เมื่อเวลา 17.00 น. วันที่ 3 พ.ค.67 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายไตรภพ วงศ์ไตรรัตน์ ผวจ.ระยอง พร้อมด้วยนายกัฬชัย เทพวรชัย รอง ผวจ.ระยอง นายเรืองฤทธิ์ ประกอบธรรม ปลัดจังหวัดระยอง พล.ต.ต.พงศ์พันธ์ วงศ์มณีเทศ ผบก.ภ.จว.ระยอง นายวิเชียร ทองด้วง อุตสาหกรรมจังหวัดระยอง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ลงพื้นที่ไปตรวจสอบโรงงานเก็บกากสารเคมีบริษัท วินโพรเสส ตั้งอยู่ในชุมชนซอยวัดโขดหิน ต.มาบตาพุด อ.เมืองระยอง จ.ระยอง ห่างวัดเพียง 1 กม.
โดยจากการตรวจสอบพบโรงงานแห่งนี้เป็นอีกแห่งดั้งเดิมของ บ.วินโพรเสส เจ้าของเดียวกันกับโรงงานวินโพรเสส ม.4 ต.บางบุตร อ.บ้านค่าย ที่ถูกไฟไหม้เสียหายวอดทั้งโรงงาน เมื่อวันที่ 22 เม.ย.ที่ผ่านมา
ซึ่งจากการตรวจสอบ พบพื้นที่โรงงานมีประมาณ 5 ไร่ ตัวโรงงานปิดกิจการไปแล้ว ภายในมี 2 โกดัง โดยโกดังแรกพบมีการเก็บเศษวัสดุพลาสติก และกระดาษอยู่ในถุงบิ๊กแบ็กสีขาวจำนวนมาก และพบถังขนาด 200 ลิตรถูกเรียงซ้อนกันเป็นจำนวนมากด้วย
ส่วนอีกโกดังพบมีการเก็บสารเคมีไว้ในถัง 200 ลิตร นับร้อยถัง และถูกเก็บในถังสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่อยู่ในลูกกรงเหล็กคล้ายกับของโรงงานที่ไฟไหม้ โดยมีป้ายเขียนกำกับชื่อสารเคมีไว้ด้วย มีทั้งสารเมทานอล น้ำมันเตา และกากตะกอนน้ำมัน นอกจากนี้ยังมีชุดแท่นเครื่องกรองบรรจุน้ำมันภายในโกดังอีก 1 ชุดด้วย
นายไตรภพ กล่าวว่า เบื้องต้นได้มีการสั่งการให้อุตสาหกรรมจังหวัด ตรวจสอบในพื้นที่ทั้งหมดว่ามีโรงงานประเภทเดียวกันกับวินโพรเสสที่เกิดเพลิงไหม้หรือไม่ กระทั่งพบว่าโรงงานแห่งนี้เป็นของ บ.วินโพรเสสโรงงานดั้งเดิม ตั้งอยู่ใจกลางชุมชน จึงได้บูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาตรวจสอบดังกล่าว พบว่าโกดังแรกมีการเก็บเศษกระดาษจำนวนมาก เสี่ยงต่อการเกิดอัคคีภัย ส่วนอีกโกดังพบสารเคมีบรรจุในถัง 200 ลิตรจำนวนมหาศาล เพื่อความปลอดภัย เบื้องต้นจะให้ทางอุตสาหกรรมจังหวัด ดำเนินการไปแจ้งความการครอบครองวัตถุอันตรายกับเจ้าของก่อน และให้ผู้เชี่ยวชาญเข้ามาตรวจสอบสารเคมีที่อยู่ในถัง 200 ลิตร นั้นเป็นไปตามที่ป้ายชื่อสารกำกับหรือไม่ ทั้งนี้เพื่อเป็นการป้องกันเหตุเพลิงไหม้ซ้ำอีกโรงของวินโพรเสส ซึ่งโรงงานแห่งนี้ตั้งอยู่ใจกลางชุมชนด้วย และจะมีการขนย้ายออกทันที หลังมีการตรวจสอบสารเคมีในโรงงานแห่งนี้ที่แน่ชัดก่อน ทั้งนี้ยังมีเบาะแสแจ้งว่า อาจจะมีการฝังสารอะไรบางอย่างไว้ใต้พื้นดินหรือไม่ จึงต้องตรวจสอบอย่างละเอียดก่อน นอกจากนี้ก็จะจัดชุดเจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจ มาเวียนตรวจสอบ ป้องกันเหตุลอบวางเพลิงอีกด้วย
ด้าน พล.ต.ต.พงศ์พันธ์ วงษ์มณีเทศ ผบก.ภ.จว.ระยอง เปิดเผยความคืบหน้าการสอบสวนหาสาเหตุเพลิงไหม้ วินโพรเสส ม.4 ต.บางบุตร อ.บ้านค่ายว่า ตอนนี้ได้สอบพยานไป 20 ปาก และกำลังอยู่ระหว่างออกหมายเรียกเจ้าของโรงงานมารับทราบข้อกล่าวหา เบื้องต้นแจ้งข้อหา ฐานความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ทรัพย์สินเสียหาย และเป็นอันตรายแก่ชีวิตบุคคลอื่น
วันที่ 3 พฤษภาคม 2567 สถานีโทรทัศน์ NDTV ของอินเดีย รายงานข่าว Being Angry Even For A Few Minutes Can Increase Risk Of Heart Attack And Stroke, Study Finds ระบุว่า ผลการศึกษาล่าสุดที่ตีพิมพ์ในวารสาร American Heart Association พบว่า การโกรธแม้เพียงไม่กี่นาทีก็สามารถเปลี่ยนการทำงานของหลอดเลือดได้ ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงให้อาการหัวใจวายและโรคหลอดเลือดสมองมีแนวโน้มกำเริบมากขึ้น
ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่า มีความสัมพันธ์ระหว่างความโกรธเฉียบพลันกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของอาการหัวใจวาย แม้แต่ความโกรธสั้นๆ อาจทำให้สุขภาพหัวใจและหลอดเลือดแย่ลง และอาจกระตุ้นให้เกิดโรคหัวใจ หัวใจวาย และโรคหลอดเลือดสมองได้ การศึกษานี้ดำเนินการโดยนักวิจัยจาก Columbia University Irving Medical Center, Yale School of Medicine, St. John's University ในนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา และสถาบันอื่นๆ พวกเขาเชิญผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพดีจำนวน 280 คน และสุ่มพวกเขาออกเป็น 4 กลุ่มเพื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่ทำให้พวกเขาโกรธ เศร้า หรือวิตกกังวล กลุ่มควบคุมยังนับออกเสียง 1 ถึง 100 ซ้ำๆ เป็นเวลา 8 นาที และรักษาสภาวะทางอารมณ์ที่เป็นกลาง
จากนั้น นักวิจัยได้ทดสอบตัวอย่างเลือดของสมาชิกกลุ่ม และวัดการไหลเวียนของเลือดและความดันทั้งก่อนและหลังการศึกษา พวกเขาพบว่าความสามารถของหลอดเลือดในการขยายหลอดเลือดสำหรับผู้เข้าร่วมในกลุ่มโกรธลดลงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม นอกจากนี้ สำหรับผู้ที่อยู่ในกลุ่มอาการเศร้าและวิตกกังวล ก็ไม่ส่งผลต่อการขยายหลอดเลือด
ไดชิ ชิมโบ (Daichi Shimbo) จากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย กล่าวว่า สิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่าอารมณ์ที่รุนแรงอาจส่งผลต่อเหตุการณ์หัวใจในผู้ที่มีสุขภาพไม่ดีอยู่แล้ว อารมณ์เชิงลบที่เกิดขึ้นซ้ำๆ อาจส่งผลต่อสรีรวิทยาของหัวใจและหลอดเลือดเมื่อเวลาผ่านไป ทำให้เกิดความเสียหายที่ไม่อาจรักษาให้หายได้ ขณะที่ แอนดรูว์ สเต็ปโต (Andrew Steptoe) จากมหาวิทยาลัยยูนิเวอร์ซิตี้ คอลเลจ ลอนดอน ประเทศอังกฤษ กล่าวว่า ผลกระทบของความโกรธต่อการทำงานของหลอดเลือดสอดคล้องกับการสังเกตพบว่าหัวใจวายบางครั้งดูเหมือนจะถูกกระตุ้นด้วยอารมณ์ที่รุนแรง
“อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่เรื่องง่ายที่คนเราจะหยุดโกรธได้ หากผู้คนมีปัญหาร้ายแรง ก็มีการแทรกแซงการจัดการความโกรธ แต่สำหรับบางอารมณ์ การเปลี่ยนแปลงอารมณ์เหล่านั้นได้เป็นอย่างดีก็ค่อนข้างยาก” สเต็ปโต กล่าว
เกล็นน์ เลวิน (Glenn Levine) จากวิทยาลัยแพทยศาสตร์เบย์เลอร์ (Baylor College of Medicine) รัฐเท็กซัสของสหรัฐฯ กล่าวว่า การศึกษาครั้งนี้มีส่วนช่วยให้เข้าใจความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างสภาวะทางจิตและสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด โดยเน้นถึงความสำคัญของการจัดการความเครียดและอารมณ์เพื่อสุขภาพของหัวใจ
3 พ.ค.67 สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ด่านโหย่วอี้กวนหรือด่านมิตรภาพบนพรมแดนจีน-เวียดนาม ณ เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วงทางตอนใต้ของจีน ได้รับรองการนำเข้าทุเรียนสดในไตรมาสแรก (มกราคม-มีนาคม) ของปีนี้รวม 48,000 ตัน คิดเป็นมูลค่า 1.85 พันล้านหยวน (ราว 9.25 พันล้านบาท)
ปริมาณการนำเข้าทุเรียนสดข้างต้นแบ่งเป็นนำเข้าจากเวียดนาม 35,000 ตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 48.1 เมื่อเทียบปีต่อปี คิดเป็นมูลค่า 1.28 พันล้านหยวน (ราว 6.4 พันล้านบาท) และนำเข้าจากไทย 13,000 ตัน คิดเป็นมูลค่า 570 ล้านหยวน (ราว 2.85 พันล้านบาท) ซึ่งลดลงร้อยละ 59.5 และร้อยละ 63.5 เมื่อเทียบปีต่อปี
อนึ่ง ด่านโหย่วอี้กวนของกว่างซีจัดเป็นด่านบกขนาดใหญ่ที่สุดในการนำเข้าทุเรียนและจุดสังเกตกระแสการบริโภคทุเรียนของตลาดจีน โดยศุลกากรนครหนานหนิงระบุว่ามูลค่าการนำเข้าทุเรียนสดผ่านด่านแห่งนี้ในปี 2023 รวมอยู่ที่ 2.25 หมื่นล้านหยวน (ราว 1.12 แสนล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 353 เมื่อเทียบปีต่อปี
ด้านสำนักงานศุลกากรทั่วไปของจีนระบุว่าจีนนำเข้าทุเรียนสดในปี 2023 ราว 1.42 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่า 6.71 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 2.47 แสนล้านบาท) โดยปริมาณทุเรียนที่นำเข้าผ่านด่านโหย่วอี้กวนคิดเป็นเกือบครึ่งหนึ่งของปริมาณทุเรียนนำเข้าทั้งหมดของจีน
บรรดาคนวงในอุตสาหกรรมมองว่าปริมาณทุเรียนสดนำเข้าจากไทยผ่านด่านโหย่วอี้กวนที่ลดลงในไตรมาสแรกของปีนี้ส่วนหนึ่งเป็นผลจากทุเรียนไทยเข้าสู่ตลาดจีนล่าช้ากว่าปกติ กอปรกับสภาพภูมิอากาศในท้องถิ่นไทยส่งผลกระทบต่อผลผลิตทุเรียน
ทั้งนี้ ข้อมูลการบริโภคทุเรียนของตลาดจีนชี้ว่าสถานะ "ผู้นำ" ของทุเรียนไทยในตลาดจีนกำลังสั่นคลอน เนื่องด้วยผลกระทบจากการส่งออกทุเรียนสู่จีนของแหล่งผลิตทุเรียนที่พัฒนามาทีหลังอย่างเวียดนามและฟิลิปปินส์ ทำให้ทุเรียนไทยในตลาดจีนต้องเผชิญกับการแข่งขันอันดุเดือดยิ่งขึ้น
ช่ายเจิ้นอวี่ ผู้จัดการของบริษัท กว่างซี โอวเหิง อินเตอร์เนชันแนล โลจิสติกส์ จำกัด เผยว่าช่วงก่อนปี 2023 บริษัทฯ นำเข้าทุเรียนจากไทยเท่านั้น แต่พอปี 2023 ทุเรียนที่นำเข้ามากกว่า 2,000 ตู้คอนเทนเนอร์ แบ่งเป็นทุเรียนไทยและทุเรียนเวียดนามอย่างละครึ่ง โดยบริษัทฯ เลือกแหล่งผลิตตามความต้องการของผู้บริโภคทั่วจีน
ช่ายกล่าวว่าการปลูกทุเรียนในไทยมักปลูกโดยครัวเรือนทั่วไปหรือกลุ่มหมู่บ้าน แต่การปลูกทุเรียนของเวียดนามมุ่งเน้นการเพาะปลูกขนานใหญ่ รวมถึงใช้ข้อได้เปรียบจากระยะทางขนส่งสั้น ความเป็นอุตสาหกรรมระดับสูง และต้นทุนต่ำกว่า ทำให้ทุเรียนเวียดนามมีโอกาสรุกเข้าท้าชิงส่วนแบ่งตลาดจีน
คนวงในอุตสาหกรรมเผยว่าช่วงไม่กี่ปีมานี้ หลายประเทศอาเซียนได้รับอนุญาตส่งออกทุเรียนสดสู่จีน ทำให้โครงสร้างตลาดทุเรียนของจีนเปลี่ยนแปลงไป โดยก่อนหน้านี้ทุเรียนไทยครองส่วนแบ่งตลาดจีนมากที่สุดเสมอจนกระทั่งเวียดนามสามารถส่งออกทุเรียนสดสู่จีนในเดือนกันยายน 2022 ทำให้ทุเรียนไทยครองส่วนแบ่งตลาดจีนลดลง
สำนักงานศุลกากรทั่วไปของจีนระบุว่าปี 2022 จีนนำเข้าทุเรียน 825,000 ตัน ซึ่งเป็นทุเรียนไทยมากกว่า 780,000 ตัน หรือคิดเป็นเกือบร้อยละ 95 ต่อมาปี 2023 จีนนำเข้าทุเรียน 1.42 ล้านตัน ซึ่งเป็นทุเรียนไทย 929,000 ตัน และทุเรียนเวียดนาม 493,000 ตัน ทำให้ทุเรียนเวียดนามครองส่วนแบ่งตลาดจีนเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 30 ภายในหนึ่งปีและยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
ขณะเดียวกันแม้ปริมาณทุเรียนสดส่งออกจากฟิลิปปินส์สู่จีนไม่ได้สูงมากแต่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยศุลกากรนครหนานหนิงระบุว่าปริมาณการขนส่งทุเรียนด่วนผ่านท่าอากาศยานนานาชาติหนานหนิง อู๋ซวี ในไตรมาสแรกของปีนี้รวมอยู่ที่ 1,201 ตัน ซึ่งมาจากไทย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม โดยการนำเข้าทุเรียนฟิลิปปินส์เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบปีต่อปี
สวี่เฉียง รองผู้จัดการบริษัทที่ให้บริการขนส่งทุเรียนทางอากาศ เผยว่ามีการนำเข้าทุเรียนจากฟิลิปปินส์ทางอากาศทุกวัน คิดเฉลี่ยราว 4 ตันต่อเที่ยวบิน โดยต้นทุนการขนส่งไม่สูงเพราะเป็นเที่ยวบินขากลับ และการขนส่งทางอากาศช่วยการันตีรสชาติสดใหม่ด้วย
นอกจากเวียดนามและฟิลิปปินส์แล้ว ทุเรียนมาเลเซียกำลังบุกตลาดจีนเช่นกัน โดยมาเลเซียส่งออกผลิตภัณฑ์ทุเรียนแช่แข็งสู่จีนตั้งแต่ปี 2011 และส่งออกทุเรียนแช่แข็งทั้งลูกสู่จีนในปี 2019
ข้อมูลจากหอการค้าแห่งประเทศจีนเพื่อการนำเข้าและส่งออกอาหาร ผลผลิตพื้นเมือง ผลผลิตพลอยได้จากสัตว์ ระบุว่าปริมาณการส่งออกทุเรียนมาเลเซียแช่แข็งสู่จีนในปี 2023 อยู่ที่ 25,000 ตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 47 เมื่อเทียบปีต่อปี คิดเป็นมูลค่า 270 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 9.96 พันล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 34 เมื่อเทียบปีต่อปี
ฟาทิล อิสมาอิล กงสุลใหญ่มาเลเซียประจำนครหนานหนิง กล่าวว่าจีนกลายเป็นตลาดแห่งสำคัญของทุเรียนมาเลเซียหลังจากพัฒนามานานหลายปี โดยปัจจุบันมาเลเซียและจีนกำลังทำงานร่วมกันเพื่อการส่งออกทุเรียนสดจากมาเลเซียสู่จีน
คนวงในอุตสาหกรรมทิ้งท้ายว่าตลาดผู้บริโภคทุเรียนของจีนมีขนาดใหญ่และความต้องการทุเรียนไทยจะยังคงเพิ่มขึ้น แต่ทุเรียนไทยกำลังเผชิญการแข่งขันกับอีกหลายประเทศ ทำให้ไทยต้องเร่งรักษาข้อได้เปรียบทางการแข่งขัน โดยนอกจากควบคุมคุณภาพอย่างเข้มงวด ต้องเพิ่มประสิทธิภาพของระบบขนส่งและโลจิสติกส์ ทุกภาคส่วนต้องทำงานร่วมกันเพื่อลดผลกระทบต่อสถานะ "ผู้นำ" ในตลาดจีน
3 พ.ค. 2567 พญ.นภารัตน์ อมรพุฒิสถาพร ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี เปิดเผยข้อมูลจากวารสารการแพทย์ BMJ และ the Examination ที่เปิดโปงกลโกงบริษัทบุหรี่ที่เข้าแทรกแซงวงการแพทยศาสตร์ศึกษาโดยให้ทุนสนับสนุนหลักสูตรการเรียนสำหรับแพทย์เพื่อเก็บแต้มการศึกษาต่อเนื่องของแพทย์ หรือ CME (Continuing Medical Education) เพื่อใช้เป็นเครดิตในการต่อใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ ใน Medscape ซึ่งเป็นฐานข้อมูลทางการแพทย์ที่ใหญ่ของโลก เป็นจำนวนเงินสูงถึง 3 ล้านดอลลาร์ หรือกว่า 110 ล้านบาท หลักสูตรดังกล่าวได้ถูกเผยแพร่ไปแล้วในช่วงเดือน ก.พ.- มี.ค. 2567 รวม 5 หลักสูตร
ซึ่งบริษัทบุหรี่มีแผนจะสนับสนุนให้ Medscape จัดทำหลักสูตรการเรียนออนไลน์รวมทั้งหมด 13 หลักสูตร และสื่อช่องทางอื่น ๆ เช่น พอดแคสต์ เน้นกลุ่มเป้าหมายเป็นแพทย์และบุคลากรการแพทย์ ซึ่งปัจจุบันเป็นสมาชิก Medscape มากถึง 2.8 ล้านคนทั่วโลก โดยตั้งเป้าว่าจะมีแพทย์อย่างน้อย 65,000 คน รวมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคปอด 8,000 คนเข้ามาเรียนหลักสูตรนี้ ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับการเลิกบุหรี่ ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับนิโคติน และการลดอันตรายจากยาสูบ แต่แอบแฝงไปด้วยเนื้อหาที่บิดเบือน พยายามโปรโมทบุหรี่ไฟฟ้า
โดยพยายามสร้างภาพว่าบุหรี่ไฟฟ้าเป็นผลิตภัณฑ์ลดอันตราย ซึ่งสอดคล้องกับกลยุทธ์การตลาดของบริษัทบุหรี่ เช่น คำแนะนำที่ปรากฏในหลักสูตรการเรียนหนึ่งแนะนำให้คนสูบบุหรี่ที่ต้องการลดความเสี่ยงจากโรคมะเร็งปอด เปลี่ยนไปสูบบุหรี่ไฟฟ้า แทนที่จะแนะนำวิธีที่ถูกต้องตามหลักการแพทย์คือ “ให้เลิกบุหรี่ทุกประเภท” ซึ่งหลังจากที่การให้ทุนแอบแฝงนี้ถูกเปิดโปงโดย BMJ และ the Examination ทาง Medscape ก็ได้ยกเลิกหลักสูตรการเรียนทั้งหมด และประกาศว่าจะไม่รับการสนับสนุนใด ๆ จากบริษัทบุหรี่อีก
“การที่วงการแพทย์ศาสตร์ศึกษายอมรับทุนสนับสนุนจากบริษัทบุหรี่ เป็นสิ่งไม่เคยเกิดมาก่อน และเป็นเรื่องที่อันตรายมาก ๆ เพราะชัดเจนว่าขณะนี้บริษัทบุหรี่พยายามทำทุกทางเพื่อโปรโมทบุหรี่ไฟฟ้า โดยหวังว่าจะใช้ความน่าเชื่อถือของแพทย์ สร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับบุหรี่ไฟฟ้า เป็นสิ่งที่แพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ในประเทศไทยต้องตระหนักรู้ในกลโกงที่แยบยลลักษณะนี้ และสร้างให้เป็นบรรทัดฐานทางสังคมว่าวงการแพทย์ต้องไม่รับการสนับสนุนใด ๆ จากบริษัทบุหรี่ อีกทั้ง พ.ร.บ.ควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ พ.ศ. 2560 มาตรา 35 ยังห้ามบริษัทบุหรี่และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องให้ทุนสนับสนุนบุคคลหรือองค์กรด้วย” พญ.นภารัตน์ กล่าว
ด้าน ศ.นพ.วินัย วนานุกูล หัวหน้าภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี และประธานราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า การแอบแฝงสนับสนุนหลักสูตรการเรียนออนไลน์สำหรับแพทย์ของบริษัทบุหรี่นี้เป็นกลยุทธ์ระดับโลก เพราะไม่ใช่แค่ Medscape เท่านั้นแต่บริษัทบุหรี่ยังสนับสนุนหลักสูตรการเรียนและการสัมมนาโดยเฉพาะเรื่องการลดอันตรายจากยาสูบ (harm reduction) ในอีกหลายประเทศ ซึ่งบริษัทบุหรี่มักจะใช้วาทกรรม “ลดอันตราย” เพื่อสนับสนุนการใช้บุหรี่ไฟฟ้าซึ่งเป็นกลยุทธ์การตลาดอันหนึ่ง และมักจะนำวาทกรรมนี้มาใช้ล็อบบี้ทางการเมืองเพื่อให้รัฐบาลสนับสนุนบุหรี่ไฟฟ้าด้วย
“แต่ล่าสุดมีงานวิจัยออกมายืนยันแล้วว่า บุหรี่ไฟฟ้า ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ที่ลดอันตรายตามที่บริษัทบุหรี่อ้าง เพราะอันตรายของบุหรี่ไฟฟ้าไม่แตกต่างจากบุหรี่ธรรมดา และหากมองในแง่การเสพติด บุหรี่ไฟฟ้ามีฤทธิ์เสพติดสูงกว่า ยิ่งไปกว่านั้นการที่เด็กเล็กระดับประถมศึกษาเข้ามาเสพติดบุหรี่ไฟฟ้า แบบนี้ต้องเรียกว่าเพิ่มอันตราย ไม่ใช่ลดอันตรายตามคำลวงบริษัทบุหรี่” ศ.นพ.วินัย กล่าว
3 เมษายน 2567 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า บริษัท ติ๊กต็อก และ ยูนิเวอร์แซล มิวสิก กรุ๊ป หรือ ยูเอ็มจี ออกแถลงการณ์ร่วมประกาศข้อตกลงลิขสิทธิ์ครั้งใหม่ที่มีค่าตอบแทนที่ดีขึ้นสำหรับศิลปินและนักแต่งเพลงในสังกัดยูเอ็มจี และจะบรรเทาความกังวลเกี่ยวกับเนื้อหา ที่สร้างโดย AI ที่เพิ่มขึ้นบนติ๊กต็อก
เซอร์ ลูเซียน เกรนจ์ ประธานของยูนิเวอร์แซล มิวสิก กรุ๊ป กล่าวว่า ข้อตกลงดังกล่าวให้ความสำคัญกับคุณค่าของดนตรี,ความเป็นเลิศของศิลปะของมนุษย์ และสวัสดิภาพของชุมชนสร้างสรรค์ ความสัมพันธ์บทใหม่ของพวกเรา จะขับเคลื่อนนวัตกรรมในการมีส่วนร่วมของแฟนคลับ และสร้างรายได้จากเพลงที่ได้รับความนิยมในสังคม
ขณะที่โซ่ว จื่อ โจว ซีอีโอติ๊กต็อก กล่าวว่า ติ๊กต็อกมีความมุ่งมั่นที่จะทำงานร่วมกัน เพื่อขับเคลื่อนคุณค่า การค้นพบ และการโปรโมต ให้กับบรรดาศิลปินและนักแต่งเพลงที่น่าทึ่งของยูเอ็มจี ตลอดจนเพิ่มพูนความสามารถของพวกเขาในการเติบโต เชื่อมต่อ และมีส่วนร่วมกับกับชุมชนติ๊กต็อก
ข้อตกลงใหม่ปิดฉากการเจรจาที่ถูกจับตาดูอย่างใกล้ชิด ซึ่งประสบกับความล้มเหลวเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมาหลังยูเอ็มจี และติ๊กต็อก ซึ่งเป็นผู้เล่นทรงอิทธิพลในอุตสาหกรรมเพลงและเทคโนโลยี ต่างวิพากษ์วิจารณ์อีกฝ่ายอย่างเปิดเผย ในประเด็นเกี่ยวกับผลประโยชน์ และอื่น ๆ
ข้อพิพาทข้างต้นทำให้ยูเอ็มจี ลบเพลงบันทึกทั้งหมดที่ได้รับอนุญาต และอยู่ภายใต้ลิขสิทธิ์ของบริษัท ออกจากคลังเพลงของติ๊กต็อก อีกทั้งคลิปวิดีโอทั้งหมดที่มีเพลงของศิลปินสังกัดยูเอ็มจี ก็ถูกปิดเสียงบนแพลตฟอร์มเช่นกัน ในแถลงการณ์ร่วมทั้งสองบริษัทระบุว่า พวกเขากำลังทำงานอย่างรวดเร็ว เพื่อส่งคืนเพลงของยูเอ็มจีให้กับติ๊กต็อก