ข่าว
"สมรักษ์"ได้แชมป์มวยมาราธอน เก๋าจริงถ่ายละครเสร็จบินมาต่อย

การแข่งขันมวยไทยมาราธอน วีโก้แชมป์ 2014 และคาราวานซีพีเอฟ ที่สนามกีฬาจังหวัดพิษณุโลก สนามแรก เมื่อวันที่ 25 เม.ย.57 ไฮไลต์สำคัญอยู่ที่มวยไทยมาราธอน รุ่นซูเปอร์เวลเตอร์เวต คัด 7 นักชกนานาชาติ จับสลากประกบคู่ ต่อย 3 ยก ผู้ชนะเข้ารอบคัดให้เหลือแชมป์เพียงหนึ่งเดียว

"โม้อมตะ" สมรักษ์ คำสิงห์ ฮีโร่เหรียญทองโอลิมปิกเกมส์ และยอดมวยไทยวัย 41 ปี ที่ได้บายรอบแรก ขึ้นชกรอบ 2 พบกับ วิคเตอร์ นักเบ้ นักชกจากออสเตรเลีย ผู้เคยชนะน็อก เข้ม ศิษย์สองพี่น้อง มวยดังของไทยมาเมื่อต้นปี และยังแพ้คะแนน บัวขาว บัญชาเมฆ ในไฟต์ล่าสุด

ผลปรากฎว่า สมรักษ์ ใช้ความเก๋าแลกอาวุธแม่ไม้มวยไทยครบเครื่องก่อนเฉือนเอาชนะ นักเบ้ ไปอย่างหวุดหวิด ทะลุเข้ารอบชิงชนะเลิศ ก่อนเอาชนะคะแนน นาอิมจอน ทูโตโบเอฟ นักชกจากอุซเบกิสถาน ไปอย่างใสสะอาด คว้าแชมป์สนามแรก มวยมาราธอนวีโก้แชมป์ไปครอง พร้อมเงินรางวัล 300,000 บาท

หลังชก สมรักษ์ ที่เพิ่งเดินทางโดยเครื่องบินมาถึงเวทีมวยในช่วงเช้า หลังจากมีคิวถ่ายละคร กล่าวว่า แม้วัยจะย่าง 42 ปีแล้ว แต่ตนพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ยังสามารถเอาดีได้หลายทาง จังหวะที่โดนคู่ต่อสู้ออกอาวุธหนักๆนั้น เป็นเพราะตนต้องการเรียกเรตติ้งให้ผู้ชมได้ตื่นเต้นเท่านั้นเอง จึงอยากฝากแฟนๆ มวยไม่ตกตระหนกตกใจไป ตนยังพร้อมชกมวยได้อีกหลายปี

"ยันตระ"เปิดใจ-ดอดกลับไทย คดีจบ-วางแผนอยู่ที่ กาญจน์

อดีตพระผู้อื้อฉาว"ยันตระ" เปิดใจสาเหตุกลับไทย โผล่ปากพนัง ไว้ผมยาวขาวโพลน หนวดเครารุงรัง ยังคงนุ่งห่มผ้าสีกรักคล้ายจีวรพระ ถือสัญชาติอเมริกัน ใช้พาสปอร์ตสหรัฐ ผ่านทางชายแดนสะเดา ยังมีลูกศิษย์เคารพนับถือกราบไหว้ ระบุมาเยี่ยม "พ่อท่านเชื่อง" พระอุปัชฌาย์ ที่ชราภาพ อาพาธ ก่อนจะกลับสหรัฐ 13 พ.ค. ส่วนเรื่องคดีความต่างๆ หมดอายุความไปแล้ว ยังพลิ้วตามสไตล์ถูกใส่ร้าย ตีข่าวกันไปเอง เตรียมมาอยู่ถาวรที่สำนักสงฆ์สุญญตาราม เกริง กะเวีย กาญจนบุรี

เมื่อวันที่ 23 เม.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานจาก จ.นครศรีธรรมราช ว่านายวินัย ละอองสุวรรณ หรืออดีตพระยันตระ อมโร ผู้อื้อฉาว ต้องอธิกรณ์เสพเมถุนธรรม อาบัติหนักปาราชิก ขาดจากความเป็นพระภิกษุสงฆ์ อีกทั้งยังเคยถูกกล่าวหาหมิ่นสมเด็จพระสังฆราช และแต่งกายเลียนแบบสงฆ์ แล้วหลบหนีไปอยู่ที่สหรัฐอเมริกาเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ได้เดินทางกลับมายังภูมิลำเนาเดิม ที่บ้านบางบ่อ ต.ปากพนังฝั่งตะวันออก อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช โดยนายวินัยยังคงแต่งกายนุ่งห่มผ้าคล้ายจีวรพระ สีกรัก ไว้ผมยาวขาวโพลนทั้งศีรษะ มีหนวดเครารุงรังขาวเช่นกัน และรูปร่างอ้วนขึ้นกว่าเดิม

จากการสอบถามผู้ใกล้ชิดระบุว่า นายวินัยเดินทางมา จ.นครศรีธรรมราช ตั้งแต่ช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา โดยมากับผู้ติดตาม 2 คน เข้าประเทศไทยทางชายแดนประเทศมาเลเซีย การกลับมาของนายวินัยครั้งนี้ เพื่อมากราบเยี่ยมพระครูสุธรรมสมาจาร หรือพ่อท่านเชื่อง เจ้าอาวาสวัดรัตนาราม อ.ปากพนัง ซึ่งเป็นพระอุปัชฌาย์เมื่อครั้งอุปสมบทเป็นพระภิกษุสงฆ์ โดยพักอาศัยอยู่ที่บ้านหลังเดิมใน อ.ปากพนัง และยังมีผู้เคารพนับถือจำนวนหนึ่งมาพบปะเยี่ยมเยียน ไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบ

ล่าสุดเมื่อเวลา 11.30 น. วันที่ 23 เม.ย. นายชัยณรงค์ สวัสดีนฤนาท อดีตนายกเทศมนตรีเมืองปากพนัง นำรถตู้โฟล์กมารับนายวินัย พร้อมด้วยพี่สาวและ ผู้ติดตาม เดินทางมากินอาหารเที่ยงที่โรงแรมราวดี ต.ปากพูน อ.เมืองนครศรีธรรมราช โดยยันตระใส่เสื้อแขนยาว นุ่งกางเกงขายาว สีจีวรพระ ห่มคลุมด้วยผ้าคล้ายจีวรพระสีกรัก และหลังจากกินข้าวกลางวันเสร็จ มีบรรดาผู้ที่ยังคงเคารพนับถือทราบข่าวการเดินทางกลับมาของนายวินัย ต่างเดินทางมาหาที่โรงแรมและถ่ายรูปร่วมกันเป็นที่ระลึก ขณะที่ยันตระเองก็มีสีหน้าแจ่มใส ยิ้มแย้มอารมณ์ดี ทักทายผู้มาเยี่ยมเยียน

จาก นั้นนายวินัยให้สัมภาษณ์ว่า สาเหตุที่เดินทางกลับมาประเทศไทย เพราะทราบข่าวพระครูสุธรรมสมาจาร หรือพ่อท่านเชื่อง พระอุปัชฌาย์ อาพาธและแก่ชรามากแล้ว เกรงว่าหากมาเยี่ยมช้าอาจจะไม่ทันการณ์ รู้ข่าวเพียงวันเดียวก็เดินทางมาเลย โดยมีนายสำลี คลองกมล ลูกศิษย์คนใกล้ชิดที่ดูแล มาตลอด ส่งปัจจัยไปให้ 50,000 บาท สำหรับเป็นค่าเดินทางกลับมาประเทศไทย เมื่อมาถึงก็ดีใจมาก พักที่ อ.ปากพนัง และจะเดินทางกลับสหรัฐอเมริกา ในวันที่ 13 พ.ค.

ผู้สื่อ ข่าวถามว่าจะกลับมาอยู่เมืองไทยหรือไม่ นายวินัยกล่าวว่าคิดอยู่เสมอว่าจะกลับมาอยู่เมืองไทย เพราะอยู่ที่ไหนก็ไม่เหมือนกับอยู่เมืองไทยบ้านเรา อีกไม่นานเมื่อเหตุการณ์บ้านเมืองสงบดีก็จะกลับมา เพราะคิดถึงบ้านเกิดเมืองนอน ที่ไหนก็ไม่เหมือนเมืองไทย เพราะพระที่สนิทสนมก็อยู่ที่นี่เยอะ ตนจะกลับมาอยู่ที่เมืองไทย โดยจะอยู่ที่สำนักสุญญตาราม จ.กาญจนบุรี และ ที่อื่นก็คงจะได้ไปมาเยี่ยมเยียน โดยเฉพาะบ้านเกิดที่ อ.ปากพนัง

นาย วินัยกล่าวต่อว่าส่วนเรื่องคดีความต่างๆ นั้น หมดอายุความไปนานแล้ว คดี เขาก็สร้างขึ้น ตนไม่เคยหมิ่นสมเด็จพระสังฆราช เขาตีข่าวไปเอง ข่าวก็คือข่าว ส่วนเหตุการณ์ความไม่สงบในบ้านเมืองขณะนี้คิดว่าไม่นานคงจะสงบ ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นตั้ง อยู่และดับไป เชื่อว่าเมืองไทยไม่สิ้นคนดี การเมืองก็คือเรื่องการเมือง

ด้าน พ.ต.อ.กานต์ ธรรมเกษม ผกก.ตม. สงขลา กล่าวถึงการเดินทางเข้าประเทศไทยของนายวินัยว่า จากการตรวจสอบหนังสือ เดินทางเข้าออกประเทศของนายวินัย พบว่ามีหลักฐานเดินทางเข้าประเทศไทยจริง โดยผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองสะเดา จ.สงขลา เมื่อวันที่ 19 เม.ย.ที่ผ่านมา เวลา 10.00 น. ด้วยการใช้หนังสือเดินทางของสหรัฐอเมริกา ชื่อนายอมโรภิกขุ (Mr.Amaropiku) และถือสัญชาติอเมริกัน มีรูปพรรณสัณฐานผมยาว มีหนวดเครายาว แต่งกายคล้ายนักบวช

สำหรับ เรื่องราวของนายวินัย ละอองสุวรรณ หรืออดีตพระยันตระ อมโร นั้น เมื่อ 20 ปีที่ผ่านมา ถือเป็นพระสงฆ์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังมาก มีลูกศิษย์ทั้งพระสงฆ์และฆราวาสเคารพเลื่อมใสศรัทธามาก ทั้งในและต่างประเทศ ตั้งตนเป็นเจ้าสำนักสงฆ์อยู่ที่สำนักสงฆ์สุญญตาราม บ้านเกริงกะเวีย ต.ปรังเผล อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี และ ยังมีสำนักสงฆ์สาขาอีกหลายจังหวัด

ต่อ มาถูกกลุ่มสีกาที่เคยเคารพนับถือ เคยเป็นโยมอุปัฏฐาก ทำหนังสือร้องเรียนถวายสมเด็จพระสังฆราช และร้องเรียนถึงนายจำเริญ เสกธีระ อธิบดีกรมการศาสนาในขณะนั้น ถึงพฤติกรรมไม่เหมาะสมแก่ สมณเพศ โดยเฉพาะเรื่องความสัมพันธ์ ทางเพศ เสพเมถุนกับสีกา ทั้งชาวไทยและต่างประเทศ ซึ่งต้องอาบัติหนักถึงขั้นปาราชิก ขาดจากความเป็นพระภิกษุสงฆ์ อีกทั้ง ยังมีพฤติกรรมอวดอุตริมนุสธรรม แสดงปาฏิหาริย์ อวดอ้างในสิ่งที่ตนเองไม่ได้เป็น และยังคัดลอกขโมยงานเขียนบทกวีของ นักวิชาการชื่อดังอีกด้วย

จาก การร้องเรียนเกี่ยวกับพฤติกรรมอัน อื้อฉาวของพระสงฆ์ผู้โด่งดังในขณะนั้น หนังสือพิมพ์ข่าวสด เป็นหนังสือพิมพ์ฉบับแรกและฉบับเดียว ที่นำเสนอเปิดโปงข่าวนี้ เมื่อฉบับวันที่ 16 ม.ค. 2537 พาดหัวข่าวหน้า 1 ว่า "ผจญพระยันตระ สีการ้อง พระผู้ใหญ่โต้กลับ" จากนั้นหนังสือพิมพ์ข่าวสดก็เจาะลึกเกาะติดวันต่อวัน มีหลักฐานจากสีกาทั้งคนไทยและต่างชาติที่เปิดเผยพฤติกรรมของ ยันตระอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเจ้าทุกข์คนสำคัญ คือ นางจันทิมา มายะรังษี ซึ่งปัจจุบันเสียชีวิตไปแล้ว ที่ออกมาเปิดเผยความสัมพันธ์กับยันตระ จนกระทั่งมีลูกสาวด้วยกัน 1 คน

นอกจากนี้ ยังมีหลักฐานอื่นๆ อีกมากมาย โดยเฉพาะหลักฐานสลิปบัตรเครดิต ที่ยันตระไปรูดในซ่องที่เมืองโอ๊กแลนด์ ประเทศ นิวซีแลนด์ ถึง 8 ครั้ง หลังจากที่หนังสือพิมพ์ข่าวสดเปิดโปงพฤติกรรมอันอื้อฉาวของ ยันตระ ตั้งแต่ฉบับแรกวันที่ 16 ม.ค. 2537 ติดต่อกันทุกวันเป็นระยะเวลา 1 ปีเศษ จนกระทั่งวันที่ 1 เม.ย. 2538 มหาเถรสมาคม มีบัญชาให้สึกยันตระ เพราะมีหลักฐานชัดเจนว่าเสพเมถุน ต้องอาบัติปาราชิก ขาดจากความเป็นพระภิกษุ ก่อนที่ยันตระจะตะแบงหันไปห่มจีวรสีเขียว และนอกจากกระทำผิดพระธรรมวินัยแล้ว ยันตระยังถูกแจ้งความเอาผิดในคดีดูหมิ่นสมเด็จพระสังฆราชและแต่งกายเลียนแบบสงฆ์ ในที่สุดก็เดินทางหลบหนีไปอยู่สหรัฐอเมริกา

เผยแผนโยก'บิ๊กแจ๊ด' ดึง'สุเทพ'มาคุมม็อบ

'พล.ต.อ.อดุลย์'เผยโยก 'พล.ต.ท.คำรณวิทย์'ไป ผบช.ภ.5 ชี้ เพื่อความเหมาะสม เผยแผนดึง'สุเทพ'คนสนิท'เฉลิม'คุมม็อบ

วันที่ 24 เม.ย.57 พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กล่าวถึงข่าวการโยกย้าย พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) เป็นผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 (ผบช.5) และสลับให้ พล.ต.ท.สุเทพ เดชรักษา ผบช.ภ.5 เป็นผบช.น. แทนว่า เสนอให้มีการแต่งตั้งโยกย้ายสับเปลี่ยนจริง โดยการพิจารณาเป็นไปตามความเหมาะสม ที่พล.ต.ท.เอกรัตน์ มีปรีชา ผู้ช่วยผบ.ตร.ขอลาออก เนื่องจากปัญหาสุขภาพ ทำให้ตำแหน่งผู้ช่วยผบ.ตร.ว่างลง จึงมีการเสนอแต่งตั้ง พล.ต.ท.นายแพทย์ จงเจตน์ อาวเจนพงษ์ แพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ ซึ่งมีอาวุโสสูงสุดขึ้นเป็นผู้ช่วยผบ.ตร. แทน และมีการตั้งนายแพทย์ใหญ่แทน

เมื่อถามว่าการปรับย้าย ผบช.น.เป็นไปเพราะลดแรงกดดันหรือไม่ พล.ต.อ.อดุลย์ กล่าวเพียงว่า เป็นการปรับย้ายในจังหวะที่มีตำแหน่งผู้ช่วยผบ.ตร.ว่าง จึงมีการขยับ และเป็นไปเพราะความเหมาะสม

บิ๊กแจ๊ดลั่นสบายใจพร้อมน้อมรับคำสั่งโยกไปภาค5

ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.) พล.ต.ท.คำรณวิทย์ กล่าวถึงกระแสข่าวที่ถูกโยกย้ายให้ไปดำรงตำแหน่ง ผบช.ภ.5 ว่า รับทราบเรื่องนี้จากสื่อมวลชน เบื้องต้นยังไม่มีการพูดคุยกับทาง พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร.แต่อย่างใด แต่คิดว่าทาง ผบ.ตร.เป็นคนมีเหตุผลคงเล็งเห็นความเหมาะสมที่มอบหมายงานในครั้งนี้ ทั้งนี้ หากมีการโยกย้ายจริง ส่วนตัวไม่รู้สึกอะไร ที่ผ่านมาปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มที่อยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม ต้องขอขอบคุณผู้บังคับบัญชาที่ให้โอกาสมาดำรงตำแหน่ง ผบช.น.ถือว่าไกลเกินกว่าที่คาดหวังไว้อยู่แล้ว

"สำหรับผมมองว่าการโยกย้ายของข้าราชการตำรวจถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา และต้องขอขอบคุณผู้บังคับบัญชาด้วยซ้ำที่ให้ไปพักผ่อน สำหรับผมอยู่ที่ไหนก็ทำงานได้ ไม่มีปัญหาอะไร อีกอย่างผมเหลืออายุราชการเพียง 160 วันเท่านั้น ที่ผ่านมาก็ทำงานเต็มที่ ยอมรับว่ามาอยู่นครบาล 2 ปีเต็ม ชีวิตเปลี่ยนไปมาก เหตุการณ์ต่างๆ เข้ามามาก ซึ่งต้องขอขอบคุณผู้บังคับบัญชา นี่พูดด้วยความจริงใจ ไม่มีปัญหา ไม่ได้หนักใจ" ผบช.น. กล่าว

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าในมุมมองถือเป็นการทำโทษหรือไม่ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ กล่าวว่า "ไม่มีหรอก ชีวิตผมมาได้ถึงขนาดนี้ก็เกินความคาดหวังแล้ว ที่จริงไม่เคยคิดว่าจะได้เป็น ผบช.น แม้กระทั่งเป็น ผบช.ก็ไม่เคยคิดด้วยซ้ำ ยืนยันว่าอยู่ที่ไหนก็ทำงานได้เช่นกันแน่นอน

เผยแผนดึง'สุเทพ'สนิทเฉลิมคุมม็อบ

แหล่งข่าวระดับสูงในกองบัญชาการตำรวจนครบาล แจ้งว่า ข่าวการแต่งตั้งโยกย้ายนายพลระดับผู้บัญชาการที่ออกมานั้นมีความคลาดเคลื่อนในส่วนของตำแหน่งผู้บัญชกาารตำรวจนครบาล ( ผบช.น.) และผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 ( ผบช.ภ.5 ) รวมถึงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 ( ผบช.ภ.1) ที่มีการโยกย้ายสลับสับเปลี่ยนภายหลัง พล.ต.ท.เอกรัตน์ มีปรีชา ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผู้ช่วย ผบ.ตร.) ยื่นหนังสือลาออกจากราชการก่อนเกษียณอายุในวันที่ 30 ก.ย.นี้โดยยื่นหนังสือลาออกเมื่อวันที่ 18 เม.ย.ที่ผ่านมาทำให้ตำแหน่ง ผู้ช่วยผบ.ตร .ว่างลงโดย พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เสนอแต่งตั้งพล.ต.ท.จงเจตน์ อาวเจนพงษ์ นายแพทย์ใหญ่ ขึ้นเป็นผู้ช่วย ผบ.ตร. แทน

ส่วนตำแหน่ง ผบช.น. ที่มี พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.)คุมบังเหียนแม่ทัพนครบาลนั้นข้อเท็จจริงแล้วมีการสลับสับเปลี่ยนกับ พล.ต.ท.สุเทพ เดชรักษา ผบช.ภ.5 ในแนวราบระดับเดียวกันโดยให้ พล.ต.ท. สุเทพ นายตำรวจคนสนิทของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง อดีตรองนายกฯ เข้ากรุงนั่งเก้า " ผบช.น. "

และโยก พล.ต.ท. คำรณวิทย์ ไปนั่งตำแหน่ง ผบช.ภ.5 แทนโดยมีการพูดคุยกันแล้วอย่างลงตัวซึ่งพล.ต.ท.คำรณวิทย์ ยอมรับคำสั่งจากเบื้องบนด้วยดีเนื่องจากระยะหลังช่วงก่อนเกษียณอายุราชการได้วางมืองานรับผิดชอบในนครบาลบางส่วนให้ รอง ผบช.น. แต่ละนายดำเนินการแทนและเข้าร่วมกิจกรรมสังคมในแวดวงพระเครื่องมากขึ้น อย่างไรก็ตามคาดว่าจะมีการประกาศคำสั่งแต่งตั้งอย่างเป็นทางการในวันที่ 25 เม.ย. ส่วน พล.ต.ท. นเรศ นันทโชติ ผบช.ภ.1 นั้นยังคงนั่งตำแหน่งเดิมเนื่องจากมีการร้องขอจากที่การประชุมคณะกกรมการบริหารพรรคเพื่อไทยเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา