18 ก.ย.61 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ศาลรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นศาลสูงสุดของแอฟริกาใต้ มีคำชี้ขาดในวันนี้ว่า การเสพ หรือครอบครองกัญชาส่วนบุคคลไม่ผิดกฎหมาย และสั่งให้รัฐสภาร่างกฎหมายใหม่ เพื่อรองรับคำชี้ขาดนี้ภายใน 24 เดือน
รองประธานศาลรัฐธรรมนูญในนครโจฮันเนสเบิร์ก อ่านคำชี้ขาดที่เป็นเอกฉันท์ท่ามกลางเสียงโห่ร้องยินดีของประชาชนที่เข้าฟังว่า กฎหมายห้ามผู้ใหญ่เสพกัญชาเป็นการส่วนตัวขัดต่อรัฐธรรมนูญ จึงถือว่าเป็นโมฆะ ดังนั้นการที่ผู้ใหญ่จะใช้หรือครอบครองเป็นการส่วนตัวจึงไม่ถือว่าผิดกฎหมาย
อย่างไรก็ดี คำชี้ขาดนี้ไม่มีผลถึงการใช้กัญชาในที่สาธารณะ การจัดหาหรือการค้ากัญชา ซึ่งยังถือว่าผิดกฎหมายต่อไป
มีรายงานว่า กลุ่มผู้สนับสนุนการเสพกัญชาพากันจุดกัญชาสูบทันทีที่ทราบข่าว และว่าต่อไปนี้ตำรวจจะได้ตั้งหน้าตั้งตาจับยาเสพติดจริงๆเสียที ขณะที่รัฐมนตรีหลายกระทรวงทั้งยุติธรรม สาธารณสุข ตำรวจ และการค้าแย้งว่า มีหลักฐานแน่นหนายืนยันว่ากัญชาเป็นอันตราย
ก่อนหน้านี้แอฟริกาใต้ห้ามครอบครอง ปลูก หรือเสพกัญชาเป็นการส่วนตัวแม้ปริมาณเล็กน้อย มีโทษปรับและจำคุก จนกระทั่งศาลจังหวัดเวสเทิร์นเคปที่มีเมืองเคปทาวน์เป็นเมืองเอกมีคำตัดสินเมื่อเดือนมีนาคมปีก่อนว่า การห้ามผู้ใหญ่เสพกัญชาที่บ้านขัดต่อรัฐธรรมนูญ
ความคืบปฎิบัติการค้นหาผู้สูญหายจากเหตุน้ำป่าไหลหลาก ดินโคลนถล่มทับบ้านผู้อพยพศูนย์พักพิงผู้ลี้ภัยจากการสู้รบบ้านแม่ละอูน จ.แม่ฮ่องสอน เมื่อวันที่ 16 ก.ย.ที่ผ่านมาว่า โดยเจ้าหน้าที่ชุดค้นหายังคงปฏิบัติการค้นหาอย่างต่อเนื่อง หลังพบผู้สูญหายแล้ว 3 คน แต่ยังสูญหายอีก 4 คน ที่บริเวณริมฝั่งลำน้ำยวม ลำน้ำเมย และจุดบรรจบแม่น้ำสาละวินนั้น
ล่าสุดเมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ชุดค้นหาพบร่างผู้เสียชีวิตเพิ่มอีก 1 ศพ อยู่ที่บริเวณริมตลิ่งฝั่งแม่น้ำเมย ห่างจากบ้านสบเมยไปทางทิศใต้ ประมาณ 200 เมตร ทราบชื่อคือนายลาเกอปอ อายุ 32 ปี ทำให้ตอนนี้ยังเหลือผู้สูญหายอีก 3 ราย ยังต้องระดมค้นหากันต่อไป
20 ก.ย.61 นางเสาวรี จุลเขว้า อายุ 33 ปี แม่ของ"น้องตวงข้าว" อายุ 4 ขวบ เหยื่อสุนัข 3 ตัวของคนใกล้บ้านหลุดโซ่ออกมารุมกัดบริเวณถนนใกล้บ้านเมื่อวันที่ 18 ก.ย.ที่ผ่านมา เดินทางไปสภ.บ้านเขว้า เพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับเจ้าของสุนัข 3 ตัว ฐานกระทำการประมาทจนทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ตามมาตรา 291 ตามประมวลกฎหมายอาญา โดยมีโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี และปรับไม่เกิน 200,000 บาท
ด้านพ.ต.ท.เอกพล เพชรนอก รองผู้กำกับการสอบสวน สภ.บ้านเขว้า กล่าวว่า ก่อนหน้านี้มีการแจ้งข้อหาเบื้องต้นกับนายปิยะณัฐ แดงสร้อย อายุ 27 ปี เจ้าของสุนัขทั้ง 3 ตัว ฐานไม่ควบคุมสัตว์ดุหรือสัตว์ร้ายฯ จนทำอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินไปแล้ว ส่วนคดีใหม่เมื่อมีการแจ้งความ ก็จะเรียกนายปิยะณัฐมารับทราบข้อกล่าวหาอีก
สำหรับศพน้องตวงข้าวตั้งบำเพ็ญกุศลที่บ้านพัก โดยครอบครัวได้เจรจาเบื้องต้นกับเจ้าของสุนัขแล้ว ขณะที่บรรยากาศหน้าบ้านของเจ้าของสุนัข พบล่ามโซ่สุนัขทั้ง 3 ตัวภายในรั้ว แต่ชาวบ้านเริ่มหวาดกลัวสุนัขกลุ่มนี้อาจจะไปไล่กัดเด็กๆอีก จึงเตรียมหาทางออกร่วมกันต่อไป
20 ก.ย. 2561 เว็บไซต์ นสพ.The Straits Times ของสิงคโปร์ นำเสนอข่าว “Thai street vendors urge rethink of eviction measures” เมื่อ 19 ก.ย. ตามเวลาท้องถิ่น ว่าด้วยความเดือดร้อนของผู้ค้าแผงลอยในกรุงเทพฯ เมืองหลวงของประเทศไทย ซึ่งตลอด 2 - 3 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยภายใต้รัฐบาลเผด็จการทหารโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กรุงเทพมหานคร (กทม.) มีนโยบายจัดระเบียบที่ถูกมองว่าเป็นไปแบบ “กวาดล้าง” เสียมากกว่า ด้วยการยกเลิกจุดผ่อนผันบนทางเท้าจำนวนมากแทบทุกพื้นที่
เนื้อหาข่าวบรรยายถึงบรรยากาศร้านค้าแผงลอยย่าน ถ.รามคำแหง ที่ต้องคอยหลบการตรวจตราของตำรวจ สะท้อนภาพผู้ค้านับพันรายต้องย้ายไปขายในทำเลที่ไม่ค่อยดีนัก สวนทางกับความนิยมในหมู่นักท่องเที่ยวทั่วโลกที่ร้านค้าแผงลอยถือเป็นจุดดึงดูดสำคัญมากอย่างหนึ่งตลอดหลายปีที่ผ่านมา โดยสื่อดังของสิงคโปร์อ้างคำกล่าวของนายวัลลภ สุวรรณดี ที่ปรึกษาผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ที่ย้ำว่า “ทางเท้าต้องเป็นทางเท้าเท่านั้นไม่ใช่สถานที่ขายของ” และ กทม. กำลังพยายามอย่างแข็งขันเพื่อคืนทางเท้าให้ประชาชน
ทั้งนี้มีรายงานอีกว่า การจัดระเบียบทางเท้าทั่ว กทม. ทวีความเข้มข้นมากขึ้นในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา และใครก็ตามที่เสี่ยงกลับไปขายของในที่เดิมอาจถูกปรับ ซึ่งเสียงสะท้อนจากผู้ค้าหลายราย มองว่าเป็นการคุกคามการมีชีวิตอยู่ของพวกเขา โดยเมื่อวันที่ 4 ก.ย. 2561 เครือข่ายแผงลอยไทยเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน นำสมาชิกราว 1,200 คน ไปยื่นหนังสือที่สำนักนายกรัฐมนตรี เรียกร้องให้เปิดโอกาสให้ผู้ค้ากับภาครัฐหาทางออกร่วมกัน และยืนยันว่าผู้ค้าสามารถรักษาความสะอาดได้ วอนภาครัฐอย่าเดินกวาดล้างอย่างเดียว
รายงานของ The Straits Times ยังอ้างถึงผลการศึกษาของ รศ.ดร.นฤมล นิราทร อาจารย์คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ระบุว่า ผู้ใช้ชีวิตใน กทม. ถึงร้อยละ 87 เคยจับจ่ายใช้สอยสินค้าจากร้านค้าแผงลอย ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของผู้ค้าเหล่านี้ในฐานะผู้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทย รวมถึงเป็นแหล่งอาหารราคาประหยัด เช่นเดียวกับ น.ส.ชิดชนก สมานตระกูล ผู้ศึกษาประเด็นผู้ค้าแผงลอยอีกรายหนึ่ง กล่าวว่า ร้านค้าแผงลอยคือที่พึ่งของผู้มีรายได้น้อยและผู้ที่เดินทางจากภูมิลำเนามาทำงานในเมืองหลวง
ไม่เพียงแต่ในด้านเศรษฐกิจเท่านั้น แต่แผงลอยยังมีคุณค่าในฐานะวัฒนธรรมอีกด้วย รายงานข่าวอ้างถึงแนวคิดของรัฐบาลสิงคโปร์ที่จะนำวัฒนธรรมผู้ค้าหาบเร่ (Hawker) ไปขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกกับองค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) แม้ทางการสิงคโปร์จะได้ย้ายผู้ค้าจากบนทางเท้าเข้าไปในศูนย์การค้าตั้งแต่เมื่อนานมาแล้วก็ตาม
ขณะที่ประเทศไทย ภาครัฐที่เห็นว่าการค้าบนทางเท้าเป็นสิ่งที่ก่อความรำคาญ ก็พยายามย้ายผู้ค้าไปยังที่อื่นเช่นกัน อาทิ ตลาดในร่ม ซึ่งผู้ค้าหลายรายยืนยันว่าไม่สามารถทำการค้าได้ เช่น เป็นพื้นที่แคบๆ บนชั้น 2 ของอาคาร และพร้อมจะยอมจ่ายค่าปรับแลกกับการกลับไปเสี่ยงขายของในพื้นที่เดิมที่ถูกสั่งห้าม นอกจากนี้ยังกล่าวด้วยว่า ในอดีตค่าใช้จ่ายในครัวเรือนมีเพียงค่าน้ำประปาและค่าไฟฟ้า แต่วันนี้ต้องไปพึ่งพาเงินกู้นอกระบบที่คิดดอกเบี้ยสูงถึงร้อยละ 20 เพื่อให้ดำรงชีวิตอยู่ต่อไปได้
20 ก.ย.61 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า นายมูน แจอิน ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ แถลงผลการประชุมสุดยอดครั้งที่ 3 กับ นายคิม จองอึน ผู้นำเกาหลีเหนือทันทีที่กลับถึงประเทศในวันนี้ว่า ผู้นำเกาหลีเหนือพร้อมเร่งการปลดนิวเคลียร์แลกกับการที่สหรัฐให้การรับรองความปลอดภัย และอยากประชุมสุดยอดครั้งที่สองกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐโดยเร็ว
ประธานาธิบดีมูน กล่าวว่า ประธานคิม แสดงความปรารถนาที่จะให้การปลดนิวเคลียร์อย่างสมบูรณ์เสร็จสิ้นโดยเร็วเพื่อเดินหน้าการพัฒนาเศรษฐกิจ มีบางเรื่องที่เขาและผู้นำเกาหลีเหนือไม่ได้บรรจุไว้ในปฏิญญาร่วมเมื่อวานนี้ เขาตั้งใจไว้ว่าจะแจ้งในรายละเอียดให้สหรัฐทราบเมื่อไปเยือนสหรัฐและประชุมสุดยอดกับประธานาธิบดีทรัมป์อีกครั้ง
ก่อนหน้านี้ทำเนียบประธานาธิบดีเกาหลีใต้ แถลงว่า ประธานาธิบดีมูน จะไปนครนิวยอร์กในสัปดาห์หน้าเพื่อร่วมประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ และจะหารือทวิภาคีกับประธานาธิบดีทรัมป์ในวันจันทร์หน้าตามเวลานิวยอร์ก
ผู้นำเกาหลีใต้ ย้ำว่า ประธานคิม กล่าวกับเขาว่า เกาหลีเหนือไม่สามารถทดลองนิวเคลียร์ได้อีกแล้วเพราะทำลายสถานที่ทดลองนิวเคลียร์ที่มีอยู่เพียงแห่งเดียวไปอย่างสมบูรณ์แล้ว และพร้อมให้ตรวจพิสูจน์ได้ทุกเมื่อ ดังนั้นหากเกาหลีเหนือจะทำลายสถานที่ทดลองเครื่องยนต์ขีปนาวุธและฐานยิงขีปนาวุธดงชังรีที่มีอยู่เพียงแห่งเดียวของประเทศต่อหน้าผู้เชี่ยวชาญสากลตามที่ประธานคิม รับปากเขาในการประชุมสุดยอดครั้งนี้ สหรัฐและเกาหลีใต้ก็จะต้องดำเนินมาตรการที่จะขจัดความเป็นปรปักษ์กับเกาหลีเหนือด้วยเช่นกัน
“อีลอน มัสก์” ซีอีโอของเทสลา อิงก์ ในวันจันทร์ (17 ก.ย.) ถูกยื่นฟ้องฐานหมิ่นประมาท โดย “เวอร์นอน อันสเวิร์ธ” หลังกล่าวหานักประดาน้ำรายนี้ซึ่งเป็นหนึ่งในทีมช่วยเหลือ 13 ชีวิตทีมเยาวชนหมูป่าฯ ออกจากถ้ำหลวงในไทยเมื่อเดือนกรกฎาคม ว่าเป็นพวกตุ๋ยเด็ก
18 ก.ย. 61 รอยเตอร์ - เวอร์นอน อันสเวิร์ธ นักประดาน้ำถ้ำชาวอังกฤษ ยื่นฟ้องต่อศาลแขวงสหรัฐฯ ในลอสแองเจลิส ราว 2 เดือน หลังจากถูกมัสก์พาดพิงว่าเป็นพวกใคร่เด็กผ่านทวิตเตอร์เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม
เทสลายังไม่มีถ้อยแถลงในเรื่องนี้ หลังจากผู้สื่อข่าวร้องขอขอความคิดเห็นต่อการฟ้องร้องล่าสุดจากมัสก์และทางบริษัท
อันสเวิร์ธ เรียกข้อเสนอของมัสก์ ในการสร้างเรือดำน้ำจิ๋วสำหรับพาตัวเด็กออกจากถ้ำว่าเป็น “การโฆษณาประชาสัมพันธ์” และบอกว่า มัสก์ ปั้นแต่งคำกล่าวหาตุ๋ยเด็กที่ไม่ใช่เรื่องจริงแม้แต่น้อย เพราะว่าเห็นต่างจากคำประเมินนั้น
“แม้เขาไม่มีข้อมูลใดๆ มาสนับสนุนคำกล่าวหาผิดๆและหมิ่นประมาทของเขา มัสก์ก็ยังเจตนาถ่ายทอดต่อชาวโลกว่าเขามีข้อเท็จจริงความลับที่พิสูจน์ได้ว่ามิสเตอร์อันสเวิร์ธเป็นไปตามที่กล่าวหา มันเป็นข้อเท็จจริงที่ผิดๆ และเป็นการหมิ่นประมาท” คำร้องของอันสเวิร์ธ ระบุ
ในเอกสารคำฟ้องนั้นเรียกร้องค่าเสียหายอันเป็นการทดแทน (compensatory damages) อย่างน้อย 75,000 ดอลลาร์ บวกกับค่าเสียหายเชิงลงโทษ (punitive damages) อย่างไม่เจาะจง
เบื้องต้นหลังจากทวีตเรียก อันสเวิร์ธ ว่าเป็นพวกตุ๋ยเด็ก มัสก์ ได้ลบข้อความดังกล่าวอย่างรวดเร็วและออกคำแถลงขอโทษ หลังนักประดาน้ำชาวอังกฤษขู่ดำเนินคดีต่อเขา “สิ่งที่เขาทำกับผม ผมไม่สามารถนำมาอ้างความชอบธรรมในสิ่งที่ผมทำกับเขา และมันเป็นความผิดของผมเองเพียงคนเดียว”
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่นักประดาน้ำและนักสำรวจถ้ำชาวอังกฤษกำลังเตรียมการสำหรับต่อสู้ทางกฎหมายกับมหาเศรษฐีรายนี้เกี่ยวกับคำพูดที่เป็นเท็จและหมิ่นประมาท มัสก์ก็กลับมามีท่าทีแบบเดิมและยั่วยุให้อันสเวิร์ธทำการฟ้องร้อง
ฟิลิปปินส์มียอดผู้เสียชีวิตจากอิทธิพลของไต้ฝุ่น “มังคุด” พัดถล่มภาคเหนือของฟิลิปปินส์ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาเพิ่มขึ้น74 คน ผู้สูญหายอีกประมาณ 40 คน จากเหตุดินถล่ม
18 ก.ย. 61 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ว่า สำนักงานบริหารจัดการและลดความเสี่ยงภัยพิบัติแห่งชาติของฟิลิปปินส์ ( เอ็นดีอาร์อาร์เอ็มซี ) ได้รายงานจำนวนผู้เสียชีวิตจากอิทธิพลของไต้ฝุ่นมังคุด ที่ขึ้นฝั่งที่จังหวัดคากายัน บนเกาะลูซอน ทางตอนเหนือของฟิลิปปินส์ เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นเป็นอย่างน้อย 74 คนแล้ว ขณะที่จำนวนผู้เสียชีวิตมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอีก คาดอาจเกิน 100 คน เนื่องจากยังมีผู้สูญหายอีกประมาณ 40 คน จากเหตุดินโคลนถล่มลงมาทับเหมืองแห่งหนึ่ง ที่เมืองอิโตกอง ในจังหวัดเบงเก็ต ทางตะวันออกของเกาะลูซอน ซึ่งหน่วยกู้ภัยยังคงพยายามอย่างสุดความสามารถในการค้นหาผู้สูญหาย
ขณะที่สถานการณ์ในฮ่องกง มาเก๊า และพื้นที่ตามแนวชายฝั่งของมณฑลที่อยู่ทางตอนใต้ของจีนเริ่มกลับคืนสู่สภาวะปกติ เจ้าหน้าที่เทศบาลและประชาชนร่วมมือกันเก็บกวาดและซ่อมแซมสิ่งปลูกสร้างที่ได้รับความเสียหายจากกระแสลมแรง ทั้งนี้ อิทธิพลของพายุมังคุดส่งผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บมากกว่า 300 คนในฮ่องกง และมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 4 คนในมณฑลกวางตุ้ง.
© 2011 - 2026 Thai LA Newspaper 1100 North Main St, Los Angeles, CA 90012