“ทักษิณ” ให้คะแนนรัฐบาล “ยิ่งลักษณ์” ฉลุยผลงาน 1 ปี แนะให้อดทนไม่สร้างความขัดแย้ง การปฏิวัติเกิดขึ้นได้ตลอด ยันโครงการรับจำนำข้าวโปร่งใส
วันนี้ ( 31 ส.ค.) พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์วอยซ์ ทีวี ว่า ให้คะแนนการทำงานรัฐบาล 1 ปีที่ผ่านมา อยู่ที่ร้อยละ 60 - 70 เพราะรัฐบาลต้องทุ่มเทในเรื่องน้ำท่วม จนทำให้อีกหลายเรื่องต้องสะดุด พร้อมกันนี้ยังชม น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ว่า เก่งกว่าที่คิดไว้ ทุ่มเทและคล่องตัวขึ้นมาก รวมทั้งยังมีภาวะผู้นำ ไม่ใช่ Public Prime Minister ของใคร ซึ่งที่ผ่านมายอมรับว่ามีการเชื่อมโยงข้อมูลกับนายกรัฐมนตรีบ้าง เรื่องตัวบุคคลที่จะปรับคณะรัฐมนตรี ซึ่งนายกรัฐมนตรีจะสอบถามมาบางครั้ง แต่ไม่เคยเถียงหรือขัดแย้งกัน เพราะนายกรัฐมนตรี มีอิสระที่จะเลือก จากนี้ต่อไปเชื่อว่ารัฐบาลจะต้องทำงานหนักขึ้น เพราะยังมีรัฐธรรมนูญที่จ้องล้มรัฐบาล นอกจากนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังแนะนำให้รัฐบาลอดทน ทั้งการแก้ไขรัฐธรรมนูญและร่างพระราชบัญญัติปรองดอง ที่แม้จะเห็นว่าศาลรัฐธรรมนูญทำไม่ถูกนัก แต่รัฐบาลก็ควรต้องอดทนเพื่อไม่สร้างความขัดแย้ง ซึ่งมีผู้กล่าวไว้ว่า การปฏิวัติยังเกิดขึ้นได้ตลอด แต่เห็นว่าทำไปก็ไม่คุ้ม และไม่อยากให้เกิดขึ้น
พ.ต.ท.ทักษิณ ยังกล่าวยืนยันว่า โครงการจำนำข้าวไม่ได้มีการทุจริต และกล้ายืนยันว่า การจำนำข้าวดีกว่าการประกันราคา แต่ถ้าพบว่า โครงการทุจริต ให้รัฐบาลลงโทษได้เลย ส่วนราคาข้าวที่สูงขึ้นในตลาดโลกนั้น จะเป็นผลดี ทำให้คนมาซื้อข้าวที่ไทย เพราะทราบว่าไทยมีสต๊อกข้าว ซึ่งรัฐบาลไม่ได้แกล้งผู้ส่งออก แต่แค่ให้ปรับตัวและช่วยเกษตรกรเท่านั้น เช่นเดียวกับนโยบายรถคันแรกและบ้านหลังแรกที่จำเป็นต้องทำ เพราะปัจจัย 4 เปลี่ยนไป ส่วนการปรับค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท และเงินเดือนปริญญาตรี 15,000 บาทนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ แนะนำว่า เอกชนควรเปลี่ยนวิธีคิด และปรับกลยุทธ์มากกว่าโจมตีรัฐบาล พร้อมปฏิเสธว่า โครงการกองทุนต่างๆ เป็นการสร้างหนี้แต่ยืนยันว่า เป็นการสร้างโอกาส.
"พล.ต.ท.จรัมพร" แถลงข่าวจับมือยิง "ฟารุต ไทยเศรษฐ์" ยันกระบะวีโก้เป็นรถที่ใช้ก่อเหตุจริง พบรอยถูกกระสุนปืน 7 รู ด้านวิศวกรปืนโหดย้ำลงมือเพียงคนเดียว ขอโทษ "ชาดา" ไม่ตั้งใจก่อเหตุ เพียงแต่ป้องกันตัวเท่านั้น ด้าน ตร.คุมตัวทำแผนฯ...
หลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ควบคุมตัวผู้ต้องหาฆ่า นายฟารุต ไทยเศรษฐ์ อายุ 27 ปี บุตรชายนายชาดา ไทยเศรษฐ์ ส.ส.อุทัยธานี พรรคชาติไทยพัฒนา คือ นายมั่น พูลทรัพย์ อายุ 41 ปี อยู่บ้านเลขที่ 55 หมู่ 6 ต.ปากช่อง อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา วิศวกรรับเหมาก่อสร้างรีสอร์ตทอสคาน่า วัลเล่ย์ ต.โป่งตาลอย อ.ปากช่อง ซึ่งให้การว่า ขณะขับรถกลับบ้านพักเพียงลำพัง ถูกรถของผู้ตายกะพริบไฟไล่ และขับปาดหน้ากันไปมา จึงเปิดไฟสูงใส่ จากนั้นถูกคู่กรณีเปิดฉากยิงปืนใส่ก่อน จึงใช้ปืนยิงสวนไป โดยไม่ทราบว่าถูกคู่กรณีเสียชีวิตนั้น
เมื่อวันที่ 31 ส.ค. พล.ต.ท.จรัมพร สุระมณี ผช.ผบ.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.ท.ภาณุ เกิดลาภผล ผบช.ภ.3 พล.ต.ต.องอาจ ผิวเรืองนนท์ ผบก.ภ.จว.นครราชสีมา พ.ต.อ.วชิรวิชญ์ กฤษณ์ฤทธิศักดิ์ รองผบก.ภ.จว.นครราชสีมา พ.ต.อ.ภาณุ บุรณศิริ รองผบก.สส.ภ.3 ร่วมกันแถลงข่าวการจับกุมตัว นายมั่น พูลทรัพย์ อายุ 41 ปี วิศวกรรับเหมาก่อสร้างใน อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ผู้ต้องหาฆ่านายฟารุต ไทยเศรษฐ์ บุตรชายนายชาดา ส.ส.อุทัยธานี พรรคชาติไทยพัฒนา
พล.ต.ท.จรัมพร กล่าวว่า นายมั่นให้การยืนยันว่าลงมือเพียงลำพัง สาเหตุเกิดจากถูกรถของนายฟารุตกะพริบไฟไล่ จึงเปิดไฟสูงใส่ก่อนถูกอีกฝ่ายเปิดฉากยิงใส่ จึงใช้ปืนพกขนาด 9 มม.ยิงสวนไป 3 นัด โดยไม่ทราบว่าถูกคู่กรณีเสียชีวิต ก่อนขับรถไปหลบซ่อนตัวอยู่ที่บ้านเกิดใน จ.ราชบุรี จากนั้นนำรถไปซ่อมแซมปกปิดร่องรอย เพิ่งมารู้ว่าคู่กรณีเป็นลูกนักการเมืองระดับประเทศ เกรงจะไม่ปลอดภัย กระทั่งถูกแรงกดดันจากหลายฝ่าย จึงตัดสินใจเข้ามอบตัวกับ พ.ต.อ.ภาณุ บุรณศิริ รอง ผบก.สส.ภ.3
สำหรับรถกระบะโตโยต้า วีโก้ ทะเบียน ตฮ 1528 กรุงเทพมหานคร ของนายมั่นนั้น พล.ต.ท.จรัมพร ระบุว่าเป็นรถคันที่ใช้ก่อเหตุจริง จากการตรวจสอบพบรอยกระสุนปืนทั้งหมด 7 รู ได้แก่ บริเวณล้อหน้าขวา กันชนหน้า คอนโซลหน้ารถ กระบะท้ายรถทะลุเบาะหลังด้านคนขับ และด้านท้ายรถ ซึ่งหลังเกิดเหตุนายมั่นได้ตบแต่งลบร่องรอยกระสุนปืน แต่ยังมีหลักฐานหลงเหลืออยู่
ทั้งนี้ นายมั่นยืนยันว่าลงมือเพียงคนเดียว พร้อมกราบขอโทษนายชาดาว่าเหตุที่เกิดขึ้นไม่ได้ตั้งใจ เพียงแต่ป้องกันตัวเท่านั้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.ต.ท.ภาณุ ผบช.ภ.3 ได้ตั้งข้อหานายมั่นฆ่าคนตายโดยเจตนา และตั้งข้อหาฝั่งของนายฟารุตพยายามฆ่า ซึ่งจะต้องมีการสอบสวนต่อไป พร้อมกับคุมตัวนายมั่นไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพที่จุดเกิดเหตุ ใน ต.หมูสี อ.ปากช่อง.
"ยิ่งลักษณ์" การันตีกับอเมริกา ไทยจะรักษาเสถียรภาพการเมือง ลั่นจะสร้างความโปร่งใส-หยุดปัญหาคอร์รัปชั่น แย้มจะดันอเมริกาเป็นคู่ค้าจากลำดับที่สามเป็นอันดับหนึ่ง ปธ.หอการค้าอเมริกัน เผย 700 บริษัทอเมริกันเตรียมลงทุนไทยในสิ้นปีนี้
เมื่อเวลา 18.50 น. วันที่ 31 ส.ค. น.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวตอนหนึ่งในงานเลี้ยงอาหารค่ำขอบคุณรัฐบาลไทยซึ่งจัดโดยหอการค้าอเมริกันในประเทศไทย ที่โรงแรมแกรนด์ไฮแอทเอราวัณว่า ปัจจุบันสหรัฐอเมริกาเป็นคู่ค้าและลงทุนในไทยเป็นลำดับที่ 3 และทราบว่าจะไม่เป็นอันดับสามต่อไป และจะทำให้เป็นอันดับหนึ่งให้ได้หวังว่าตัวเลขนี้จะพุ่งขึ้นเร็วๆนี้หากเราทำงานร่วมกัน
ทั้งนี้นายกรัฐมนตรีกล่าวย้ำถึงความแข็งแกร่งของประเทศไทยภายหลังจากอุทกภัยใหญ่เมื่อปีที่แล้ว พร้อมกับชี้แจงแนวทางการป้องกันอุทกภัยโดยมีการจัดนิทรรศการที่เซ็นทรัลลาดพร้าวและขอเชิญชวนไปชมงานได้ พร้อมกันนี้นายกฯยังกล่าวถึงแนวทางการเตรียมพร้อมประเทศไทยเข้าสู่ประชาคมอาเซียนว่ามีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในการเชื่อมโยงการขนส่ง-โลจิสติกกับชาติสมาชิกอาเซียนด้วยโครงการต่างๆ และย้ำว่าอาเซียนเป็นตลาดที่น่าลงทุนในอนาคต ทั้งนี้ไทยได้เปรียบเรื่องเข้มแข็งหลายด้านที่จะมีการเสริมความเข้มแข็งอีก
นายกฯ ยังกล่าวอีกว่า อยากจะเน้นว่ารัฐบาลรับประกันการมีเสถียรภาพทางการเมือง โดยจะสร้างหลักนิติธรรม มีความโปร่งใส และตนจะยุติปัญหาคอร์รัปชั่น เสริมประสิทธิภาพในการบริหารงานในระบบราชการ พร้อมเปิดโอกาสให้ธุรกิจต่างๆประสบความสำเร็จในการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน และมีความรับผิดชอบต่อสังคม
ทั้งนี้ผู้สนับสนุนในงานเลี้ยงดังกล่าวนั้นเป็นบริษัทสัญชาติอเมริกัน อาทิ Fedex , GM , Cocacola , Chevron , CITI , Ford ,Philip Morrisฯ
นายโจ แมนนิช ประธานหอการค้าอเมริกันในประเทศไทย กล่าวว่า ในปีที่ผ่านมารัฐบาลเริ่มทำงานภายใต้สภาวะที่ยากลำบาก เนื่องจากเกิดปัญหาอุทกภัย ซึ่งสร้างความเสียหาย และความทุกข์ใจเป็นอย่างมาก แต่ประเทศไทยภายใต้ภาวะการนำของนายกรัฐมนตรีที่เข้มแข็ง สามารถทำให้ประเทศไทยฟื้นฟูได้อย่างแข็งแกร่ง ทั้งที่ประสบปัญหาอุทกภัยในปี 2554 แต่จีดีพีของประเทศในปี 2555 กลับได้รับการคาดว่าจะเติบโตในอัตราร้อยละ 5 ซึ่งพอกับการเติบโตของประเทศเพื่อนบ้าน
ประธานหอการค้าอเมริกันฯ กล่าวว่า การผลิตรถยนต์ในไทยมีแผนจะไปถึง 2 ล้านคัน ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดในประวัติการ และคาดว่าในปี 2555 จะมีนักท่องเที่ยวมากกว่า 20 ล้านคน เข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย ซึ่งความสามารถในการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศไทย เป็นเหตุผลหลักที่บริษัทอเมริกัน ยังคงถือว่าประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศ ที่หน้าลงทุนอันดับต้นๆ ของโลก
“แม้ว่าความท้าทายยังจะมีอยู่ แต่เสถียรภาพทางการเมืองก็กำลังกลับมา ซึ่งเป็นสัญญาณการสนับสนุนอีกประการหนึ่ง ที่บริษัทอเมริกัน พิจารณามาลงทุนในประเทศไทย และผลสำรวจภาพรวมธุรกิจอาเซียน ทางหอการค้าอเมริกันยังถือว่าอาเซียนยังเป็นตลาดเศรษฐกิจร่วม และเป็นผู้ส่งสินค้ามายังสหรัฐ ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 5 และผลสำรวจชี้ให้เห็นว่าประเทศไทย กำลังถูกท้าทายจากประเทศเพื่อนบ้าน ในแง่ของการเป็นการลงทุนที่หน้าสนใจของภูมิภาค” ประธานหอการค้าอเมริกัน กล่าว
นายแมนนิช กล่าวว่า บริษัทสมาชิกหอการค้าอเมริกัน ยังมีความมุ่งมั่นที่จะลงทุนในไทย โดยผลสำรวจพบว่า ร้อยละ 65 ของบริษัทสมาชิก วางแผนจะขยายการลงทุนในไทย ไปจนถึงปีหน้า และภายในสิ้นปี 2555 มีกว่า 700 บริษัท จะมีการลงทุนรวมกัน มากกว่า 4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ และจะมีการจ้างงานที่มีค่าตอบแทนที่น่าสนใจให้กับคนไทยกว่า 2.5 แสนคน ดังนั้นหอการค้าอเมริกันยืนยันว่า ยินดีที่จะร่วมกับรัฐบาลไทย คนไทย สร้างสภาพแวดล้อมให้ไทยยังคงเป็นประเทศที่น่าทำธุรกิจมากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
© 2011 - 2026 Thai LA Newspaper 1100 North Main St, Los Angeles, CA 90012