10 ธันวาคม 2563 รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊กส่วนตัว “Thira Woratanarat” เกี่ยวกับสถานการณ์โควิด-19 มีเนื้อหาดังนี้...
สถานการณ์ทั่วโลก 10 ธันวาคม 2563...
ทะลุ 69 ล้านไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อวานทั่วโลกติดเพิ่ม 731,984 คน รวมแล้วตอนนี้ 69,162,610 คน ตายเพิ่มอีก 13,541 คน ยอดตายรวม 1,573,707 คน
อเมริกา เมื่อวานติดเชื้อเพิ่ม 247,475 คน รวม 15,782,424 คน ตายเพิ่มอีก 3,154 คน ยอดตายรวม 296,861 คน อินเดีย ติดเพิ่ม 26,351 คน รวม 9,762,326 คน บราซิล ติดเพิ่ม 54,203 คน รวม 6,730,118 คน รัสเซีย ติดเพิ่มอีก 26,190 คน รวม 2,541,199 คน ฝรั่งเศส ติดเพิ่ม 14,595 คน รวม 2,324,216 คน อันดับ 6-10 ตอนนี้เป็น อิตาลี สหราชอาณาจักร สเปน อาร์เจนตินา และโคลอมเบีย ส่วนใหญ่ติดกันหลายพันถึงหลักหมื่นต่อวัน
เยอรมัน เนเธอร์แลนด์ โปแลนด์ ยูเครน แคนาดา รวมถึงอิหร่าน ตุรกี บังคลาเทศ ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น และเมียนมาร์ ติดกันเพิ่มหลักพันถึงหลายหมื่น ตุรกี ติดเพิ่มกว่าสามหมื่นคนต่อวันอย่างต่อเนื่อง อยู่ในท็อปทรีของประเทศที่มีจำนวนติดเชื้อรายวันสูงสุดมาตลอดตั้งแต่ปลายเดือนพฤศจิกายนจนถึงปัจจุบัน คาดว่าอีก 3 วันจะทะลุล้านเป็นประเทศที่ 15 ของโลก
แถบสแกนดิเนเวีย รอบทะเลบอลติก และแถบยูเรเชียยังไม่ดีขึ้น ติดเชื้อเพิ่มอย่างต่อเนื่อง เดนมาร์กยังคงติดวันละสองพันกว่า และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ฮ่องกง เกาหลีใต้ และมาเลเซีย ติดเพิ่มหลักร้อยไปถึงเฉียดพัน ส่วนจีนติดเพิ่มหลักสิบ ในขณะที่สิงคโปร์ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ เวียดนาม และกัมพูชา ยังมีติดเพิ่มต่ำกว่าสิบ
...สถานการณ์ในเมียนมาร์ เมื่อวานติดเพิ่มขึ้นอีก 1,427 คน ตายเพิ่มอีก 23 คน ตอนนี้ยอดรวม 103,166 คน ตายไป 2,174 คน อัตราตายตอนนี้ 2.1%
...ไขปัญหายอดฮิต...
คำถาม: ระลอกแรกของไทยไหนบอกว่าจะติดเป็นหมื่นเป็นแสน ตอนนี้เรามีแค่หลักพัน แหกตาใช่ไหม?
คำตอบ:
ควรตั้งสติ คิดไตร่ตรอง ก่อนหลงไปกับคำถามนี้
หากเราไม่ดำเนินการทำมาตรการเข้มข้น ช่วยกันอยู่กับบ้านตั้งแต่กลางมีนาคมจนถึงต้นพฤษภาคม การระบาดก็จะแพร่กระจายไปอย่างระเบิดเถิดเทิง เฉกเช่นกับที่เห็นในประเทศอื่นที่ระบาดกันอย่างรุนแรงทั้งระดับหมื่น ระดับแสน และระดับล้าน
ผลที่เราเห็นในวันนี้คือ สิ่งที่เกิดจากการตัดสินใจที่ถูกต้อง ทันเวลา ในวันนั้น
พอได้ยินคำถามข้างต้น เราควรย้อนถามกลับไปยังแก๊งส์ทั้งหลายว่า "ทุกคนช่วยกันทำตัวนิ่งๆ กันแทบตาย จนคุมได้ ยังติดไปตั้งหลายพัน หากไม่ทำ จะฉิบหายแค่ไหน?"
หากเห็นการป่วนแบบนี้อีกในอนาคต ให้เข้าใจได้ว่าเป็นการโยนคำถามประเภท "ตรรกะวิบัติ"
การเสพข่าวในโซเชียล ต้องรู้เท่าทัน ไม่หลงไปกับกิเลส ประโยชน์ทับซ้อน ดังที่เราเห็นหลายเรื่องตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เช่น "อาหารเสริมเพื่อชีวิตอมตะ" "ยาเสพติดรักษาสารพัดโรค" ฯลฯ
การจะรอดพ้นปากเหยี่ยวปากกาไปได้ ต้องใช้ความเป็นเหตุเป็นผล วิชาความรู้ที่ถูกต้องเป็นเข็มทิศสำหรับการใช้ชีวิตครับ
ปัจจุบัน ยืนยันว่ามีความเสี่ยงสูงต่อการระบาดซ้ำ เราทุกคนควรใช้ชีวิตอย่างมีสติ รักตัวเอง รักครอบครัว ต้องป้องกันตัวเสมอ
ไม่หลงเชื่อคำโฆษณาให้วิ่งไปหาความเสี่ยง
ยึดหลักวิชาความรู้ และใช้ความเป็นเหตุเป็นผลในการไตร่ตรอง ก่อนตัดสินใจเชื่อตัดสินใจทำ
สองสัปดาห์นี้ป้องกันกันอย่างเต็มที่ เพื่อปีใหม่ที่ปลอดภัยและมีความสุข
10 ธันวาคม 2563 พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกประจำรองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้สั่งการย้ำกับฝ่ายปกครอง และตำรวจ ประสานการทำงานร่วมกับทหาร และกระทรวงคมนาคม ช่วยอำนวยความสะดวกการจราจร และดูแลมาตรการลดอุบัติเหตุบนท้องถนน รวมทั้งดูแลความปลอดภัยแหล่งท่องเที่ยว สถานที่จัดกิจกรรมและร้านค้าที่คาดว่าจะมีประชาชนไปท่องเที่ยวพักผ่อนจำนวนมากช่วงหยุดยาวต่อเนื่องกัน ตามนโยบายมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐบาลกำหนดขึ้น
ทั้งนี้ กำชับขอให้ฝ่ายปกครองและตำรวจ ระดับท้องถิ่น ประสานการทำงานร่วมกับสาธารณสุข ดูแลอำนวยความสะดวก และความปลอดภัยทั้งในเส้นทางหลักและรองในพื้นที่ เพื่อดำรงความต่อเนื่องในการลดอุบัติเหตุบนท้องถนนและความมั่นคงปลอดภัยของประชาชนในภาพรวม โดยเฉพาะพื้นที่จัดกิจกรรมที่ประชาชนอยู่ร่วมกันเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้ ให้แจ้งเตือนประชาชน “การ์ดไม่ตก”และขอความร่วมมือประชาชนปฏิบัติตามมาตรการทางสาธารณสุขที่กำหนดอย่างจริงจัง ร่วมกันระมัดระวัง ป้องกันตัว โดยไม่ประมาท
สำหรับพื้นที่ชายแดน ขอให้ฝ่ายปกครองและตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ต้องคุมเข้มการคัดกรองโรค และการผ่านแดนตามช่องผ่านแดนที่กำหนดอย่างเคร่งครัด จริงจังโดยกำกับไม่ให้เจ้าหน้าที่เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายโดยเด็ดขาด และขอให้ทหารในพื้นที่ชายแดน เพิ่มความถี่การลาดตระเวนตรวจตราตามช่องทางธรรมชาติมากขึ้น เพื่อป้องกันความเสี่ยงของการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอก 2 ที่อาจเกิดขึ้น
วันที่ 9 ธันวาคม 2563 Google ประกาศคำค้นหายอดนิยมประจำปี 2563 โดยแสดงให้เห็นถึงภาพรวมของทั้งปีที่ผ่านมา ที่ผ่านสายตาและการค้นหาของผู้คนในประเทศไทย รวมถึงการใช้ข้อมูลจาก Google Trends พร้อมนำเสนอมุมมองที่โดดเด่นและการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการค้นหาของผู้คนตลอดทั้งปีที่มาจากเหตุการณ์สำคัญต่างๆ ที่เกิดขึ้น ตลอดจนถึงเทรนด์การค้นหาที่มาแรงในประเทศไทยประจำปีนี้
สำหรับปีนี้เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ได้ส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่และการดำเนินธุรกิจของประชาชนทั้งประเทศ ส่งผลให้คนไทยตอบรับกับโครงการที่รัฐบาลมีนโยบายออกมาช่วยเยียวยาประชาชนทั้งเพื่อลดรายจ่ายและช่วยฟื้นฟูกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้ 5 ใน 10 ของคำค้นหายอดนิยมปีนี้มาจากโครงการของรัฐบาล ได้แก่ “เราไม่ทิ้งกัน” “คนละครึ่ง” “เยียวยาเกษตรกร” “เราเที่ยวด้วยกัน” และ “ลงทะเบียนรับเงินค่าไฟ”
ตลอดปีนี้ผู้คนยังคงให้ความสนใจค้นหาข้อมูลการแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง โดย “โควิด-19” ติดอันดับ 3 และนับเป็นครั้งแรกที่การค้นหาด้านการศึกษาติดอันดับ 2 ใน 10 ได้แก่ “DLTV” และ “สมัครสอบ ก.พ.” ส่วนการค้นหาข่าวการเมืองที่ทั่วโลกต่างจับตามอง โดย “US Election 2020” ก็ติดอยู่ในโผคำค้นหายอดนิยมด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้ ผลจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ยังทำให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมความสนใจค้นหาของผู้คนในการทำกิจกรรมผ่านออนไลน์เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ได้อย่างชัดเจน โดย “เรียนออนไลน์” “ลอยกระทงออนไลน์” “ยื่นภาษีออนไลน์” “เวียนเทียนออนไลน์” และ “อบรมใบขับขี่ออนไลน์” ติดโผอันดับ 1 -5 ตามลำดับ
ด้านข่าวเด่นในปีนี้ ผู้คนให้ความสนใจต่อเหตุการณ์ใหญ่ๆ ที่เกิดขึ้นค่อนข้างหลากหลาย โดยการค้นหาคำที่เกี่ยวข้องกับโรคระบาดและสุขภาพติดอันดับ 1 คือ “โควิค-19” ด้าน “ไวรัส RSV” ติดอันดับที่ 4 ส่วนข่าวด้านการเมืองระดับโลกติดอันดับที่ 2 คือ “US Election 2020” ด้านข่าวคดีสะเทือนขวัญและอุบัติเหตุที่คนไทยทั้งประเทศให้ความสนใจติดตามค้นหาติดอันดับ 4 ใน 10 ได้แก่ “ข่าวน้องชมพู่” “กราดยิงโคราช” “โจรปล้นทอง” และ “รถไฟชนรถบัส” รวมทั้ง ข่าวปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ได้แก่ “สุริยุปราคา 2563” และข่าวภัยธรรมชาติ “พายุเข้าไทย” ก็ติดอันดับในปีนี้ด้วยเช่นกัน
ด้านหมวดสถานที่ท่องเที่ยว เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ทำให้ผู้คนต้องระงับการเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศในช่วงปีนี้ ส่งผลให้คนไทยหันมาสนใจค้นหาสถานที่ท่องเที่ยวในประเทศที่มีบรรยากาศของความเป็นธรรมชาติเป็นภูเขาและมีอากาศที่เย็นสบายแทน ได้แก่ “เชียงใหม่” “เชียงราย” “เขาค้อ” และ “กาญจนบุรี” ส่วนสถานที่ท่องเที่ยวที่มีบรรยากาศแบบทะเลและชายหาดที่สวยงามที่ติดโผในปีนี้ ได้แก่ “สุราษฎร์ธานี” “พัทยา” “หัวหิน” “ประจวบคีรีขันธ์” “ระนอง” และ “ระยอง”
ส่วนในหมวด “วิธี” ปีนี้ คนไทยให้ความสนใจค้นหาวิธีต่างๆ เพื่อให้สอดคล้องกับการดำรงชีวิตในยุคนิวนอร์มอล และเพื่อรับสิทธิประโยชน์ต่างๆ โดยมี “วิธีใช้คนละครึ่ง” ติดโผอันดับ 1 ส่วน “วิธีลงทะเบียนค่าไฟ” “วิธีทำหน้ากากอนามัย”
“วิธีทำเจลล้างมือ” “วิธีลงทะเบียนรับเงิน 5,000” “วิธีลงทะเบียนเยียวยาเกษตรกร” และ “วิธีแก้เครียด” ก็ติดโผอันดับที่ 2-7 เช่นกัน
10 ธันวาคม 2563 “กรุงเทพโพลล์” โดยศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ ดำเนินการสำรวจความคิดเห็นประชาชน เรื่อง “หยุดยาวหน้าหนาวนี้คนไทยไปไหนกัน” โดยเก็บข้อมูลกับประชาชนจากทุกภูมิภาคทั่วประเทศจำนวน 1,137 คน พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 54 ไม่มีแผนที่จะไปท่องเที่ยวเมืองไทย ในช่วงหยุดยาวหน้าหนาวนี้ โดยในจำนวนนี้ร้อยละ 20 ไม่มีเวลาต้องทำงาน/เรียน รองลงมาร้อยละ 11.7 ไม่มีเงินใช้ มีภาระค่าใช้จ่ายมาก และร้อยละ 8.8 มีปัญหาสุขภาพ ขณะที่ร้อยละ 25.2 มีแผนที่จะไปท่องเที่ยว และร้อยละ 20.8 อาจจะไป/ยังไม่แน่ใจ
เมื่อถามว่าจังหวัดท่องเที่ยวที่อยากไปเที่ยวเพื่อรับบรรยากาศหนาวมากที่สุด คือ จังหวัดเชียงใหม่ คิดเป็นร้อยละ 25 รองลงมา คือ จังหวัดเชียงราย คิดเป็นร้อยละ 9 จังหวัดน่าน คิดเป็นร้อยละ 6.6 จังหวัดเพชรบูรณ์ คิดเป็นร้อยละ 6.4 และจังหวัดเลย คิดเป็นร้อยละ 5.1
ส่วนการรับทราบถึงมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศ โครงการเราเที่ยวด้วยกัน พบว่า ส่วนใหญ่ร้อยละ 67.9 รับทราบถึงโครงการเราเที่ยวด้วยกัน ขณะที่ร้อยละ 32.1 ไม่ทราบ
เมื่อถามว่า “หากท่องเที่ยวในประเทศไทย ท่านจะใช้สิทธิ์โครงการเราเที่ยวด้วยกันหรือไม่” ส่วนใหญ่ร้อยละ 61.4 คิดว่าจะไม่ใช้ โดยในจำนวนนี้ร้อยละ 18.5 ให้เหตุผลว่าใช้แอปฯ ไม่เป็น ไม่ค่อยใช้เทคโนโลยี รองลงมาร้อยละ 15.5 ให้เหตุผลว่าขั้นตอนการลงทะเบียนยุ่งยาก และร้อยละ 3.5 ให้เหตุผลว่าขั้นตอนการจองโรงแรม ที่พัก ยุ่งยาก ขณะที่ร้อยละ 38.6 คิดว่าจะใช้
สุดท้ายเมื่อถามความเห็นต่อมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว กระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น โครงการคนละครึ่ง เราเที่ยวด้วยกัน ทำให้อยากออกมาท่องเที่ยวมากน้อยเพียงใด พบว่า ส่วนใหญ่ร้อยละ 55.5 เห็นว่าทำให้อยากออกมาเที่ยวค่อนข้างมากถึงมากที่สุด ขณะที่ร้อยละ44.8 เห็นว่าค่อนข้างน้อยถึงน้อยที่สุด
9 ธ.ค.63 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า หน่วยงานการท่องเที่ยวสิงคโปร์ที่ประกาศว่า เรือสำราญควอนตัม ออฟ เดอะ ซีส์ (QUANTUM OF THE SEAS) ซึ่งกำลังจัดทริปล่องเรือแบบไม่แวะพักท่าเรือใด ตัดสินใจเดินทางกลับสิงคโปร์ก่อนกำหนด หลังพบผู้โดยสารคนหนึ่งป่วยด้วยโรคโควิด-19 บนเรือ
ล่าสุดผู้สัมผัสใกล้ชิดทั้งหมดกับผู้โดยสารที่ติดเชื้อ ต้องกักตัวและตรวจหาเชื้อโควิด-19 โดยผลที่ออกมาเป็นลบทั้งหมด ส่วนผู้โดยสารคนอื่นๆ ถูกสั่งให้อยู่ในห้องของตนเองเท่านั้น ทั้งนี้ผู้โดยสารและลูกเรือทั้งหมดจะต้องอยู่บนเรือก่อนจนกว่าการตรวจสอบหาที่มาของโรคจะเสร็จสิ้น โดยจะมีการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ก่อนขึ้นฝั่ง
การล่องเรือสำราญ”ที่ไม่ได้ไปไหน” ด้วยเรือสำราญควอนตัมออฟเดอะซีทริปนี้ มีแขกอยู่บนเรือทั้งหมด 1,680 คนและลูกเรืออีก 1,148 คน โดยออกเดินทางจากท่าเรือในสิงคโปร์และล่องเรือไปโดยไม่มีการแวะพักจอดก่อนกลับเข้าฝั่งยังท่าเรือจุดเดิมนั้น เป็นโครงการที่เริ่มต้นเมื่อเดือนก่อน เพื่อฟื้นคืนการท่องเที่ยวด้วยเรือสำราญหลังจากหยุดชะงักไปจากมาตรการควบคุมการเดินทางเนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19
© 2011 - 2026 Thai LA Newspaper 1100 North Main St, Los Angeles, CA 90012