ข่าว
'ลอนดอน'ไม่ปลอดภัยอีกต่อไป! 'คนไทย'เตือนภัยโจรใช้วัตถุคล้ายระเบิดทุบกระจกรถก่อนฉกทรัพย์

วันศุกร์ ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2568,จากกรณีที่มีข่าวการทำร้ายนักท่องเที่ยวบริเวณหน้าโรงแรมหรู Park Tower ที่อยู่ใกล้กับห้างแฮร์รอดส์ โดยกลุ่มชายฉกรรจ์พยายามกระชากแขนผู้ตายเพื่อนที่จะชิงนาฬิกาหรู ยี่ห้อ โรเล็กซ์เรือนทอง จากข้อมือของผู้ตาย ซึ่งผู้ตายได้ต่อสู้กับคนร้ายจนเป็นเหตุให้โดนแทงจนถึงแก่ชีวิต ซึ่งหลังจากฆ่าชิงทรัพย์ไปได้แล้วก็ขี่สกูตเตอร์ไฟฟ้าหลบหนีไปและยังไม่มีรายงานการจับกุมคนร้ายได้เลย

ล่าสุดผู้ใช้อินสตาแกรม '@attukvip' ได้ออกมาโพสต์คลิปเตือนภัย หลังเหตุการณ์ที่คนร้ายทุบรถที่จอดอยู่บริเวณห้างสรรพสินค้า Harvey Nicholsและคนร้ายได้ขโมยกระเป๋าไปได้ 1 ใบ เหตุเกิดเมื่อวันที่ 16 ก.ค. ที่ผ่านมา โดยเขาได้ระบุแคปชั่นว่า "โจรทุบกระจกรถในย่าน Harvey Nichols เวลาประมาณ 16.30 น. ใช้ของเล็กๆ ในมือ คล้ายระเบิด ขว้างใส่กระจกจนแตกละเอียด แล้วขโมยกระเป๋าจากในรถไป 1 ใบ ไม่มีของมีค่าอยู่ในกระเป๋าใบนั้น โจรสวมเสื้อแจ็คเก็ต Canada Good และถือกระเป๋าแบรนด์เนม ลอนดอนไม่ปลอดภัยอีกต่อไปแล้ว #carsmash #londondangerous #ukcrime"

ในคลิปวิดีโอจะเห็นผู้ก่อเหตุเดินเข้ามาใกล้ๆ รถ แล้วมีช่วงหนึ่งเหมือนจะเดินกลับไป ก่อนที่จะเดินกลับมาที่รถอีกครั้ง โดยในมือมีวัตถุเล็กๆ ก่อนจะปาใส่กระจกรถแค่ครั้งเดียวก็ทำให้กระจกแตกจนกระเด็น แล้วหยิบกระเป๋าในรถไป

ขอบคุณข้อมูล-ภาพ : @attukvip (Attukcab Thaiukcab)

“ผู้นำแซมบา”กร้าวใส่“ทรัมป์”! ไม่ยอมให้สหรัฐฯเข้ามาจุ้นในบราซิล

ศึกภาษีทรัมป์ลามสัมพันธ์ตึงเครียดสหรัฐฯ-บราซิล หลังประธานาธิบดีแซมบากร้าวใส่ ซัดอย่ามายุ่งกิจการภายใน

เมื่อวันที่ 18 ก.ค.68 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ประธานาธิบดีลูอิซ อินาซิโอ ลูลา ดา ซิลวา ผู้นำบราซิล แถลงด้วยท่าทีแข็งกร้าวว่า บราซิลจะไม่อดทนต่อการแทรกแซงกิจการภายในจากชาติใดๆ

รายงานข่าวแจ้งว่า ถ้อยแถลงข้างต้น มีขึ้นท่ามกลางความสัมพันธ์อันตึงเครียดระหว่างบราซิลกับสหรัฐฯ จากกรณีพิพาทเรื่องการตั้งกำแพงภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ ซึ่งบราซิลจะถูกจัดเก็บภาษีสินค้าส่งออกไปยังสหรัฐฯ ด้วยจำนวนมากถึงร้อยละ 50

พร้อมกันนี้ ประธานาธิบดีบราซิล ยังระบุด้วยว่า บราซิลมีเอกราชเป็นของตนเอง ไม่มีต่างชาติหน้าไหน จะมาสั่งประธานาธิบดีของประเทศนี้ได้ โดยเจ้านายของประธานาธิบดีมีเพียงคนเดียว คือ ประชาชนชาวบราซิล ทั้งนี้ ทางบราซิลจะดำเนินมาตรการตอบโต้สหรัฐฯ ด้วยวิถีทางแห่งอารยะและประชาธิปไตย


ช็อก! สาวรื้อรถหาหูฟังที่หล่นหาย แต่กลับเจออุปกรณ์สะกดรอย 4 ชิ้นซ่อนอยู่โดยไม่รู้ตัว

หญิงสาวจากเนแบรสกาต้องตกใจอย่างมากเมื่อเธอพบว่ามีผู้แอบติดตั้งอุปกรณ์ติดตามตำแหน่งในรถของเธอถึง 4 ชิ้นโดยที่เธอไม่รู้ตัว

เมื่อไม่นานมานี้ หญิงสาวนิรนามคนหนึ่งจากรัฐเนแบรสกาเผยประสบการณ์ที่รบกวนจิตใจเธออย่างมากต่อทีมสืบสวน First Alert 6 ของสำนักข่าวท้องถิ่น WOWT แห่งเมืองโอมาฮา รัฐเนแบรสกา

เธอเล่าว่า มีอยู่วันหนึ่ง ขณะที่กำลังค้นหาหูฟังแอร์พอดส์ซึ่งเธอทำหล่นหายอยู่ภายในตัวรถของเธอเอง ตรงจุดระหว่างเบาะนั่งกับที่พักแขน สิ่งที่เธอพบกลับไม่ใช่หูฟัง แต่เป็นอุปกรณ์ติดตามตำแหน่งที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อนและไม่ได้เป็นคนติดตั้งเอาไว้

“ฉันกลัวที่จะออกจากบ้านและพาสุนัขออกไปเดินเล่น เพราะฉันไม่รู้ว่า ‘เขา’ จะซุ่มอยู่ที่นั่นไหม หรือเขาจะทำอะไรหรือเปล่า” เหยื่อสาวเล่าถึงความรู้สึกของเธอ

หลังจากนั้น เธอลองใช้อุปกรณ์ส่องกล้องของช่างประปาและอุปกรณ์ตรวจจับเครื่องติดตามตำแหน่งหรือเครื่องสะกดรอย ลองตรวจสอบบริเวณใต้ท้องรถของเธอ ผลที่ได้ยิ่งน่าขนลุกมากขึ้นไปอีก เมื่อเธอเจออุปกรณ์ติดตามตำแหน่งถึง 4 ชิ้นที่ติดตั้งแยกกัน โดยแต่ละชิ้นซ่อนอยู่ในที่ใส่กุญแจติดแม่เหล็กและติดตั้งไว้อย่างแนบเนียนที่ใต้ท้องรถของเธอ

แม้จะมีผู้ต้องสงสัยอยู่ในใจ แต่การค้นพบอุปกรณ์สะกดรอยทั้ง 4 ชิ้นไม่เพียงพอที่จะใช้เป็นหลักฐานยืนยันว่าอดีตแฟนของเหยื่อสาวเกี่ยวข้องด้วย กฎหมายว่าด้วยการสะกดรอยทางอิเล็กทรอนิกส์ของเนแบรสกายังไม่ได้คุ้มครองเหยื่ออย่างเต็มรูปแบบ ไม่มีการห้ามการใช้อุปกรณ์ติดตามโดยไม่ได้รับความยินยอมอย่างชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออุปกรณ์เหล่านั้นถูกซ่อนอยู่ในยานพาหนะหรือทรัพย์สินส่วนตัวของบุคคล

ลีห์แอนดรา แฮซเลตต์ รองอัยการเขตซาร์ปีเคาน์ตีกล่าวกับทีมข่าวสืบสวน First Alert 6 ว่า “ปัญหาของกฎหมายคือไม่มีข้อห้ามไม่ให้บุคคลใช้แอร์แท็กหรืออุปกรณ์อื่น ๆ เพื่อติดตามบุคคลอื่นโดยไม่ได้รับความยินยอม”

ส่วนคำจำกัดความของการสะกดรอยตามกฎหมายเนแบรสกานั้นคือ “บุคคลใดก็ตามที่จงใจก่อกวนบุคคลอื่น หรือสมาชิกในครอบครัวหรือครัวเรือนของบุคคลดังกล่าวด้วยเจตนาที่จะทำร้าย ทำให้ตกใจ คุกคาม หรือข่มขู่ ถือเป็นการกระทำความผิดฐานสะกดรอยตาม”

ซึ่งในกรณีของหญิงสาวผู้นี้ การกระทำของผู้สะกดรอยยังไม่ครบองค์ประกอบการกระทำผิดตามกฎหมาย หญิงสาวที่ตกเป็นเหยื่อและ สงสัยว่าอดีตแฟนที่ชอบใช้ความรุนแรงกำลังแอบติดตามเธออยู่ กำลังเรียกร้องให้ผู้ร่างกฎหมายปิดช่องว่างในการสะกดรอยทางดิจิทัลด้วย

สำหรับข้อควรปฏิบัติเมื่อพบว่าตัวเองโดนบุคคลอื่นแอบสะกดรอยด้วยอุปกรณ์ติดตามตำแหน่ง นอกเหนือจากใช้แอปตรวจจับอุปกรณ์แล้ว ควรติดตั้งกล้องติดหน้ารถและกล้องมองหลังเพื่อบันทึกภาพกิจกรรมที่น่าสงสัย

จุดที่ควรตรวจสอบเมื่อสงสัยว่าโดนติดตั้งอุปกรณ์สะกดรอย ได้แก่ ใต้ซุ้มล้อ กันชน ป้ายทะเบียน นอกจากนี้การใช้แอปสแกนการเชื่อมต่อบลูทูธยังช่วยตรวจจับอุปกรณ์ที่น่าสงสัยหรือไม่รู้จักในบริเวณใกล้เคียงได้

หากพบอุปกรณ์สะกดรอยที่ไม่รู้จัก อย่าถอดออกทันที ให้ติดต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจก่อน เพื่อจะได้บันทึกการพบเห็นไว้เป็น

ขั้นตอนเชิงรุกเหล่านี้ช่วยให้เจ้าหน้าที่สืบสวนรวบรวมข้อมูลเพียงพอที่จะจับกุมตัวไมเคิล โฮเออร์แมน วัย 48 ปี ว่าเป็นผู้ต้องสงสัยติดตั้งอุปกรณ์สะกดรอยเหยื่อสาวนิรนาม ซึ่งต่อมาเขาก็รับสารภาพต่อข้อหาลักลอบติดตามบุคคลอื่นโดยไม่ได้รับความยินยอม มีความผิดทั้งคดีอาญาและคดีลหุโทษ รวมถึงการละเมิดคำสั่งคุ้มครองเหยื่อ ขณะนี้เขาโดนคุมขังโดยมีวงเงินประกันตัว 50,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.6 ล้านบาท) และมีกำหนดตัดสินโทษในต้นเดือนกันยายนที่จะถึงนี้

ที่มา : moneywise.com

เครดิตภาพ : GETTY IMAGES...


โนหนึ่งโลก! 'จีน'ผงาดค้นพบแร่แรร์เอิร์ธชนิดใหม่ที่ใหญ่ที่สุดในโลกในมองโกเลีย

วันศุกร์ ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2568,สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ทีมนักธรณีวิทยาจีนค้นพบแหล่งแร่ธาตุหายากหรือแร่แรร์เอิร์ธ (rare-earth) ขนาดใหญ่ที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน ในเขตปกครองตนเองมองโกเลียในทางตอนเหนือของจีน

สมาคมแร่วิทยาระหว่างประเทศตั้งชื่อแร่แรร์เอิร์ธชนิดนี้อย่างเป็นทางการว่า Huanghoite-(Nd) เป็นแร่คาร์บอเนตชนิดใหม่ที่มีนีโอไดเมียมเป็นส่วนประกอบหลัก ซึ่งเป็น “โลหะแม่เหล็ก” ที่ใช้ในการผลิตมอเตอร์ยานยนต์ไฟฟ้าและกังหันลมนอกชายฝั่ง

นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยธรณีวิทยาแห่งประเทศจีน (อู่ฮั่น) และสถาบันสำรวจธรณีวิทยาแห่งมองโกเลียใน ค้นพบแหล่งแร่แรร์เอิร์ธดังกล่าวในพื้นที่หลักของแหล่งแร่ไป๋อวิ๋นเอ้อโป๋ (Bayan Obo) ช่วงกลาง ซึ่งเป็นเหมืองแร่แรร์เอิร์ธขนาดใหญ่ที่สุดในโลก

หัวหน้าทีมนักธรณีวิทยากล่าวว่าการค้นพบครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงธรณีเคมีที่ซับซ้อนและความหลากหลายของทรัพยากรภายในแหล่งแร่แห่งนี้

สภาคองเกรสอนุมัติทรัมป์ตัดงบช่วยเหลือต่างประเทศและสื่อสาธารณะ 9,000 ล้าน

18 กรกฎาคม 2568 พรรครีพับลิกันสหรัฐฯ ได้อนุมัติแผนของประธานาธิบดีที่ต้องการยกเลิกงบประมาณ 9,000 ล้านดอลลาร์ สำหรับความช่วยเหลือต่างประเทศและการกระจายเสียงสาธารณะ ในความพยายามลดงบประมาณของรัฐบาลกลาง

เอเอฟพีรายงาน เมื่อวันศุกร์ที่ 18 กรกฎาคม 2568 กล่าวว่า สภาคองเกรสสหรัฐฯ ซึ่งพรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมากได้อนุมัติแผนของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่จะยกเลิกงบประมาณ 9,000 ล้านดอลลาร์สำหรับความช่วยเหลือต่างประเทศและการกระจายเสียงสาธารณะ โดยให้คำมั่นว่านี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของความพยายามในวงกว้างเพื่อลดงบประมาณของรัฐบาลกลาง

การตัดลดงบประมาณครั้งนี้ได้ผลเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งของเงินออมต่อปี 1 ล้านล้านดอลลาร์ที่อีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีด้านเทคโนโลยีและผู้บริจาคเงินให้ทรัมป์ เคยให้คำมั่นสัญญาไว้ ก่อนที่เขาจะลาออกจากตำแหน่งผู้นำในการลดต้นทุนของรัฐบาลกลางอย่างดุเดือดเมื่อเดือนพฤษภาคม

แต่พรรครีพับลิกันซึ่งเพิ่งผ่านร่างกฎหมายนโยบายภายในประเทศที่คาดว่าจะเพิ่มหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ มากกว่า 3 ล้านล้านดอลลาร์ กล่าวว่าการลงคะแนนเสียงครั้งนี้เป็นการให้เกียรติคำมั่นสัญญาของทรัมป์ช่วงการหาเสียงเลือกตั้งที่มุ่งควบคุมรายจ่ายที่พุ่งสูง

"ประธานาธิบดีทรัมป์และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรครีพับลิกันสัญญาว่าจะรับผิดชอบด้านการคลังและประสิทธิภาพของรัฐบาล และวันนี้ เรากลับมาทำตามสัญญาอีกครั้ง" ไมค์ จอห์นสัน ประธานสภาผู้แทนราษฎรกล่าวในแถลงการณ์หลังการลงคะแนนเสียง

ทั้งนี้ สภาทั้งสองอยู่ภายใต้การควบคุมของพรรครีพับลิกัน ซึ่งหมายความว่าคะแนนเสียง 216 ต่อ 213 เสียงของสภาผู้แทนราษฎรที่ส่วนใหญ่เป็นไปในแนวทางของพรรคการเมือง ก็เพียงพอที่จะอนุมัติมาตรการที่ผ่านการเห็นชอบของวุฒิสภามาแล้ว

ขณะนี้ร่างกฎหมายกำลังถูกส่งไปยังทำเนียบขาวเพื่อลงนามโดยทรัมป์ ซึ่งเขาได้ยกย่องผู้สนับสนุนของเขาในสภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า "พรรครีพับลิกันพยายามทำแบบนี้มา 40 ปีแล้ว แต่ก็ล้มเหลว จนกระทั่งครั้งนี้ที่สำเร็จ ซึ่งนี่ถือเป็นเรื่องใหญ่มาก!!!"

การตัดงบประมาณส่วนใหญ่มุ่งเป้าไปที่โครงการต่างๆ ของประเทศที่ได้รับผลกระทบจากโรคระบาด, สงคราม และภัยพิบัติทางธรรมชาติ แต่การเคลื่อนไหวนี้ยังทำให้งบประมาณ 1,100 ล้านดอลลาร์ที่องค์กรกระจายเสียงสาธารณะ (Corporate for Public Broadcasting) จะได้รับในอีกสองปีข้างหน้าต้องถูกยกเลิกไปด้วย

กลุ่มอนุรักษนิยมกล่าวว่าเงินทุนนี้ซึ่งส่วนใหญ่มอบให้กับสถานีวิทยุและโทรทัศน์สาธารณะท้องถิ่นกว่า 1,500 แห่ง รวมถึงสถานีโทรทัศน์สาธารณะอย่าง NPR และ PBS นั้นไม่จำเป็นและเป็นการให้ทุนสนับสนุนการรายงานข่าวที่ลำเอียง

เดิมทีร่างกฎหมายฉบับนี้มีการตัดงบประมาณ 400 ล้านดอลลาร์สำหรับโครงการโรคเอดส์ทั่วโลกซึ่งได้รับการยกย่องว่าช่วยชีวิตผู้คนได้ 26 ล้านคน แต่เงินทุนนี้กลับได้รับการช่วยเหลือจากการก่อกบฏของพรรครีพับลิกันสายกลาง

การลงคะแนนเสียงครั้งนี้ถือเป็นชัยชนะของทรัมป์และกลุ่มผู้สนับสนุนการคลังที่ต้องการสนับสนุนภารกิจของหน่วยงานที่เรียกว่า กระทรวงประสิทธิภาพรัฐบาล (Department of Government Efficiency - DOGE) ซึ่งมัสก์เป็นผู้ริเริ่มขึ้นในขณะที่ทรัมป์ก้าวขึ้นสู่อำนาจ เพื่อการประหยัดงบประมาณอย่างมหาศาล

สภาคองเกรสได้อนุมัติเงินที่ถูกเรียกคืนไปแล้ว และพรรคเดโมแครตมองว่าร่างกฎหมายฉบับนี้เป็นการทรยศต่อกระบวนการจัดสรรงบประมาณของรัฐบาลที่ทั้งสองฝ่ายร่วมมือกัน

พวกเขากังวลว่าชัยชนะของทรัมป์จะเปิดทางให้มี "แพ็คเกจยกเลิกงบประมาณ" เพิ่มเติมเพื่อยกเลิกการใช้จ่ายที่ตกลงกันไว้

"แทนที่จะปกป้องสุขภาพ, ความปลอดภัย และความเป็นอยู่ที่ดีของชาวอเมริกัน สมาชิกพรรครีพับลิกันในสภาผู้แทนราษฎรกลับเห็นดีเห็นงามกับกฎหมายยกเลิกงบประมาณที่รุนแรงและไร้ความรอบคอบของโดนัลด์ ทรัมป์อีกครั้ง" ฮาคีม เจฟฟรีส์ ผู้นำเสียงข้างน้อยในสภาผู้แทนราษฎร กล่าวในแถลงการณ์ร่วมกับสมาชิกพรรคเดโมแครตระดับสูงคนอื่นๆ

พรรครีพับลิกันต้องการคะแนนเสียงจากพรรคเดโมแครตเพื่อให้รัฐบาลยังคงได้รับงบประมาณต่อไปหลังจากเดือนกันยายน และพรรคเสียงข้างน้อยก็ขู่ว่าจะยกเลิกแผนความร่วมมือใดๆ หากนโยบายการตัดงบประมาณของ DOGE เกิดขึ้นอีก

เจฟฟรีส์และเพื่อนสมาชิกพรรคเดโมแครตดูเหมือนจะเสนอแนะทำนองเดียวกันในวันศุกร์

"การลงคะแนนเสียงคืนนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าสมาชิกพรรครีพับลิกันในสภาผู้แทนราษฎรมุ่งมั่นที่จะนำพาประเทศนี้ไปสู่ภาวะชัตดาวน์ของรัฐบาลที่เจ็บปวดในช่วงปลายปี" พวกเขากล่าวในแถลงการณ์

แม้ว่าพวกเขาจะอยู่ในกลุ่มเสียงข้างน้อย แต่พรรคเดโมแครตก็มีอำนาจต่อรองในการต่อสู้เพื่อระดมทุน เพราะข้อตกลงงบประมาณจะต้องได้รับคะแนนเสียงอย่างน้อย 60 เสียงจากสมาชิกวุฒิสภา 100 คน และพรรครีพับลิกันมีที่นั่งเพียง 53 ที่นั่งเท่านั้นแม้เป็นเสียงข้างมาก

ชัค ชูเมอร์ ผู้นำเสียงข้างน้อยในวุฒิสภา เรียกวันนี้ว่า วันอันมืดมนสำหรับชาวอเมริกันทุกคนที่ต้องพึ่งพาการออกอากาศสาธารณะในช่วงน้ำท่วม, พายุเฮอริเคน, พายุทอร์นาโด และภัยพิบัติอื่นๆ

รัสเซลล์ วอทท์ หัวหน้าฝ่ายงบประมาณทำเนียบขาว กล่าวเมื่อวันพฤหัสบดีว่า รัฐบาลมีแนวโน้มที่จะส่งแพ็คเกจยกเลิกงบประมาณอีกชุดหนึ่งไปยังสภาคองเกรสเร็วๆนี้.