารณาแล้ว และกรมศุลกากรจะตั้งคณะกรรมการเรียกเก็บอากรตามมาตรา 6 ของพระราชกำหนดพิกัดศุลกากรมาตรวจสอบข้อเท็จจริงและประเมินภาษีว่า รถยนต์คันดังกล่าว ควรจะที่เสียภาษีและค่าปรับเงินเพิ่มในอัตราเท่าใด โดยกรมศุลกากร จะเรียกเก็บภาษีจากผู้นำเข้าจาก 3 บริษัท เช่น หจก. อ๊อด 89 เอ็นเตอร์ไพร์ส เป็นต้น แต่จะไม่เรียกเก็บภาษีจากเจ้าของรถ พร้อมกันนี้จะดำเนินการเอาผิดกับผู้นำเข้าทางกฎหมายแพ่ง เพื่อให้บริษัทที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้ารถยนต์คันดังกล่าวมาเสียภาษีและค่าปรับเงินเพิ่มให้ถูกต้องตามกฎหมายเท่านั้น ส่วนการยึดรถและเอาผิดกับเจ้าของรถปัจจุบันเป็นหน้าที่ของดีเอสไอ

ขณะที่นายสมชาย พูลสวัสดิ์ อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวว่า กรมสรรพสามิตจะสอบสวนข้อเท็จจริงตามข้อ มูลดีเอสไอที่มีการแจ้งข้อมูลเท็จในการเสียภาษีสรรพสามิตรถยนต์จดประกอบ หากพบว่ามีเจ้าหน้าที่ของกรมสรรพสามิตเข้าไปเกี่ยวข้องร่วมมือกับการกระทำความผิด ก็จะดำเนินการต่อไป

วันเดียวกัน นายศุภภัทร์พจน์ นิติศธร ฝ่ายกฎหมายวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ เปิดเผยว่า ได้ชี้แจงต่อดีเอสไอตั้งแต่ต้นแล้วว่า ผู้บริจาคซื้อรถคันดังกล่าวจากนายวิชาญ รัษฐปานะ นายวิชาญจะให้ใครนำเข้า หรือจะให้ใครจดประกอบถูกต้องหรือไม่ ผู้บริจาคไม่ทราบ เมื่อผู้บริจาคนำรถมาถวายสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ท่านก็ไม่ทราบว่ารถจะนำเข้าหรือมีกระบวนการจดประกอบอย่างไร ดังนั้น การมีชื่อหรือไม่มีชื่อคงไม่ใช่ประเด็น เพราะประเด็นการนำเข้าและกระบวนการจดประกอบนั้น ไม่เกี่ยวกับผู้บริจาคและสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ อย่านำไปเหมารวมกันว่า เมื่อรถนำเข้าและจดประกอบไม่ถูกต้อง ผู้ครอบครองจะผิดไปด้วย ส่วนเงินที่จ่ายค่ารถ ได้ให้การต่อดีเอสไอไปว่ามี 2 ส่วน คือส่วนแรกจำนวน 1 ล้านบาท เป็นชื่อผู้บริจาคสมทบซื้อรถคันนี้ไว้ในพิพิธภัณฑ์ มีชื่อชัดเจน ส่งให้ดีเอสไอไปแล้ว ส่วนที่สองคือเงินผู้บริจาคผ่าน พระมหาศาสนมุนี หรือเจ้าคุณแป๊ะ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ 3 ล้านบาท เจ้าคุณแป๊ะนำเงินบริจาคส่วนนี้จ่ายในการซื้อรถทั้งหมด สำหรับขั้นตอนจากนี้ไป เมื่อพบว่าผู้นำเข้าและจดประกอบไม่ถูกต้อง ดีเอสไอต้องสอบต่อว่าผู้ครอบครองมีเจตนารู้เห็นหรือไม่ ฝ่ายกฎหมายของวัดปากน้ำฯ พร้อมจะให้ข้อมูลต่อไป


นายกฯ ย้ำ ไม่ตั้งสังฆราช หากยังขัดแย้งให้มาคุยกัน

นายกฯลั่นไม่ตั้งสังฆราช ถ้าขัดแย้งไม่เลิก สั่ง “วิษณุ-สุวพันธุ์” ช่วยหาทางออก ไม่ต้องดีเบต แต่เปลี่ยนให้มาพูดคุยกัน ชี้ปฏิรูปวงการพระสงฆ์ ทุกคนต้องปฏิรูปใจตัวเองก่อน ขณะที่คดีรถโบราณ ดีเอสไอฟันธง “เบนซ์ ขม 99” ของสมเด็จช่วง เบื้องต้นพบเป็นรถนำเข้าผิดกฎหมาย ตั้งแต่นำเข้า-จดประกอบ-เสียภาษี-จดทะเบียน ทั้งมีการทำเอกสารเท็จ ปลอมแปลงลายมือชื่อเข้าข่ายผิดตาม พ.ร.บ.ศุลกากร-สรรพสามิต-อาญา

หลังจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เสนอแนะทางออกเรื่องความขัดแย้งเรื่องตั้งสมเด็จพระสังฆราชองค์ใหม่ ให้นำทั้งฝ่ายหนุนและค้านมาดีเบตกัน แต่ต่อมาเมื่อเวลา 13.45 น. วันที่ 18 ก.พ. ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้สัมภาษณ์ภายหลังเดินทางกลับจากสหรัฐอเมริกา ว่า เป็นเรื่องที่ต้องดำเนินการต่อไป เพราะปัญหาไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้น มาถึงวันนี้จะให้รัฐบาลตัดสินแพ้-ชนะ ก็ให้เอากฎหมายมาว่ากัน ได้ให้นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี และนายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ไปหาทางออกอยู่ ต้องหาทางออกกันจนได้ ถ้าต่างฝ่ายต่างอ้างกฎหมาย แล้วรัฐบาลจะทำอย่างไร การใช้กฎหมายต่อสู้กันก็ไม่ผิด เพียงแต่ปฏิบัติกันคนละเรื่อง แล้วนำมาปนกันก็ตีกันหมด ส่วนที่บอกให้ดีเบตเป็นการให้มาพูดคุยกัน โดยนายวิษณุและนายสุวพันธุ์ทำอยู่

เมื่อถามว่า จะถือโอกาสปฏิรูปวงการพระสงฆ์เลยหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ต้องถามกลับว่าจะปฏิรูปด้วยอะไร ปฏิรูปแบบไหน ทางที่ดีขอให้ทุกคนปฏิรูปใจตัวเองก่อน และเรามีทั้งไทย-พุทธ และไทย-มุสลิม ตนเป็นรัฐบาล และเป็นไทย-พุทธ แต่ต้องดูแลศาสนาอื่นด้วย ทำไมไม่อยู่ร่วมกันอย่างสันติ

“ฉะนั้นถ้ายังมีปัญหาอยู่ก็ยังแต่งตั้งไม่ได้อยู่ดี เพราะผมคงไม่เอาความขัดแย้งขึ้นมาให้เป็นเรื่องเป็นราว นี่คือกฎหมาย ผมรู้หน้าที่ แต่คนอื่นรู้จักหน้าที่ตัวเองไหมว่าจะทำอย่างไรให้ลดความขัดแย้ง แล้วอีกฝ่ายก็อ้างการกระทำความผิดเยอะแยะไปหมด แล้วมันจบได้ยังไง” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว และพูดถึงโอกาสแก้กฎหมายไม่ให้สงฆ์ถือครองทรัพย์สินมีค่าว่า เคยบอกสื่อให้ไปอธิบายว่าต้องแก้อย่างนี้อย่างนั้น สื่อยังไม่ช่วยเลย แล้วจะให้ออกกฎหมายอย่างเดียวจะฟังกันหรือไม่ ให้ย้อนกลับไปฟังสิ่งที่ตอบข้อแรกก่อนแล้วกัน

ด้านนายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงปัญหาความขัดแย้งในการตั้งพระสังฆราชว่า รัฐบาลให้ความเคารพคณะสงฆ์ทุกฝ่าย โดยเฉพาะ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ได้ส่งข้อความแสดงความเป็นห่วงสถานการณ์ความขัดแย้งของคณะสงฆ์ที่เกิดขึ้นมาให้ตนทุกวัน เพราะรับผิดชอบสำนักพระพุทธศาสนา ล่าสุดนายกฯได้กำชับให้หาวิธีทำให้เกิดความเข้าใจในคณะสงฆ์ พร้อมทั้งย้ำว่าปัญหาที่เกิดขึ้นไม่จำเป็นต้องจัดให้มีการดีเบตออกสื่อ โดยให้เหตุผลเพราะไม่ต้องการให้ความเห็นที่แตกต่างขยายตัว เรื่องนี้หารือกับนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ว่า จะใช้วิธีการพูดคุยหารือทำความเข้าใจกับคณะสงฆ์หลายๆฝ่าย รวมถึง การปฏิรูปพระพุทธศาสนา เป็นการแก้ปัญหาเชิงสร้างสรรค์ ส่วนการครอบครองรถโบราณของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (สมเด็จช่วง) เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ นั้น ต้องไปดูรายละเอียดเรื่องข้อกฎหมาย ยอมรับปัญหาที่เกิดขึ้นพระผู้ใหญ่หลายรูปแสดงความเป็นห่วง ตนรู้สึกหนักใจ แต่ยืนยันว่าทุกปัญหามีทางออก แต่ต้องใช้ระยะเวลา


บวรศักดิ์’ เสียใจร่างรธน.ไม่ผ่าน เข้าใจเพราะ”เขา”อยากอยู่ยาว
เมื่อเวลา 16.40 น. วันที่ 19 กุมภาพันธ์ ที่โรงแรมอโนมา กรุงเทพมหานคร นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ อดีตประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.)ยกร่างรัฐธรรมนูญ กล่าวภายหลังการแถลงข่าวความเห็นของนธป.รุ่นที่ 4 ที่มีต่อร่างรัฐธรรมนูญ ถึงภาพรวมร่างรัฐธรรมนูญฉบับนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.)โดยเมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ข้อเสนอของครม. โดยเฉพาะข้อ 16 เหมือนกับคปป.หรือไม่ นายบวรศักดิ์ กล่าวว่า เรื่องนี้เคยเสนอในยุคที่ตนเป็นประธานกมธ.ยกร่างฯ แต่เป็นการเสนอทางวาจาไม่ได้ส่งเป็นเอกสารโจ๋งครึ่มอย่างนี้ ดังนั้น หากอยากทราบว่าเป็นอย่างไรต้องไปถามพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะที่เป็นคนลงนามในหนังสือที่ส่งมายังกรธ. และนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ด้วย ส่วนรัฐธรรมนูญฉบับนายมีชัย ต้องมีกลไกเปลี่ยนผ่านหรือไม่ ตนไม่ทราบ แต่ขอให้ไปดูข้อ 16 ของครม.

“สมัยที่ผมเป็นประธานกมธ.ยกร่างฯ แล้วร่างถูกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) คว่ำ ผมเสียใจแต่แค่วันเดียว คือวันอาทิตย์ที่ 6 กันยายน 2558 พอกลับมาคิดได้ก็รู้ว่าเขาอยากอยู่ยาว ยอมรับว่ามาอยู่ตรงนี้เปลืองตัว แต่ทำเพื่อชาติ ตอนนี้ก็มีความสุขดีได้เลี้ยงหลาน” นายบวรศักดิ์

ภายหลังงานแถลงข่าวเสร็จสิ้น นายบวรศักดิ์ ได้นำผู้อบรมนธป.รุ่นที่ 4 ถ่ายภาพหมู่เป็นที่ระลึก พร้อมกับกล่าวกับสื่อมวลชนแบบติดตลกว่า “ถ่ายให้ชัดๆและครบทุกคน เวลาถูกเรียกปรับทัศนคติจะได้ครบทุกคน”


กกต. ร่อนหนังสือถึง รัฐบาล แก้รัฐธรรมนูญชั่วคราวแล้ว

กกต. แล้ว แก้รธน.ชั่วคราว เกณฑ์เผยแพร่ร่าง รธน.ใหม่ พร้อมส่งร่าง ก.ม.ความผิดในการออกเสียงประชามติทั้ง 3 รูปแบบ คือ พระราชบัญญัติ-พระราชกำหนด และคำสั่ง คสช. ซึ่งขึ้นกับรบ.จะตัดสินใจ

ระหว่างการลงรับทางธุรการ ซึ่งที่เสนอไปมี 2 ประเด็นใหญ่ คือ 1. เรื่องการจัดส่งร่างรัฐธรรมนูญ ที่เดิมรัฐธรรมนูญกำหนดว่า ให้ส่งให้ครัวเรือนไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 แล้วถึงจะประกาศวันออกเสียงได้นั้น กกต.เห็นว่า อาจสิ้นเปลืองงบประมาณ จึงได้ขอแก้ไขโดยให้จัดส่งโดยวิธีการอื่น แต่ต้องทั่วถึงและเป็นประโยชน์ในการศึกษากับประชาชนมากขึ้น

และ 2. เรื่องของภาคความผิด ได้เสนอร่างกฎหมายว่าด้วยความเรียบร้อยในการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ โดยเสนอไปทั้ง 3 รูปแบบ คือ พระราชบัญญัติ พระราชกำหนด และคำสั่ง คสช. ซึ่งขึ้นกับรัฐบาลจะพิจารณาตัดสินใจว่า จะตรากฎหมายดังกล่าวในลักษณะใด อย่างไรก็ตาม กกต.ไม่ได้มีข้อเสนอไปว่า ควรจะออกมาอย่างไร ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของรัฐบาลจะพิจารณาเห็นสมควร

ระดมทุนต่อ ยอดบริจาคฟ้อง “ทพญ.หนีทุน” ทะลัก 2 แสน! เหตุต้องใช้ ทนายความ 2 คน

ความคืบหน้ากรณี ทพ.เผด็จ พูลวิทยกิจ 1 ใน 4 ผู้ค้ำประกัน ทพญ.ดลฤดี จำลองราษฎร์ อดีตอาจารย์คณะทันตแพทย์ มหาวิทยาลัยมหิดล (มม.) ที่ขอทุนสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ไปศึกษาต่อระดับปริญญาโท และเอก ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐอเมริกา ได้โพสต์เฟซบุ๊กระบายความในใจกรณีต้องชดใช้หนี้ 2 ล้านบาท จากการเซ็นค้ำประกันให้ ทพญ.ดลฤดี หลังจากที่ ทพญ.ดลฤดี เรียนจบแล้วไม่ยอมกลับมาทำงานใช้ทุน และไม่ยอมชำระเงินชดใช้ทุน ทำให้ ทพ.เผด็จ และผู้ค้ำรวม 4 คน ต้องใช้หนี้จากการเซ็นค้ำประกัน 8 ล้านบาท โดยหลังจากทพ.เผด็จ ร่วมกับ 3 ผู้ค้ำประกัน มอบหมายให้คนไทยในสหรัฐ ร่างคำฟ้องเพื่อมอบทนายความในสหรัฐ ฟ้อง ทพญ.ดลฤดี พร้อมกับเปิดบัญชีระดมเงินทุนในชื่อ “นายเผด็จ พูลวิทยกิจ และ นางภัทรวดี ลีลาทวีวุฒิ” ธนาคารกสิกรไทย สาขาอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เลขที่บัญชี 009-1-77277-9 นั้น

เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ ทพ.เผด็จ ให้สัมภาษณ์ “มติชน” ว่า หลังจากเปิดบัญชีและแจ้งหน้าเฟสบุ๊คไปเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ เวลา 19.00 น. นั้น เช้าวันนี้หลังจากที่นางภัทรวดี นำสมุดบัญชีไปอัพเดต ปรากฏว่ามียอดเงินเข้ามาเกือบ 2 แสนบาท ซึ่งก็ต้องขอขอบคุณคนไทยทุกคน ดีใจที่ทุกคนระดมความช่วยเหลือ

“ขอบคุณทุกคนที่ช่วยพวกผมต่อสู้เพื่อความถูกต้อง ผมอยากบอกว่าเงินบริจาค จะน้อยหรือมาก ก็ไม่เป็นไร สิ่งสำคัญกว่าคือความตั้งใจที่จะช่วย แต่ผมอยากบอกอย่างหนึ่งว่า ขอให้ช่วยตามกำลัง อย่าช่วยจนตัวเองเดือดร้อนซึ่งถ้าเป็นแบบนั้น ผมคงเสียใจมากกว่า ฉะนั้นถ้าใครไม่มีกำลังทรัพย์ ก็ขอให้ช่วยเป็นกำลังใจให้กับพวกผมก็พอแล้วครับ” ทพ.เผด็จ กล่าว

เมื่อถามต่อว่า ยอดเงินวันแรกเกินความคาดหมายหรือไม่ ทพ.เผด็จ กล่าวว่า เกินความคาดหมายมาก แต่กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ตั้งใจและรอให้ตนเปิดบัญชีอยู่แล้ว ฉะนั้นจึงมีการโอนเข้ามาทันทีที่ตนแจ้งเปิดบัญชี แต่หลังจากนี้ก็คงต้องรอดูว่าหมดจากกลุ่มนี้แล้ว จะเป็นอย่างไร ซึ่งคาดว่าอาจจะไม่สูงมากนัก ดังนั้นอาจจะต้องรอดูในส่วนของการระดมทุนจากต่างประเทศ

ทพ.เผด็จ กล่าวต่อว่า สำหรับการหารือกับคนไทยในต่างประเทศและทนายความลูกครึ่งไทย-อเมริกันทางสไกป์ในเช้าวันนี้นั้น เบื้องต้นได้พูดคุยกันถึงกระบวนการทางศาลซึ่งทางนั้นให้คำตอบว่าน่าจะใช้เวลาประมาณ 1 ปี – 1 ปีครึ่ง เมื่อถามถึงค่าใช้จ่าย ทางทนายความตอบว่าอาจจะคิดในราคาเหมารวม ซึ่งตนก็คิดว่าดีที่คิดในราคาเหมา เพราะหากต้องขึ้นศาลหลายครั้ง ค่าใช้จ่ายก็เหมารวมอยู่ในนั้นแล้ว แต่ทางนั้นได้สอบถามถึงความคืบหน้าคดีในเมืองไทย ซึ่งตนตอบว่าในส่วนของศาลล้มละลาย จะมีการพิจารณานัดแรกในวันที่ 14 มีนาคมนี้ ในส่วนของทันตแพทยสภา และสำนักงานการตรวจเงินเงินแผ่น(สตง.) ยังเงียบ ซึ่งทางนั้นบอกว่าถ้าศาลไทยมีคำพิพากษาออกมาแล้ว ก็จะช่วยทำให้คดีทางนี้มีน้ำหนักมากขึ้น โดยเฉพาะหาก สตง.ยกระดับให้เป็นคดีอาญา ก็จะช่วยเพิ่มน้ำหนัก เพราะในส่วนของเรา เป็นแค่การฟ้องแพ่ง

“จากการพูดคุยกับทนายความ พบว่าค่าใช้จ่ายไม่ได้ถูกนัก เดิมทีที่ผมคิดว่าจะอยู่ที่ 3-5 แสนบาท แต่จากการพูดคุยกับทนายความลูกครึ่งไทย-อเมริกันในวันนี้ ปรากฏว่าจะต้องใช้ทนายความอีกคนที่อยู่ในบอสตัน ส่วนทนายความลูกครึ่งไทย-อเมริกัน ซึ่งพูดคุยภาษาไทยได้คนนี้ ก็จะเป็นคนกลางช่วยประสานข้อมูลกับทนายความในบอสตันให้ ฉะนั้นที่ถามว่าจะดำเนินการฟ้องร้องได้เมื่อไรนั้น ทางทนายความลูกครึ่งบอกว่าจะต้องไปปรึกษาหารือกับทนายความอีกคนในบอสตันก่อน” ทพ.เผด็จ กล่าว