ยังอึ้งมึนงงยังไม่หาย กับอภิมหาต้มตุ๋นระดับประเทศ กับกรณีของสาวประเภทสองนางหนึ่ง ที่หลอกนักร้อง พระเอก นางเอก นางงาม คนดังมากมาย อ้างว่าจะมีโครงการ 'เรามีเรา' เพื่อหาเงินช่วยเหลือผู้ป่วยโรคมะเร็งยากไร้ มูลนิธิสถาบันมะเร็งแห่งชาติ หนึ่งในเหยื่อที่โดนหลอกจนเปื่อย ก็คือนางงามระดับชาติ แอลลี่ พิมบงกช จันทร์แก้ว มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ Miss Universe Thailand 2014
วันก่อน นางงามรุ่นพี่ บุ๋ม ปนัดดา วงศ์ผู้ดี เพิ่งไปเข้าพบพนักงานสอบสวนกองปราบ เพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับสาวประเภทสองคนดังกล่าว ในข้อหาฉ้อโกงประชาชน พร้อมฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย 2 ล้านบาท ด้านแอลลี่ได้เปิดใจอย่างเหนื่อยใจกับบันเทิงไทยรัฐออนไลน์ "อ๋อ ก็งงค่ะ (ยิ้ม) งงๆ เพราะว่าทำไป เพราะเห็นว่าเป็นมูลนิธิ อยากจะช่วยค่ะ"
วันนั้นแอลลี่ ไปถ่ายปฏิทินได้ค่าตัวมั้ย หรือว่าไปฟรี? "ก็…ได้ค่ะ ได้เป็นค่ารถค่ะ" ฝากไปถึงคนอื่นๆ ที่นิสัยไม่ดี อย่าเข้ามาเลย ที่หวังจะเข้ามาหาผลประโยชน์จากตัวแอลลี่? "(หัวเราะ) คือ…(นิ่งคิดนาน) แอลลี่ไม่อยากจะพูดแรงๆ แต่แอลลี่ยังอยากจะช่วยคนจริงๆ สิ่งที่แอลลี่ทำไป เพราะอยากจะช่วยเหลือจริงๆ ทำจากใจค่ะ (ยิ้ม)".
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. กล่าวภายหลังร่วมงานในงานการประชุมระดับโลกวอร์ตัน เอเชียในยุคที่โลกไร้พรมแดน Wharton University of pennsylvania ว่าได้สั่งให้ชะลอการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง เพราะเห็นว่าประชาชนจะเดือนร้อน โดยให้ไปทบทวน โครงสร้างภาษีทั้งระบบ ที่มีหลายประเภท และแนวคิดการจัดเก็บภาษีไม่ใช่ความผิดของรัฐบาล แต่เป็นแนวคิดที่จะจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเพื่อนำไปช่วยเหลือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งต้องใช้งบกว่า 2.6 แสนล้าน ขณะที่ท้องถิ่นจัดเก็บได้เพียง 7 หมื่นล้าน ดังนั้นส่วนเกินรัฐบาลจะต้องจัดสรรให้ จึงสั่งการให้มีการทบทวนโครงสร้างภาษีทั้งระบบ เพื่อนำมาใช้ในอนาคต
ขณะที่ภายในงานนายกรัฐมนตรี ได้ฝาก ถึงทุกประเทศที่เดินทางมาเข้ามาประชุม โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา ให้เข้าใจสถานการณ์ประเทศไทย ว่าการแก้ปัญหาแต่ละที่ไม่สามารถใช้วิธีการเดียวกันได้เปรียบเหมือนสหรัฐจะตัดเสื้อตัวเดียวให้คนทั้งโลกใส่ไม่สามารถทำได้ แต่ด้วยความช่วยเหลือของสหรัฐจะทำให้คนทั้งโลกมีความสุข
นอกจากนี้นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงจากการเข้ามาควบคุมอำนาจของรัฐบาล ด้วยวิธีการควบคุมอำนาจ ว่าไม่ได้ทำให้ใครเดือนร้อน หรือ ละเมิดสิทธิมนุษยชน ยกเว้นพวกที่ทุจริตและอาจมีประชาชนบางส่วนที่ไม่เข้าใจ และกล่าวด้วยว่าตนจับพลัดจับพลูหกล้มขาหักมาเป็นนายกรัฐมนตรี ทั้งที่ไม่ได้อยากเป็น แต่สถานการณ์โดยรวมขณะนี้ดีขึ้นเหมาะแก่การท่องเที่ยว แม้อาจลดลงไปช่วงที่มีความขัดแย้งในช่วงประชาธิปไตยเต็มใบ แต่เพราะไทยมีวัฒนธรรมที่หลากหลายและเปี่ยมด้วยมิตรภาพที่รู้จักกันในนามวิถีไทย
พร้อมกันนี้นายกรัฐมนตรียังยอมรับว่าไทยถูกจับตามองจากทั่วโลกในการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นทุกฝ่ายต้องช่วยกันอธิบาย อย่างเรื่องแนวคิดการจัดเก็บภาษีที่ได้ชะลอไปแล้ว และขอฝากทุกประเทศที่จะมาลงทุนในไทยให้มองถึงประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนด้วยเพราะแต่ละประเทศไม่สามารถอยู่ได้เพียงลำพังต้องรวมตัวเป็นประชาคม เช่นเดียวกับภูมิภาคอาเซียนซึ่งไทยมียุทธศาสตร์สำคัญด้านโลจิสติกส์เชื่อมโยงการคมนาคมของภูมิภาคเช่นเดียวกับการบริหารในประเทศที่ยึดหลักตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เข้าใจเข้าถึงพัฒนาและนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาปรับใช้ ขณะเดียวกันฝากประเทศที่มาประชุมวันนี้ช่วยเพิ่มราคาสินค้าเกษตร ให้กับไทยและอาเชียนด้วย
เมื่อวันที่ 11 มี.ค. นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ได้โพสต์ข้อความผ่านทางเพจเฟซบุ๊ก ชูวิทย์I′mNo.5 ระบุว่า
การเชื้อเชิญหัวหน้าพรรคไปร่วมแสดงความคิดเห็น เป็นเพียงพิธีกรรมที่เสียเวลา ผมจึงปฏิเสธไม่ไปร่วมตั้งแต่ต้น แต่ผมมีสิทธิ์วิพากษ์วิจารณ์ร่างรัฐธรรมนูญ ที่มาบังคับใช้กับผมในฐานะประชาชน ดังนี้
1. สมัชชาคุณธรรม สมัชชาพลเมือง สภาภาคพลเมือง ที่จะมาควบคุมตรวจสอบฝ่ายบริหาร รวมทั้งการเลือกตั้ง การทุจริตคอรัปชั่น คุณธรรมจริยธรรม และเป็นตัวแทนเลือก ส.ว.
ท่านแน่ใจหรือว่า บรรดาสารพันสภาชื่อแปลกๆเหล่านี้ จะทำหน้าที่ได้มากมาย เก่งกาจ โดยบริสุทธิ์ยุติธรรม ไม่มีพวกพ้องการเมืองเข้าไปเกี่ยวข้อง?
ท่านใช้วิธี "อ้อมตั้ง" แล้วบอกว่าบริสุทธิ์กว่าวิธี "เลือกตั้ง" ไม่มีประเทศไหนในโลกที่ทำให้เรื่องง่ายเป็นเรื่องยาก เท่ากับประเทศไทยอีกแล้ว
2. ตอนเลือกตั้งให้กากบาทสามใบ คือ ส.ส.เขต ส.ส.บัญชีรายชื่อ และลงมติถอดถอน โดยให้สมัชชาคุณธรรม สภาภาคพลเมืองที่ท่านว่า ร่วมกันไต่สวนจริยธรรมของนักการเมือง หากพบว่าผิดจริง ก็ส่งให้ กกต. ทำบัญชีไว้ ในการเลือกตั้งครั้งถัดไปก็ให้ประชาชนกากบาทลงมติว่าจะถอดถอนหรือไม่?
แต่ผมว่า "กว่าถั่วจะสุกงาก็ไหม้" เพราะหากรัฐบาล นายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีทำไม่ดีในปีแรก กว่าจะเลือกตั้งใหม่ก็สิ้นสมัยสี่ปี จนถึงตอนนั้นประเทศชาติเสียหายล่มจมไปถึงไหน? แถมเป็นการถอดถอนย้อนหลังเป็นเวลานานเกินไป ไม่ทันสถานการณ์
ทำไมไม่คิดให้ประชาชนลงมติถอดถอนหลังจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจภายใน 90 วัน? ถึงจะเสียงบประมาณ ก็ยังดีกว่าเสียเงินเป็นแสนๆล้านจากการบริหารที่ผิดพลาดของรัฐบาล
3. เรื่องนายกฯ ไม่จำเป็นต้องมาจาก ส.ส. ท่านบอกว่า ไม่มีใครเอาปืนไปจ่อหัว ส.ส. ให้เลือกนายกฯคนนอกหรอก
แต่ผมว่า ผู้ที่จะเป็นนายกฯ ได้หากไม่มียศ ไม่มีบารมี ไม่มีทางได้เป็นอยู่แล้ว ในอดีต พล.อ.ชาติชาย มีจำนวน ส.ส. มากที่สุด ยังเกรงใจไม่กล้ารับตำแหน่ง ยกให้ พล.อ.เปรม เป็นนายกฯทั้งๆ ที่ไม่ได้เป็น ส.ส. จนกระทั่งแกเอ่ยปากว่า "พอแล้ว" พล.อ.ชาติชาย ถึงกล้ารับเป็นนายกฯ ส่วนบรรดา ส.ส. อยู่พรรคการเมืองไหนก็ต้องตามหัวหน้าพรรค
ประเทศไทย ไม่มีเงินก็ต้องมีปืน ถึงสั่งได้
อ.บวรศักดิ์ยกประเทศไทยไปเปรียบเทียบกับอีก 90 ประเทศ ว่ามีเพียง 27 ประเทศที่เขียนว่านายกฯต้องมาจาก ส.ส. โดยเฉพาะประเทศอังกฤษที่เป็นต้นแบบประชาธิปไตยก็ไม่ได้เขียนไว้ในกฎหมาย
ทำไมถึงกล้าไปเปรียบเทียบอย่างนั้นล่ะครับ? ในเมื่อ 90 ประเทศที่ว่า ไม่มีประเทศไหนทำรัฐประหารซ้ำๆ นับครั้งไม่ถ้วนแบบประเทศไทย ล้มรัฐธรรมนูญฉบับแล้วฉบับเล่า ขนาดมีรัฐธรรมนูญมาแล้วยี่สิบกว่าฉบับยังหาช่องแหกกฎ มีพวกปิดสนามบิน ขวางการเลือกตั้ง ไม่ให้ประชาชนเข้าไปใช้สิทธิ์ใช้เสียง
หากจะเพิ่มอำนาจให้กับประชาชน ยกระดับเป็นพลเมืองอย่างที่ท่านย้ำ ให้เขาแค่มีอำนาจเลือกตัวแทนของเขาอย่างตรงไปตรงมา ตามสิทธิของพลเมืองเหมือนประเทศอื่นๆ ไม่ต้องไปมีสมัชาคุณธรรม สภาพลเมืองให้ยุ่งยากสลับซับซ้อน พูดจาวนเวียนให้มันมึนงง
เพราะอีกไม่นาน เดี๋ยวท่านก็ได้มานั่งเป็นประธานกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่อีกครั้ง แล้วก็จะบอกว่า "ครั้งที่แล้วพลาดไป"
ท่านคงได้รับงานเป็นประธานร่างถึงฉบับ 30 จนกระทั่งสังขารไปไม่ไหว
เมื่อวันที่ 13 หลังจากที่นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงเข้าไปรายงานตัวที่สำนักนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 12 มี.ค.ที่ผ่านมา แล้วยังพบว่า ในแวดวงสาธารณสุข ยังคงมีการสวมชุดทำปฏิบัติหน้าที่ และขึ้นป้ายหน้ารพ.ว่า ไม่เห็นด้วยในคำสั่งย้ายนพ.ณรงค์ อย่างต่อเนื่องในหลายจังหวัด นอกจากนี้ นพ.ณรงค์ ยังได้ทำเรื่องลางานต่อรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ 1 วันเพื่อไปร่วมงานพัฒนาส่งเสริมและสนับสนุนการสร้างธรรมาภิบาล ในกลไกการอภิบาลระบบในสาธารณสุข ที่โรงแรมอุบลบุรีรีสอร์ท ซึ่งเป็นการประชุมตามกำหนดการที่วางแผนเอาไว้ก่อนหน้านี้ เพื่ออบรมเจ้าหน้าที่สาธารณสุขระดับหัวหน้าหน่วยทั้ง 20 จังหวัดภาคอีสานประมาณ 100 คน โดยมีข้าราชการร่วม 50 คน รวมตัวถือป้ายไวนิลเขียนข้อความให้กำลังใจอย่างต่อเนื่อง
อีกด้านหนึ่งพบว่า “เฟชบุ๊คของชมรมแพทยชนบท" ได้มีโพสข้อความโจมตี ว่า การเดินทางมาที่ จ.อุบลฯ ของ นพ.ณรงค์ ครั้งนี้ ว่า “จะยังจับมือกับพวกป่วนไม่เลิก” ในขณะเดียวกัน ก็มีการนำภาพภารกิจต่าง ๆ ของนพ.รัชตะ รัชตะนาวิน รมว.สาธารณสุข และ นพ.วินัย สวัสดิวร เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพที่ทำงานต่าง ๆ มาลงจำนวนมาก
นพ.วัลลภ ไทยเหนือ อดีตปลัดกระทรวงฯ กล่าวว่า การย้ายนพ.ณรงค์ ไม่ได้เป็นการยุติปัญหา และไม่ใช่ทางออกที่แท้จริง แต่ที่จริงคือ ต้องสร้างความชัดเจน เรื่อง การตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริง ซึ่งจนถึงวันนี้ ยังไม่มีใครเห็นหนังสือคำสั่งดังกล่าว แม้แต่นพ.ณรงค์ ก็ยังไม่เห็นหนังสือที่มีการตั้งข้อหาการสอบข้อเท็จจริงลงวันที่ 5 มี.ค. จึงน่าแปลกว่า เมื่อมีการตรวจสอบ จะต้องมีการเปิดเผยรายชื่อคณะกรรมการหรือไม่ และรายละเอียดข้อกล่าวหาต่าง ๆ ทราบเพียงแค่ว่า มีปลัดกระทรวงพาณิชย์เป็นประธานสอบ ดังนั้น ปลัดกระทรวงพาณิชย์ต้องเปิดเผยความคืบหน้าการสอบสวนภายใน 1 เดือน เพื่อยุติการเคลือบแคลงสงสัยเรื่องการตั้งธงสอบปลัดกระทรวงเพียงคนเดียว ไม่มีกาสอบทั้ง 2 ฝ่าย แต่พอย้ายปลัดฯ แล้วกลับไม่มีการพูดถึงอีก
“จริง ๆ ก่อนหน้านี้เคยคุยกับปลัดฯ และเห็นว่ากำลังจะทำงานร่วมกับนพ.รัชตะ ได้ในเรื่องของพัฒนาการเด็กอายุ 0-5 ปี ซึ่งเป็นเรื่องที่ปลัด สธ. เสนอในการขับเคลื่อนทั่วประเทศ โดยรมว.สาธารณสุขก็เห็นด้วย แต่ปรากฏว่า กลับมีการย้ายปลัดฯ จึงเป็นเรื่องน่าเสียดาย และแปลกอยู่ไม่น้อย แต่จะมีอะไรหรือไม่ ผมไม่อยากพูด เอาเป็นว่าขอให้ทุกอย่างเป็นเรื่องบนดิน อยู่บนพื้นฐานความถูกต้อง ตรวจสอบได้จะดีกว่าหรือไม่” อดีตปลัดกระทรวงกล่าว
พญ.ประชุมพร บูรณ์เจริญ ที่ปรึกษาสมาพันธ์ รพ.ศูนย์ รพ.ทั่วไป(สพศท.) กล่าวว่า ในการประชุมที่ จ.อุบลวันนี้ นพ.ณรงค์ ได้พูดเรื่องธรรมาภิบาลที่อยากให้ประชาคมสาธารณสุขมีความเข้มแข็งขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อพิทักษ์ปกป้องระบบคุณธรรมให้คงอยู่ ถ้าระบบยังอยู่คนก็จะได้รับการปกป้องไม่ถูกรังแกไปด้วย โดยในการประชุมวันนี้พบว่ามีทั้งเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจเข้ามาดู มาถ่ายรูปถ่ายวีดีโอ และคอยสอดส่องถึงในห้องประชุม มาดูว่า จะมีการปลุกระดมอะไรหรือไม่ แต่ในที่ประชุมไม่มีการปลุกระดม เพราะการประชุมจะหารือกันเรื่องกฎหมายและพ.ร.บ.ต่าง ๆ และเป็นการให้กำลังใจกันมากกว่า อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 12 มี.ค.ที่ผ่านมา พบว่า นายสาคร นาต๊ะ นายกสมาคมหมออนามัยแห่งประเทศไทย ที่ประกาศเดินทางมาร่วมให้กำลังใจนพ.ณรงค์นั้นถูกล็อคตัวพร้อมกับเพื่อนอีก 1 คน คาสนามบินและถูกนำไปไว้ที่ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) พร้อมให้รายงานตัวทุกชั่วโมงห้ามหลบหนี ส่วนตนก็โดนทางกอ.รมน.ตามหาตัวทั่วเมืองเช่นเดียวกัน แต่ไม่พบเท่านั้นเอง อย่างไรก็ตาม หากจะมีการจับตาดูก็เป็นไรก็ได้ แต่ขอยืนยันว่าจะไม่ทำอะไรก้าวร้าว ส่วนการหารือกันของประชาคมเห็นว่าจะมีการทำป้ายเพื่อคัดค้านการปลดปลัดฯ
นายวัฒนะชัย นามตะ ประธานชมรมสหวิชาชีพ กล่าวถึงกรณีที่มีการออกคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนติดตามความเคลื่อนไหวของกลุ่มข้าราชการ บุคลากร ลูกจ้างกระทรวงสาธารณสุขไม่ให้ออกมาชุมนุมเคลื่อนไหว หรือจัดกิจกรรมต่าง ว่า ถือเป็นคำสั่งที่ค่อนข้างตลก เพราะการชุมนุมให้กำลังใจผู้บังคับบัญชาจะถือเป็นความผิดได้อย่างไร ถ้าเช่นนั้นคนที่ออกมาให้กำลังใจนายกรัฐมนตรี ถือว่า มีความผิดด้วยหรือไม่ และยืนยันว่า การเรียกร้องของข้าราชการบุคลากรสาธารณสุข ไม่ได้เป็นเรื่องเรียกร้องชุมนุมทางการเมือง ไม่มีอาวุธ ไม่มีระเบิด แต่ออกมาเรียกร้องเรื่องการบริหารจัดการภายในกระทรวงสาธารณสุข และยืนยันว่า ช่วงนี้จะเป็นการอารยขัดขืน โดยสงบอยู่ในที่ตั้ง อย่างเช่น การสวมชุดดำปฏิบัติหน้าที่ การขึ้นป้ายข้อความคัดค้านการย้ายปลัดกกระทรวง โดยไม่เป็นธรรมเอาไว้ที่หน้า รพ.ในพื้นที่โดยจะทำเช่นนี้ไปจนกว่า จะได้ปลัดกระทรวงคืนมา
“การตั้งกรรมการสอบปลัดฯ ครั้งนี้ไม่เป็นธรรม ถ้าจะสอบสวนก็ต้องสอบที่ตัวรมว.สาธารณสุขด้วย เพราะถือเป็นคู่ขัดแย้ง แต่การเลือกสอบปลัดกระทรวงเพียงฝ่ายเดียวก็เหมือนกับคุณสาดน้ำใส่ฝ่ายเดียว เปียกฝ่ายเดียว ซึ่งไม่ใช่การแก้ปัญหา” นายวัฒนะชัย กล่าว .
ช่วงเย็นวันที่ 13 มี.ค. ที่ผ่านมา กำลังฝ่ายทหารได้นำทองคำแท่งน้ำหนัก 1 กิโลกรัม 1 แท่ง และน้ำหนัก 10 บาท อีก 5 แท่ง รวมมูลค่า 2 ล้านบาท ที่ยึดได้จากเครือข่าย พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีต ผบช.ก. มาส่งมอบให้ พ.ต.ท.ธรรมวัฒน์ หิรัณยเลขา รอง ผกก.2 บก.ป. เพื่อสืบสวนขยายผลเพิ่มเติม หลังพนักงานสอบสวน บก.ป. สอบปากคำ นายณรงค์ สุวะดี อายุ 41 ปี น้องชายท่านผู้หญิงศรีรัศมิ์ สุวะดี ที่เรือนจำคลองเปรม ในประเด็นเกี่ยวกับเส้นทางการฟอกเงินที่ได้จากการกระทำความผิด
โดยนายณรงค์ รับสารภาพว่า เงินที่ได้จากการกรรโชกทรัพย์นั้น ส่วนหนึ่งได้นำไปซื้อทองคำแท่ง มอบให้กับนายอุดม ผ่องแพร คนสนิทของครอบครัว นำไปซุกซ่อนไว้เพื่อรอจำหน่ายตามร้านทอง หลังทราบข้อมูล พนักงานสอบสวนได้ประสานแจ้งกำลังฝ่ายทหาร อาศัยอำนาจตาม พ.ร.บ.กฏอัยการศึก เข้าตรวจค้นโรงงานแหนม เลขที่ 77 หมู่ที่ 3 ต.ห้วยจระเข้ อ.เมือง จ.นครปฐม ซึ่งเป็นของภรรยานายอุดม กระทั่งพบทองคำดังกล่าว ถูกบรรจุไว้ในกล่องเหล็ก ซุกซ่อนในบ่อบำบัดน้ำเสียของโรงงาน จึงยึดมามอบให้พนักงานสอบสวน บก.ป.ตรวจสอบ จากนั้นจึงมีการรวมรวมพยานหลักฐาน ขออนุมัติศาลออกหมายจับนายอุดม เพื่อดำเนินคดีในข้อหารับของโจรต่อไป
สำหรับ นายณรงค์ นั้น ถูกดำเนินคดีในข้อหาร่วมกันข่มขืนใจให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด โดยทำให้กลัวว่า จะเกิดอันตรายต่อชีวิตร่างกายหรือเสรีภาพ หน่วงเหนี่ยวกักขัง ร่วมกันลักทรัพย์ หมิ่นสถาบันเบื้องสูงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 มีอาวุธปืนและพกพาอาวุธปืนไปในที่สาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร หลังจากร่วมกับพวกแอบอ้างชื่อท่านผู้หญิงศรีรัศมิ์ สุวะดี ข่มขู่บังคับเจ้าหนี้เพื่อให้ลดหนี้สินจาก 100 ล้านบาท ให้เหลือเพียง 20 ล้านบาท กระทั่งถูกตำรวจจับกุมดำเนินคดีดังกล่าว.