ข่าว
เจออีก‘หีบเหล็ก-กระดูกมนุษย์ ใต้บ่อน้ำบ้าน‘ไอซ์ หีบเหล็ก’

23 มกราคม 2563 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.ต.ต.อิทธิพล อัจริยะประดิษฐ์ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (รอง ผบช.น.) นำกำลังตำรวจน้ำ , เจ้าหน้าที่กู้ภัย และนักประดาน้ำ กว่า 40 นาย ลงพื้นที่ไปยังบ้านของนายอภิชัย องค์วิศิษฐ์ หรือ “ไอซ์ หีบเหล็ก” ผู้ต้องหาฆ่า น.ส.วรินทร์ธรณ์ ไชยเชษฐ หรือกุ๊กกิ๊ก ยัดหีบเหล็ก ภายในซอยเพชรเกษม 47 หลังจากศาลได้อนุมัติหมายค้นบ้านของนายอภิชัย เพื่อดำเนินการค้นหาชิ้นส่วนโครงกระดูกมนุษย์เพิ่มเติม หลังจากที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ได้ตรวจพบชิ้นส่วนโครงกระดูกกว่า 300 ชิ้น โดยเบื้องต้นมีพยานหลักฐานที่น่าเชื่อได้ว่าอาจจะมีเหยื่อที่ถูกนายอภิชัย ฆาตกรรมเพิ่มเติมรายที่ 3

ล่าสุดมีรายงานว่า เจ้าหน้าที่กู้ภัย พบหีบเหล็กตามคำให้การของพยาน เบื้องต้นพบว่าภายในมีวัตถุบางอย่าง ซึ่งลักษณะคล้ายกระดูกสันหลัง และกระดูกช่วงต้นคอของมนุษย์ แต่ยังไม่สามารถนำหีบดังกล่าวขึ้นมาได้ เนื่องจากถูกปกคลุมได้ด้วยหญ้า และดินโคลน ทำให้ต้องนำหีบเหล็กที่มีลักษณะใกล้เคียงกันมาจำลองสถานการณ์ในการนำหีบเหล็กขึ้นมา เพื่อให้หลักฐานมีสภาพสมบูรณ์ที่สุด

รายงานข่าว ระบุว่า ชิ้นส่วนกระดูกที่เพิ่มเติมน่าจะมีราว 10 ชิ้น พบห่างจากจุดแรกที่พบประมาณ 15 เมตร โดยจะนำชิ้นส่วนกระดูกที่พบดังกล่าวไปเก็บรวบรวมส่งให้นิติเวช โรงพยาบาลศิริราช เพื่อตรวจหาอัตลักษณ์บุคคล โดยชุดประดาน้ำยังคงค้นหาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งประสานเชิญผู้เชี่ยวชาญใช้กล้องใต้น้ำเข้ามาเสริมการทำงาน คาดว่าน่าจะพบชิ้นส่วนกระดูกอีกเป็นจำนวนมาก

งงหมดแล้ว!‘นิพิฏฐ์’เทียบโจรปล้นทอง-ส.ส.เสียบบัตรแทนกัน’…คุณจะโกรธใคร

23 มกราคม 2563 นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า “ถ้าเพื่อนเราเป็นโจรปล้นทองแล้วตำรวจจับได้ เราโกรธตำรวจที่จับเพื่อนเรา หรือเราโกรธโจร ถ้าผมจับส.ส. ที่กดบัตรแทนกัน คุณจะโกรธผม หรือโกรธส.ส. ที่กดบัตรแทนกัน ผมงงหมดแล้ว?”


'รังสิมา'ร้อง'ปธ.ชวน'เปลี่ยนระบบลงคะแนน สแกนลายนิ้วมือแทน'เสียบบัตร'

เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2563 ที่รัฐสภา น.ส.รังสิมา รอดรัศมี ส.ส.สมุทรสงคราม พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะเคยร้องเอาผิดกรณีเสียบบัตรแทนกัน แถลงข่าวว่า ขอเรียกร้องให้ นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร เปลี่ยนระบบการลงคะแนนจากการใช้บัตร มาเป็นการแสดงอัตลักษณ์ควบคู่ไปด้วย เช่น การสแกนม่านตาและลายนิ้วมือ ซึ่งคิดว่ายังน่าจะเปลี่ยนแปลงระบบได้ เนื่องจากอาคารรัฐสภาแห่งใหม่กำลังอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง

"สภาของเรามีช่องกดบัตรจำนวนน้อยมีเพียง 300 ช่อง แต่มี ส.ส.500 คน ทำให้ต้องการมีดึงบัตรออกและเสียบบัตรเข้าไปใหม่ โดยกรณีที่เจ้าตัวอยู่ในห้องแล้วให้คนอื่นเสียบแทน เช่นนี้ยอมรับได้เพราะตัวยังอยู่ แต่หากตัวไม่อยู่ย่อมผิดแน่นอน พฤติกรรมเช่นนี้เกิดขึ้นกับฝ่ายค้านและรัฐบาล เพราะช่องการลงคะแนนไม่พอจริงๆ" น.ส.รังสิมา กล่าว

เมื่อถามว่า หากมีสมาชิกที่อยู่ในห้องประชุมมาขอให้เสียบบัตรลงคะแนนแทนจะทำหรือไม่ น.ส.รังสิมา กล่าวว่า คงไม่เสียบบัตรลงคะแนนแทนให้ แต่จะให้เดินมาเสียบเอง


‘เทพไท’ชงสภาฯจัดซื้อ-ติดCCTVเพิ่ม 10 ชุด ล้อมคอกจับผิด‘เสียบบัตรแทนกัน’

23 มกราคม 2563 นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) กล่าวถึงกรณีการเสียบบัตรเพื่อลงคะแนนแทนกัน ในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ว่า เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นซ้ำซากในทุกยุคทุกสมัย ตั้งแต่สภาผู้แทนราษฎร เปลี่ยนวิธีการลงคะแนนจากยกมือ มาเป็นลงคะแนนทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือเสียบบัตรลงคะแนน แต่ไม่สามารถแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ เพราะอยู่ที่จิตสำนึก ความซื่อสัตย์ และความรับผิดชอบของแต่ละบุคคล ดังนั้นต้องหามาตรการควบคุม ป้องปราม เพื่อให้เกิดความหวาดกลัวหรือเกรงกลัวต่อการกระทำผิด ไม่ให้มีพฤติกรรมเสียบบัตรแทนกันอีกต่อไป

นายเทพไท ระบุว่า ในฐานะที่เป็นรองประธานคณะกรรมาธิการกิจการสภาผู้แทนราษฎร ได้มีการพิจารณาคำร้องกรณีการกดบัตรแทนของนายขจิตร ชัยนิคม เมื่อครั้งการลงมติในญัตติเพื่อตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาผลกระทบจากการใช้มาตรา 44 นั้น ก็ไม่สามารถตรวจสอบหาตัวผู้กระทำผิดในการกดบัตรแทนกันได้สาเหตุเกิดจากกล้องบันทึกภาพถ่ายทอดสดของทีวีรัฐสภาไม่สามารถจับภาพในขณะที่มีการกดบัตรลงคะแนนได้อย่างทั่วถึง

“เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในลักษณะเช่นนี้ขึ้นอีก ดังนั้นที่ประชุมคณะกรรมาธิการกิจการสภาผู้แทนราษฎร จึงได้เชิญผู้อำนวยการสำนักการประชุม สภาผู้แทนราษฎร มาชี้แจงและรับทราบมติของคณะกรรมาธิการฯ โดยเสนอให้ทางสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร จัดซื้อและติดตั้งทีวีวงจรปิด(CCTV) จำนวนกว่า 10 ชุด เพื่อติดตั้งในห้องประชุมสุริยัน ซึ่งจะเปิดใช้สำหรับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร และการประชุมร่วมรัฐสภา ในสมัยประชุมสามัญครั้งหน้า เพื่อจับภาพและตรวจสอบการลงมติทุกครั้ง ซึ่งจะเป็นวิธีการป้องปรามไม่ให้เกิดเหตุการณ์กดบัตรลงคะแนนแทนกันเกิดขึ้นอีกในโอกาสต่อไป” นายเทพไท กล่าว


‘ไพศาล’ซัดไปกันใหญ่บอก‘เสียบบัตรแทน’ไม่เสียหาย จับตา‘เชิงมวย 2 ฝ่าย’สะท้อนนักการเมืองเส็งเคร็ง

23 มกราคม 2563 นายไพศาล พืชมงคล อดีตกรรมการผู้ช่วยรองนายกรัฐมนตรี(พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ) โพสต์ข้อความแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับกรณี ส.ส.เสียบบัตรลงมติร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2563 แทนกัน ผ่านเพจเฟซบุ๊ก Paisal Puchmongkol มีเนื้อหาดังนี้

“เสียบบัตรแทนไม่เสียหาย?

ถ้าถือว่าการเสียบบัตรแทนกันไม่เสียหาย ก็อาจทำให้ การประชุมที่ไม่ครบองค์ประชุมไม่เสียหายได้ด้วย เพราะมีคนเสียบบัตรลงคะแนนแทนกันแล้ว

ก็จะไปกันใหญ่!

ทำให้นึกถึงเมื่อครั้งทำบุญประเทศในสมัยรัฐบาลทักษิณ! ในครั้งนั้น ตอนแรกลุงจิ๋วเป็นประธานกรรมการจัดเตรียมงาน ประชุมผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย กำหนดให้ งานทำบุญประเทศเป็น 2 ระดับ

คือ ระดับหลวง ซึ่งรัฐบาลจะกราบบังคมทูลเชิญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงเป็นประธาน จัดทำพิธีในวัดพระแก้ว และระดับพิธีราษฎร์ ซึ่งคุณทักษิณนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน จัดที่สนามหลวง

วางลำดับว่า เมื่อเสร็จงานพิธีหลวงแล้วนายกรัฐมนตรีก็จะมาที่สนามหลวง ลุงจิ๋วแกประชุมกำหนดงานไปก็รายงานไปแถลงข่าวไปโดยลำดับ

ต่อมา ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น คุณทักษิณแกปลดลุงจิ๋วกับป๋าเหนาะ

แล้วตั้งคณะกรรมชุดใหม่ คณะกรรมการใหม่ก็ยุบ 2 ระดับพิธีเหลือพิธีการเดียว คือพิธี ที่จัดในพระอุโบสถวัดพระแก้ว แต่จัดแจงกันให้คุณทักษิณ ไปนั่งเป็นประธานในพิธี

ได้ผลชะงัด!!!!!

ชาวบ้านด่ารัฐบาลกันทั้งบ้านทั้งเมือง จนเป็นปัญหาการเมืองใหญ่โต

มาถึงวันนี้ใครที่เกี่ยวข้องในครั้งนั้นคงนึกได้นะครับว่า เหตุครั้งนั้นเกิดขึ้น ก็เพราะเชื่อว่าไม่เสียหายใช่ไหมครับ

มาหาทางปรองดองกันแล้ว ช่วยกันให้กฎหมายงบประมาณผ่านให้เร็วที่สุดไม่ดีกว่าหรือครับ”

นายไพศาล ยังโพสต์แสดงความคิดเห็นเรื่องดังกล่าวต่อเนื่อง ระบุว่า “เชิงมวยเรื่องเสียบบัตรลงคะแนนร่างกฎหมายงบประมาณ ตอนนี้เรื่องเสียบ บัตรแทนจะมีการขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเป็น 2 เรื่อง

1.ฝ่ายรัฐบาลก็ยื่น ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ให้กฎหมายงบประมาณ ใช้บังคับได้เลยเพราะเกินเวลา105 วัน ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด

2.ฝ่ายค้านก็ไหวทันว่าอาจเกิดอภินิหารทางกฎหมาย ที่ทำให้ประเด็นเรื่องการเสียบบัตรบงคะแนนแทนกันไม่เข้าสู่การพิจารณาของศาล จึงเข้าชื่อกันขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า การที่มีผู้อื่นเสียบบัตรลงคะแนนแทน สส.เจ้าของบัตร ทำให้การลงมติไม่ชอบและมีผลให้กฎหมายงบประมาณเป็นโมฆะ ตามบรรทัดฐานคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญซึ่งเคยวางบรรทัดฐานไว้ก่อนแล้ว

จึงเป็นเรื่องที่น่าติดตามดูว่า เชิงมวยอภินิหารทางกฎหมาย กับเชิงมวย ที่ยึดบรรทัดฐาน คำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ นั้น เชิงไหนจะแน่กว่ากัน และทำให้คนทั้งหลายได้เห็นความเส็งเคร็งและความลำพองของนักการเมืองที่ไม่ซื่อตรงและบังอาจเสียบบัตรลงคะแนนแทนกันโดยไม่เห็นรัฐธรรมนูญอยู่ในสายตาเลย อย่างชัดเจนอีกครั้งหนึ่ง”


คุรุสภาตั้งกก.สืบพักใบอนุญาต'อดีตผอ.เหี้ยม' คาด1-2วันตั้งกก.สอบสวน

เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2563 นางวัฒนาพร ระงับทุกข์ รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (เลขาธิการ กพฐ.) ปฏิบัติหน้าที่เลขาธิการคุรุสภา กล่าวถึงกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุม นายประสิทธิชัย เขาแก้ว หรือกอล์ฟ ผู้อำนวยการโรงเรียนวัดโพธิ์ชัย สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสิงห์บุรี จ.สิงห์บุรี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาในคดีบุกยิงปืนชิงทองคำ น้ำหนักกว่า 28 บาท ไปจากร้านทองออโรร่า สาขาห้างโรบินสัน จ.ลพบุรี ซึ่งเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 3 ราย และบาดเจ็บสาหัส 4 ราย ว่า ในส่วนของคุรุสภา จะเกี่ยวข้องกับเรื่องของใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู และใบอนุญาตประกอบวิชาชีพผู้บริหาร

โดยเบื้องต้นทางคณะกรรมการมาตรฐานวิชาชีพ (กมว.) ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจโดยตรง ได้มอบอำนาจให้ตนซึ่งเป็นเลขาธิการคุรุสภา ตั้งคณะกรรมการสืบข้อเท็จจริง ซึ่งตนได้ลงนามในคำสั่งแต่งตั้งไปแล้ว และได้มีหนังสือไปยังสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพป.) สิงห์บุรี และ สภ.เมืองลพบุรี เพื่อขอข้อมูลนำมาประกอบการสืบสวนข้อเท็จจริง รวมถึงรอผลการดำเนินคดีของเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วย ทั้งนี้ หากผลการสืบสวนข้อเท็จจริงมีมูล กมว.ก็จะตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยอย่างร้ายแรง เพื่อนำไปสู่การเพิกถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูและผู้บริหารต่อไป

นางวัฒนาพร กล่าวต่อว่า ตามข้อบังคับคุรุสภา ระบุว่า เมื่อมีการเข้าสู่กระบวนการสอบสวนทางวินัย จะต้องสั่งพักใช้ใบอนุญาตฯ เป็นเวลา 60 วัน เพื่อไม่ให้ขัดขวางต่อกระบวนการสอบสวน ดังนั้น ในกรณีนี้จะสั่งพักใช้ได้ก็ต่อเมื่อมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนก่อน คาดว่า กมว.จะสั่งตั้งกรรมการสอบได้ ภายใน 1 - 2 วันนี้

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากขณะนี้อยู่ในช่วงที่คุรุสภากำลังทบทวนมาตรฐานวิชาชีพผู้บริหารอยู่พอดี และเมื่อเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น จึงเป็นอีกกรณีหนึ่งที่ทำให้เห็นว่า ต้องมีการพิจารณาเรื่องของการคัดกรองคนที่จะเข้ามาเป็นผู้บริหารสถานศึกษา โดยต้องคำนึงถึงวัยวุฒิ วุฒิภาวะ สภาวะทางจิตใจให้ถี่ถ้วนมากขึ้น เพราะผู้บริหารสถานศึกษาต้องดูแลครู ดูแลเด็ก ซึ่งต้องมีวุฒิภาวะ สภาวะจิตใจที่สูงเป็นพิเศษ ดังนั้น อาจจะต้องหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการใช้และคัดเลือกบุคลากร ว่าอาจต้องทบทวนในหลายเรื่อง ทั้งในเรื่องประสบการณ์ ที่ปัจจุบันครูชำนาญการก็สามารถสอบเป็นผู้บริหารสถานศึกษาได้ ว่าเหมาะสมหรือไม่ หรือจะกลับไปใช้แนวทางเดิมที่เลื่อนตามลำดับขึ้นมา จากครูต้องผ่านรองผู้อำนวยการก่อนมาเป็นผู้อำนวยการ เพื่อให้ได้ผู้บริหารที่ดีมีวุฒิภาวะที่เหมาะสม

"กรณีนี้ถือครั้งแรกที่ผู้บริหารโรงเรียนก่อเหตุรุนแรง ตอนแรกที่ได้ยินข่าวว่าเป็นผู้อำนวยการโรงเรียน ก็รู้สึกใจหาย ดิฉันก็เหมือนกับประชาชนทั่วไป ที่มองว่าคนที่จะก่อเหตุแบบนี้ได้ไม่น่าจะมาจากคนที่ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา ดังนั้น พอได้ยินก็ตกใจและเกิดความกังวล ว่าจะมีผลกระทบอะไร แต่อีกมุมหนึ่งก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ทำให้สังคมตระหนักได้ว่า ไม่ว่าจะอยู่ในอาชีพอะไร ก็จะมีคนกลุ่มหนึ่งที่ทำสิ่งร้ายแรงได้ แต่ประเด็นคือ เราจะทำอย่างไรให้การคัดกรองคนที่เข้าสู่วิชาชีพทางการศึกษามีความถี่ถ้วนและรอบคอบมากขึ้น เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ถือว่ารุนแรง และเป็นเรื่องที่สั่นสะเทือนวงการการศึกษา" นางวัฒนาพร กล่าว

‘ตรุษจีน’นราธิวาสเงียบเหงา พ่อค้าโอดขายของได้น้อยลง

วันนี้ 23 ม.ค.63 ผู้สื่อข่าวรายงานสำหรับบรรยากาศก่อนวันจ่าย เทศกาลตรุษจีน ในพื้นที่ จ.นราธิวาส ยังคงเป็นไปด้วยความเงียบเหงา โดยเฉพาะที่ตลาดตลาดสดเทศบาลเมืองนราธิวาส ภายในเขตเทศบาลเมืองนราธิวาส ร้านค้าเครื่องไหว้เจ้าต่างๆ มีลูกค้าเข้ามาเลือกซื้อไม่คึกคักเท่าทุกปีที่ผ่านมา พ่อค้า แม่ค้า หลายร้านบ่นกันมากว่าปีนี้เศรษฐกิจไม่ค่อยดี ทำให้ลูกค้าเลือกซื้อเครื่องไหว้น้อยลง ยอดขายลดลง บรรยากาศก็เงียบเหงา

โดย นางบุญดี เจี่ยรุ่งโรจน์ (เสื้อแดง)เจ้าของร้านขายเครื่องเซ่นไหว้บรรพบุรุษไหว้เจ้า กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า ปีนี้ของขึ้นอย่างละบาท 2 บาทแต่ก็ยังขายราคาเดิมเพราะว่าเศรษฐกิจไม่ดีได้กำไรน้อยลงแต่ก็ยังขายราคาเดิมเพราะว่าสงสารประชาชนแม้ว่าได้กำไรน้อยลงจะขาดทุนกำไรบ้างเล็กน้อยก็ถือว่าช่วยกัน

น.ส.จงรัก แซ่ชั่ง ลูกค้าที่มาจับจ่ายซื้อของไหว้เปิดเผยว่า ซื้อของไหว้ลดจำนวนการซื้อของลงเหมือนกับว่าปกติเคยซื้อ 1 กิโลก็ลดลงเหลือครึ่งกิโลแต่ยังคงไหว้ครบทุกอย่างตามประเพณี เพียงแค่ลดปริมาณของให้น้อยลง แต่ก็ยังทำเหมือนเดิมเพราะว่าของราคาแพงขึ้นแล้วก็เศรษฐกิจก็แย่

นอกจากนี้ ประชาชนยังแห่ซื้อล็อตเตอรี่เพื่อเสี่ยงโชค ด้านนายอาทิตย์ เจี่ยรุ่งโรจน์ เจ้าของแผงล๊อตเตอรี่ กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า ส่วนใหญ่ลูกค้าที่มาหาซื้อจะเป็นเลขทะเบียนรถของนายกรัฐมนตรีที่ลงพื้นที่ ครม.สัญจรเมื่อวันที่ 20-21 ที่ผ่านมา คือทะเบียน 4212 ซึ่งเลขดังกล่าวนี้หมดตั้งแต่วันแรกที่นายกรัฐมนตรีลงพื้นที่จังหวัดนราธิวาส