นิวยอร์กโพสต์ หนังสือพิมพ์แทบลอยด์ของนายรูเพิร์ต เมอร์ดอค เจ้าพ่อสื่ออเมริกันเชื้อสายออสเตรเลียน นำภาพนู้ดของเมลาเนีย ทรัมป์ ภรรยาของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาจากพรรครีพับลิกัน สมัยเป็นนางแบบถ่ายนู้ด มาขึ้นปกหน้าหนึ่งฉบับประจำวันที่ 1 สิงหาคมอีก และจุดชนวนเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในโลกออนไลน์อย่างเซ็งแซ่ ภาพหน้าหนึ่งของนิวยอร์กโพสต์เป็นภาพนู้ดของเมลาเนียสมัยเป็นนางแบบโดยมีนางแบบเปลือยร่างอีกนางหนึ่งโอบกอดจากด้านหลังอยู่บนเตียงนอน พร้อมคำพาดหัวว่า “หลังบ้านทรัมป์” ประกอบภาพชุดที่นิวยอร์กโพสต์ระบุว่าเป็นภาพสุดพิเศษของเมลาเนียที่อาจจะกลายมาเป็น”สุภาพสตรีหมายเลข 1″ได้ ในสมัยที่ยังเป็นนางแบบ ขณะที่นิวยอร์กโพสต์ฉบับประจำวันอาทิตย์ที่ผ่านมาได้นำภาพนู้ดของเมลาเนียที่มีเพียงรูปดาวปิดยอดอกอยู่ มาขึ้นหน้าหนึ่งก่อนแล้ว
จากการขุดภาพเก่าของภรรยาทรัมป์ที่เป็นนางแบบดังขึ้นมาของนิวยอร์กโพสต์ ส่งผลให้นายเจสัน มิลเลอร์ ที่ปรึกษาของทรัมป์ ออกมากล่าวปัดกับซีเอ็นเอ็นว่า ไม่มีอะไรที่จะต้องอายกับภาพเหล่านั้น และว่า เมลาเนียเป็นผู้หญิงที่สวย ภาพนู้ดดังกล่าวเป็นภาพที่เมลาเนีย อดีตนางแบบชาวสโลวีเนียวัย 46 ปี ถ่ายไว้ในปี 2538 ตอนที่เธออายุเพียง 25 ปี ขณะทำงานเป็นนางแบบและก่อนที่เธอจะมาพบกับทรัมป์ โดยภาพนู้ดเหล่านั้นถูกตีพิมพ์ในปีต่อมาลงในนิตยสาร “แม็กซ์” ของฝรั่งเศสที่ปัจจุบันปิดตัวไปแล้ว ทั้งนี้ เมลาเนียพบกับทรัมป์ในปี 2541 ก่อนที่จะกลายมาเป็นภรรยาคนที่ 3 ของทรัมป์ในปี 2548 ก่อนหน้านี้ในราวกลางเดือนเมษายน นิวยอร์กโพสต์ เป็นสื่อที่ออกมาประกาศสนับสนุนทรัมป์ให้เป็นประธานาธิบดี โดยบรรยายถึงทรัมป์ในช่วงเวลานั้นว่าเป็น “ซูเปอร์สตาร์แห่งคำมั่นสัญญาที่กว้างใหญ่ แต่ก็ทำพลาดแบบพวกมือใหม่ไร้ประสบการณ์” ส่วนปฏิกิริยาในโลกโซเชียลต่อการนำภาพดังกล่าวมาขึ้นหน้าหนึ่งของนิวยอร์กโพสต์มีแตกต่างกันไป ข้อความหนึ่งบนทวิตเตอร์ตำหนินิวยอร์กโพสต์ว่ากระทำสิ่งที่น่าละอายต่อเมลาเนีย ทรัมป์ ขณะที่อีกข้อความบอกว่า รู้สึกตกใจและช็อกกับภาพปกที่เห็น
"ยิ่งลักษณ์" ย้ำไปลงคะแนนประชามติ 7 ส.ค.แน่นอน ลั่นจุดยืนประกาศไม่รับร่าง รธน.-คำถามพ่วง เหตุลิดรอนสิทธิเสรีภาพ ขาดการถ่วงดุลอำนาจ เมื่อวันที่ 2 ส.ค.59 น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า "จากข้อสรุปล่าสุดที่ว่าดิฉันถูกตัดสิทธิในการดำรงตำแหน่งทางการเมือง แต่ดิฉันยังคงเหลือสิทธิที่จะไปออกเสียงลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญในครั้งนี้นั้น ดิฉันจะไปรักษาสิทธินี้ในวันที่ 7 ส.ค.อย่างแน่นอนค่ะ ซึ่งดิฉันพูดมาโดยตลอดว่า รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุด มีความสำคัญในการกำหนดรูปแบบการปกครองประเทศ ซึ่งต้องเป็นประชาธิปไตยที่ยอมรับอำนาจการตัดสินใจของประชาชน การให้สิทธิเสรีภาพและสิ่งที่ประชาชนพึงจะได้รับ รวมถึงการกำหนดการถ่วงดุลระหว่างอำนาจต่างๆ ไว้อย่างเหมาะสม และรัฐบาลตามรัฐธรรมนูญจะต้องสามารถแก้ปัญหาให้พี่น้องประชาชนได้ จากการติดตามการยกร่างและสาระของร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้มาโดยตลอด ดิฉันเห็นว่าร่างรัฐธรรมนูญมิได้เป็นไปตามแนวทางดังกล่าว ดิฉันจึงไม่เห็นชอบกับร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ และไม่เห็นชอบคำถามพ่วงด้วย"
เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ประธานมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูประเทศ กล่าวผ่าน “เฟสบุ๊กไลฟ์” ตอนหนึ่งว่า ตนจะไปลงประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ตามที่ได้ตั้งสัตยาธิษฐานไว้ต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และเพื่อไม่ให้วิญญาณของผู้รักชาติรักแผ่นดินที่ได้เสียสละชีวิตในการต่อสู้ร่วมกับพี่น้องมวลมหาประชาชนนั้นเสียเปล่า ตั้งแต่เหตุการณ์แรกที่นักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง ต้องเสียชีวิตไปจนถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยก่อนที่ คสช.จะยึดอำนาจไม่กี่วัน ตนจำเหตุการณ์ทั้งหมดได้ มีคนเสียชีวิต เพราะหวังอยากให้ประเทศไทยดีขึ้นไม่ต้องอยู่ภายใต้ของอุ้งมือเผด็จการทุนสามานย์ที่ใช้เงินเป็นปัจจัยในการซื้ออำนาจรัฐเพื่อเข้ามาสร้างประโยชน์ให้แก่ตนเอง และพวกพ้อง ทุจริตคอร์รัปชั่นจนประเทศเสียหายยับเยิน ซึ่งเนื้อหาของร่างรัฐธรรมนูญฉบับนายมีชัย ฤชุพันธุ์ เป็นคำตอบว่า การต่อสู้ของมวลมหาประชาชน การเสียสละเลือดเนื้อชีวิตของวีรชนเหล่านั้น จะได้รับผลคุ้มค่าหรือไม่ วันที่ 7 สิงหาคมนี้จะได้รู้กัน แต่ไม่ว่าใครจะบิดเบือน ท้วงติง หรือแสดงพลังคัดค้านอย่างไร ตนจะยืนเคียงข้างไปกับพี่น้องมวลมหาประชาชนด้วยใจที่รำลึงถึงวีรชนที่ร่วมต่อสู้จนต้องเสียชีวิต และจะไปลงประชามติรับรัฐธรรมนูญฉบับนี้ เพราะไม่ต้องการเห็นชีวิตเลือดเนื้อของวีรชนที่เสียสละนั้นสูญเปล่า
เมื่อเวลา 01.45 น. วันที่ 31 ก.ค. 59 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่บริเวณสนามกีฬา ด้านหน้ามหาวิทยาลัยเฉลิมกาญจนาศรีสะเกษ ต.โพธิ์ อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ ดร.สุชีราภรณ์ ธุวานนท์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยเฉลิมกาญจนาศรีสะเกษ พร้อมด้วยนายพอพันธุ์ สนเจริญ กรรมการสภามหาวิทยาลัยเฉลิมกาญจนา ได้นำคณะอาจารย์และนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยเฉลิมกาญจนาทั่วประเทศ จำนวนประมาณ 2,000 คน มาร่วมกันจัดกิจกรรมปรับพฤติกรรมในการที่จะอยู่ร่วมกันในรั้วของมหาวิทยาลัยเฉลิมกาญจนา โดยมีการนำคณะอาจารย์และนักศึกษาทุกคนพากันจุดเทียนกลางดึกและแปรอักษรทำเป็นตัวภาษาอังกฤษตัว c n u ซึ่งเป็นชื่อย่อของมหาวิทยาลัยเฉลิมกาญจนา ทั้งนี้เพื่อเป็นการรณรงค์ให้บรรดานักศึกษาพร้อมด้วยพ่อแม่ ผู้ปกครองและญาติพี่น้องรวมทั้งประชาชนชาวไทยทั่วประเทศไปใช้สิทธิ์ลงประชามติในวันที่ 7 ส.ค. 59 ระหว่างเวลา 08.00 – 16.00 น. ณ หน่วยลงคะแนนที่นักศึกษามีชื่อและมีสิทธิ์ลงประชามติ
ดร.สุชีราภรณ์ ธุวานนท์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยเฉลิมกาญจนาศรีสะเกษ กล่าวว่า การนำคณะอาจารย์และนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยเฉลิมกาญจนาทั่วประเทศมาร่วมกันจัดกิจกรรมในครั้งนี้ เนื่องจากว่า เพื่อเป็นการฝึกปฏิบัติให้นักศึกษาได้มีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและฝึกความพร้อมให้กับนักศึกษาในการที่จะมาเรียนหนังสือและพักอยู่ด้วยกันในรั้วของมหาวิทยาลัย อีกทั้งขณะนี้เป็นช่วงโค้งสุดท้ายของการรณรงค์ให้ประชาชนไปใช้สิทธิ์ลงประชามติ ตนจึงได้นำคณะอาจารย์ และนักศึกษามาร่วมกันจุดเทียนกลางดึก เพื่อจะได้ให้แสงสว่างของแสงเทียนช่วยเป็นการปลุกจิตสำนึกและเป็นการรณรงค์ให้นักศึกษาและประชาชนทั่วไปได้ไปใช้สิทธิ์ลงประชามติในครั้งนี้ด้วย
ศาลทหาร รับฟ้อง แม่จ่านิว คดีความผิดมาตรา 112 ทนายประกันหอบเงินสด 5 แสน ด้านศาลอนุญาตปล่อยตัวทัณฑสถานหญิงกทม. เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม ที่ศาลทหารกรุงเทพ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า น.ส.พัฒน์นรี หรือชาญนุช ชาญกิจ (มารดานายสิรวิชญ์ หรือจ่านิว) ได้เดินทางมายังศาลทหารกรุงเทพ เพื่อรายงานตัวต่ออัยการทหาร กรณีที่อัยการทหารมีความเห็นสั่งฟ้องในคดีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคท ที่ผ่านมา แต่ทีมทนายความได้ยื่นคำร้องขอเลื่อนการส่งตัวให้อัยการทหารในวันนี้ (1 สิงหาคม) ต่อมาในเวลา 13.00 น. อัยการได้นำตัว น.ส.พัฒน์นรี ส่งฟ้องต่อศาล และ ศาลได้มีคำสั่งรับ น.ส.พัฒน์นรี ตกเป็นจำเลยต่อศาล ต่อมานายประกันได้ยื่นคำร้องขอประกันตัว น.ส.พัฒน์นรี เป็นเงินสดจำนวน 5 แสนบาท ศาลได้พิจารณาแล้วอนุญาตให้ประกันตัว โดยมีเงือนไขห้ามเดินทางออกนอกประเทศก่อนได้รับอนุญาต ห้ามยุยงปลุกปั่นหรือเคลื่อนไหวทางการเมือง โดยจะนำตัวน.ส.พัฒน์นรี ไปปล่อยที่ทัณฑสถานหญิงกทม. ในเวลา 17.00 น
สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานวันที่ 31 ก.ค. ว่า การแข่งขันกอล์ฟ เมเจอร์ รายการที่ 4 ของปี ศึกริโกห์ วีเมนส์ บริติช โอเพ่น 2016 ระยะ 6,463 หลา พาร์ 72 ชิงเงินรางวัลรวม 3,000,000 เหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 105 ล้านบาท) ที่สนาม โวเบิร์น กอล์ฟ แอนด์ คันทรี่ คลับ เมืองมิลตัน คีย์นส ประเทศอังกฤษ เป็นการประชันวงสวิงในวันสุดท้าย ไฮไลต์ประจำวันคงหนีไม่พ้นการลุ้นแชมป์เมเจอร์แรกในชีวิตของ "โปรเม" เอรียา จุฑานุกาล ก้านเหล็กสาวขวัญใจชาวไทยมือ 6 ของโลก โดยวันนี้ประคองตัวเก็บอีเวนท์พาร์ สกอร์รวม 16 อันเดอร์พาร์ 272 เอาชนะที่สองร่วม มิริม ลี โปรชาวเกาหลีใต้ และ โม มาร์ติน โปรสาวแดนมะกัน 3 สโตรก ส่งผลให้ "โปรเม" ผงาดคว้าแชมป์เมเจอร์แรกในชีวิตสำเร็จ พร้อมเงินรางวัลมหาศาล 466,653 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 16 ล้านบาท อีกทั้งยังสร้างประวัติศาสตร์เป็นโปรชาวไทยคนแรกที่คว้าแชมป์เมเจอร์ได้อีกด้วย ขณะที่ "โปรโม" โมรียา จุฑานุกาล พี่สาวของโปรเม ตีเกิน 3 โอเวอร์พาร์ในวันสุดท้ายทำให้ สกอร์รวมสี่วัน อีเวนท์พาร์ 288 จบอันดับ 43 ร่วมกับโปรกอล์ฟอีก 3 คน
หลังคว้าแชมป์ ริโคห์ วีเมนส์ บริติช โอเพ่น ที่ประเทศอังกฤษ ด้วยการสกอร์รวม 16 อันเดอร์ ทิ้งห่างอันดับ 2 ร่วมถึง 3 สโตรก เอรียา จุฑานุกาล โปรสาววัย 20 ปี ก็ทำอันดับขยับจากมือ 6 ขึ้นไปเป็นมือ 2 ของโลก อย่างเป็นทางการ ซึ่งจากการคว้าแชมป์ที่ 4 ในปี และถือเป็นเมเจอร์แรกในการเล่นอาชีพ ทาง โปรเม ได้ออกมาโพสต์ขอบคุณทุกกำลังใจ รวมถึงผู้สนับสนุนผ่านสังคมออนไลน์อย่างเฟซบุ๊ก และ อินสตาแกรม พร้อกับแคปชั่นที่แปลเป็นภาษาไทยว่าถึงความภาคภูมิใจที่เป็นตัวแทนที่ในการทำให้โลกรู้จักประเทศไทย อีกครั้ง สำหรับผลงานปี 2016 ของ โปรเม เวลานี้แข่งไปแล้ว 19 รายการ ผ่านตัดตัว 18 รายการ เป็นแชมป์ 4 รายการ ซึ่งก็เป็นรายการ แอลพีจีเอ 3 รายการติดต่อกัน เงินรางวัลสะสม 1 ล้าน 7 แสนดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ เกือบ 61 ล้านบาท ขณะที่ในปีที่แล้ว โปรเม ต้องเผชิญกับจุดตกต่ำที่สุดในชีวิตหลังจากพ่ายดวลเพลย์ออฟจนจบอันดับ 2 ร่วม ในศึก บาฮามาส แอลพีจีเอ คลาสสิก เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ รวมถึงไม่ผ่านตัดตัวถึง 10 รายการติดต่อกันในช่วงเดือนเมษายนถึงสิงหาคม
เดนเวอร์ รัฐโคโลราโด เมื่อวันที่ 31 ก.ค.นายโดนัลด์ ทรัมป์ ตัวแทนของพรรครีพับลิกันในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ กล่าวเมื่อวันเสาร์ ระหว่างเดินสายหาเสียงที่รัฐโคโลราโด ตอบโต้ข้อกล่าวหาของนายคิซร์ ข่าน ทนายความเชื้อสายมุสลิม ซึ่งบุตรชายเสียชีวิตในสงครามอิรักเมื่อปี 2004 และขึ้นกล่าวสุนทรพจน์บนเวทีการประชุมใหญ่ของพรรคโมแครตเมื่อต้นสัปดาห์นี้ ว่าทรัมป์ "ใส่ความ" ชาวมุสลิมเพื่อกระตุ้นความแตกแยกในประเทศ และไม่เคย "ทำอะไรที่เป็นประโยชน์" ให้กับสังคมอเมริกัน มหาเศรษฐีวัย 70 ปี กล่าวว่ากว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ตนต้องทำงานและทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจเป็นอย่างมาก บริษัทในเครือ "องค์กรทรัมป์" สร้างงานให้แก่ประชาชนในสหรัฐมากมายหลายหมื่นตำแหน่ง และยังมีส่วนร่วมในการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคขนาดใหญ่อีกมากมาย ดังนั้นการกล่าวหาว่าตนไม่เคยทำอะไรเพื่อบ้านเมืองเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องโดยสิ้นเชิง ก่อนเหน็บแนมว่านางฮิลลารี คลินตัน เป็นผู้ "เขียนบทพูดนี้ให้" ใช่หรือไม่ แต่ยังกล่าวเสียดสีนางกาซาลา ข่าน ว่าได้ขึ้นเวทีการประชุมใหญ่ร่วมกับสามีแต่เธอกลับไม่ได้รับโอกาสให้เอ่ยแม้แต่คำเดียว ด้านนายทิม เคน ผู้สมัครชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดีของพรรคเดโมแครต ออกมาวิจารณ์ทรัมป์อย่างหนักว่าไม่มีความเข้าใจและเอาใจใส่ต่ออารมณ์ของเพื่อนที่อยู่ร่วมในสังคมเดียวกัน สะท้อนให้เหตุว่าทรัมป์ยังไม่มีความพร้อมด้านวุฒิภาวะทางอารมณ์ ซึ่งเป็นหนึ่งในคุณสมบัติสำคัญของการเป็นผู้นำประเทศ ทั้งนี้ คลินตันและเคนใช้เวลาในช่วงสุดสัปดาห์เดินสายหาเสียงในรัฐเพนซิลเวเนียและรัฐโอไฮโอ โดยเน้นการขายนโยบายด้านเศรษฐกิจ แต่สาระสำคัญในถ้อยแถลงของทั้งสองคนกลับกลายเป็นการโจมตีประวัติการทำงานด้านธุรกิจของทรัมป์และครอบครัวเสียเป็นส่วนใหญ่ ขณะที่ผลสำรวจความคิดเห็นชาวอเมริกันโดยสำนักวิจัยหลายแห่งทั่วประเทศในสัปดาห์นี้ ได้ค่าเฉลี่ยว่าคลินตันมีคะแนนนิยมนำเหนือทรัปม์เพียง 0.4 เท่านั้น โดยอยู่ที่ 43.7 ต่อ 43.3
© 2011 - 2026 Thai LA Newspaper 1100 North Main St, Los Angeles, CA 90012