สำนักข่าวต่างประเทศพากันรายงานข่าวช็อก เมื่อ เลียม เพย์น (Liam Payne) อดีตสมาชิก One Direction (วัน ไดเรกชัน) วงบอยแบนด์ระดับโลก จากไปด้วยวัยเพียง 31 ปี ที่ประเทศอาร์เจนตินา
รอยเตอร์ เผยว่า เพย์น ถูกพบว่าเสียชีวิตที่โรงแรมแห่งหนึ่งในกรุงบัวโนสไอเรส โดยนักร้องหนุ่มตกลงมาจากชั้น 3 ของโรงแรม Casa Sur เมื่อช่วงเย็นวันพุธที่ 16 ตุลาคมที่ผ่านมาตามเวลาท้องถิ่น
รายงานล่าสุดระบุว่า ปาโบล โพลิชิคคิโอ โฆษกกระทรวงความมั่นคงแห่งบัวโนสไอเรส แถลงยืนยันว่า เพย์น กระโดดลงมาจากระเบียงห้องของเขาเอง ซึ่งภายในห้องพักของเขามีสภาพข้าวของกระจัดกระจาย
ข้อความบางส่วนของแถลงการณ์ระบุว่า เจ้าหน้าที่นำกำลังไปยังโรงแรมดังกล่าวหลังได้รับแจ้งเหตุฉุกเฉินว่า "มีชายคนหนึ่งที่แสดงอาการก้าวร้าว อาจอยู่ภายใต้ฤทธิ์ของยาและแอลกอฮอล์" เมื่อไปถึงก็ได้ยินเสียงดังบริเวณโถงด้านในของโรงแรม และต่อมาพบร่างชายคนหนึ่งที่ "กระโดดลงมาจากระเบียงห้องพัก"
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 10 ตุลาคมที่ผ่านมา อัลบั้มชุดที่ 2 ของ เพย์น ถูกระงับชั่วคราวอย่างไม่มีกำหนด หลังจากที่อัลบั้ม "Teardrops" ไม่สามารถไต่ชาร์ตติด 30 อันดับแรกของสหราชอาณาจักรได้ โดยเจ้าตัวปล่อยซิงเกิลแรกเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา
ทั้งนี้ One Direction เป็นหนึ่งในวงบอยแบนด์ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยในช่วง 6 ปีที่สมาชิกวงรวมตัวกัน One Direction มีเพลงฮิตติดชาร์ตบิลบอร์ด ถึง 6 เพลง อาทิ What Makes You Beautiful, Story of My Life และ Perfect จนกระทั่งในที่สุดสมาชิกวงก็แยกย้ายกันไปในปี 2559 เพื่อไปเป็นศิลปินเดี่ยว โดยเพย์น ได้ออกอัลบั้ม LP1 ในปี 2562 เพลงสุดท้ายของเขาที่ปล่อยออกมาเมื่อเดือนมีนาคมคือซิงเกิลชื่อ Teardrops สำหรับชีวิตส่วนตัวเขามีบุตรชายวัย 7 ขวบ ชื่อแบร์ เกรย์ เพย์น ที่เกิดจากเชอริล โคล อดีตภรรยาของเขา
16 ต.ค. 2567 นสพ.South China Morning Post ของฮ่องกง เสนอรายงานพิเศษ Thailand’s iCon scandal shows enduring popularity of get-rich-quick schemes ว่าด้วยคดี ‘ดิไอคอน (The iCon Group)’ บริษัทชักชวนลงทุนขายตรงในประเทศไทย ซึ่งกำลังมีผู้เสียหายจำนวนมากเข้าแจ้งความ และเชื่อมโยงไปยังบุคคลที่มีชื่อเสียงในหลายแวดวงที่เข้ามาร่วมงานในลักษณะต่างๆ โดยข้อมูลจากกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางของไทย (CIB) พบว่า มูลค่าความเสียหายสูงถึง 8 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 270 ล้านบาท จาก 740 กรณีที่มีการร้องเรียน
บ.ดิไอคอน ซึ่งอ้างว่ามีรายได้มากกว่า 300 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือกว่า 1 หมื่นล้านบาท เปิดตัวเมื่อ 6 ปีก่อน โดย วรัตน์พล วรัทย์วรกุล (Waratpol Waratworakul) หรือที่รู้จักกันในชื่อ ‘บอสพอล (Boss Paul)’ สามารถดึงดูดผู้คนมาเข้าร่วมเป็นเครือข่ายได้มากถึง 4 แสนคน ด้วยกลยุทธ์บอกเล่าเรื่องราวว่าด้วย ‘การพลิกชีวิตจากความยากจนสู่ความร่ำรวย (rags-to-riches)’ โดยผู้เข้าร่วมคาดหวังว่าจะประสบความสำเร็จผ่านการขายผลิตภัณฑ์เสริมความงามและอาหารเสริมผ่านโครงการการตลาดแบบหลายชั้น (multilevel marketing : MLM)
แต่สมาชิกที่มีความหวังจำนวนมากเหล่านี้อ้างว่า พวกเขาถูกหลอกให้ซื้อหลักสูตรการขายและเปิดบัญชีเครดิตสูงถึง 250,000 บาท (7,500 เหรียญสหรัฐ) เพื่อซื้อสินค้าเพิ่มเติม เพื่อต้องการไต่อันดับในบริษัทและเป็นหัวหน้าทีมขายของตนเอง โดยทีมทนายความที่เข้ามาทำคดีให้เหยื่อเหล่านี้ ระบุว่า เมื่อมีผู้สมัครใหม่เข้าร่วม พวกเขาจึงขยายเครือข่าย สร้างเครือข่ายที่กว้างขวางของผู้เข้าร่วมจำนวนระหว่าง 3-4 แสนคน อย่างไรก็ตาม เมื่อผลิตภัณฑ์ไม่เป็นรูปเป็นร่างหรือขายไม่ออก สมาชิกจำนวนนับไม่ถ้วนต้องสูญเสียเงินออมไป
ในวันที่ 15 ต.ค. 2567 บอสพอลให้สัมภาษณ์กับสื่อของไทย ร้องไห้ไปพลางยืนยันอย่างหนักแน่นว่าพร้อมชดใช้ค่าเสียหายให้กับเหยื่ออย่างถึงที่สุดเท่าที่จะทำได้ หลังได้พูดคุยกับภรรยาม่ายของชายคนหนึ่งที่ฆ่าตัวตายเนื่องจากหนี้สินที่เกิดขึ้นหลังจากสมัครเป็นสมาชิก บ.ดิไอคอน ขณะที่เว็บไซต์ของบริษัทยังคงเปิดใช้งานอยู่จนถึงช่วงเย็นวันดังกล่าว โดยขายอาหารเสริม โปรตีนเวย์ กาแฟที่มีฤทธิ์ทางโภชนาการพิเศษ และยาสีฟันในราคา 299-599 บาทต่อหน่วย พร้อมกับคำขวัญที่ว่า ‘ยิ่งซื้อมาก ยิ่งมีรายได้มาก’
ย้อนไปเมื่อเดือน พ.ค. 2567 โฆษณาของ บ.ดิไอคอน เผยให้เห็นภาพของบอสพอล ยืนอยู่หลังซูเปอร์คาร์หลายคัน พร้อมคำสัญญาว่าจะทำให้ผู้ที่เข้าร่วมกับดิไอคอนนั้นร่ำรวย โดยอ้างว่าบริษัททำยอดขายได้ 11,000 ล้านบาท (330 ล้านเหรียญสหรัฐ) ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา การสืบสวนของตำรวจยังคงดำเนินต่อไป โดยยังไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหาใดๆ ในคดีที่สังคมไทยกำลังจับตามอง เนื่องจากหลายคนแสวงหาช่องทางรายได้ใหม่ๆ ในช่วงสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 อันเป็นช่วงที่ บ.ดิไอคอน เริ่มเติบโต
รายงานของสื่อฮ่องกง กล่าวต่อไปว่า บ.ดิไอคอน ดึงบุคคลที่มีชื่อเสียงเข้ามาร่วมโฆษณาประชาสัมพันธ์ เพื่อดึงดูดผู้คนที่ไม่ตั้งคำถาม ยิ่งมีคนดังเข้ามาก็ยิ่งทำให้บริษัทน่าสนใจมากเป็นพิเศษ อาทิ กันต์ กันตถาวร (Kan Kantathavorn) พิธีกรรายการโทรทัศน์ , ยุรนันท์ ภมรมนตรี (Yuranunt Pamornmontri) นักแสดงรุ่นใหญ่ แม้ว่าบางคนจะแยกตัวจากเหตุการณ์ดังกล่าว โดยบอกว่าได้รับการว่าจ้างเพียงเพื่อโปรโมตสินค้าเท่านั้น และไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับปัญหาทางการเงินที่กำลังเกิดขึ้นทั่วประเทศ รวมไปถึงพระภิกษุสงฆ์อาวุโสบางรูปที่ถูกเชิญไปเทศน์ ก็ยืนยันว่าไม่เกี่ยวข้องเช่นกัน
สฤณี อาชวานันทกุล (Sarinee Achavanuntakul) ผู้เชี่ยวชาญด้านธุรกิจผู้บริโภคและนักวิจารณ์สังคม ให้ความเห็นว่า สถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 เป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากมากสำหรับคนไทยหลายคน ดังนั้นพวกเขาจึงหันไปขายของออนไลน์เพื่อหาเลี้ยงชีพ นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งรายได้ทางเลือกอีกด้วย ขณะที่ ‘คนวัยเกษียณ (retirees)’ คือเหยื่อชั้นดี เนื่องจากในบริบทสังคมไทยยังมี ‘เครือข่ายเครือญาติสนิทมิตรสหาย (close kinship networks)’ ที่ใกล้ชิด จึงเป็นสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อรูปแบบธุรกิจประเภทนี้
‘ไม่ใช่คนแปลกหน้าที่ผลักดัน แต่เป็นเพื่อนร่วมงาน เพื่อนสมัยเรียน … ความคุ้นเคยแบบนั้นเป็นสาเหตุที่ผู้คนไม่ระวังตัว’ สฤณี กล่าว
รายงานข่าวทิ้งท้ายด้วยคำถามจากบรรดาทนายความของเหยื่อ ว่า ทำไมกรรมการและผู้ก่อตั้งบริษัทจึงยังไม่ทราบถึงสิ่งที่ดูเหมือนเป็นการฉ้อโกงในระดับอุตสาหกรรม แต่เมื่อมีผู้ต้องสงสัยเพิ่มขึ้น ก็คาดว่าจะมีการต่อสู้ทางกฎหมายที่ยาวนาน
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า นายอีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีอันดับ 1 ของโลก ในขณะนี้ได้กลายเป็นผู้บริจาครายใหญ่ของพรรครีพับลิกัน จากการบริจาคให้กลุ่มสนับสนุนนายโดนัลด์ ทรัมป์ รวมแล้ว 75 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 2,500 ล้านบาท)
ข้อมูลที่มีการเปิดเผยต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งแห่งชาติของสหรัฐระบุว่า ช่วงเดือนกรกฎาคม-กันยายนปีนี้ นายมัสก์ วัย 53 ปี ซึ่งมีทั้งสัญชาติแอฟริกาใต้ แคนาดา และอเมริกัน ได้บริจาคเงินจำนวนดังกล่าวและเป็นรายเดียวให้แก่อเมริกา แพ็ก (America PAC) ซึ่งเป็นกลุ่มสนับสนุนทรัมป์ที่มุ่งเน้นรณรงค์หาเสียงในรัฐที่เป็นตัวแปรตัดสินการเลือกตั้ง กลุ่มนี้ได้ใช้จ่ายเงินเป็นจำนวน 72 ล้านดอลลาร์ (ราว 2,400 ล้านบาท) ในช่วงเวลา 3 เดือนดังกล่าว ถือว่ามากที่สุดในบรรดาซูเปอร์แพ็ก (Super PAC) ที่สนับสนุนทรัมป์ ซูเปอร์แพ็กส์เป็นกลุ่มทำงานทางการเมืองที่สามารถระดมทุนและใช้จ่ายเงินได้โดยไม่จำกัดจำนวนเพื่อสนับสนุนหรือโจมตีผู้สมัครรับเลือกตั้งที่ตนเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย
นายมัสก์เคยเผยว่า ลงคะแนนให้ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐของพรรคเดโมแครตมาโดยตลอด แต่ได้ประกาศตัวสนับสนุนนายทรัมป์เมื่อเดือนกรกฎาคม และร่วมเวทีหาเสียงกับทรัมป์ที่รัฐเพนซิลเวเนียเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม
ทางการรัสเซียเผยว่า ได้ช่วยชีวิตชายคนหนึ่งที่ลอยเรือลำเล็กในน่านน้ำทางตะวันตกเฉียงเหนือของมหาสมุทรแปซิฟิกเป็นเวลานานถึง 67 วัน โดยรอดชีวิตเพียงคนเดียว ส่วนพี่ชายและหลานชายเสียชีวิตระหว่างทาง
เจ้าหน้าที่ในภูมิภาคตะวันออกไกลของรัสเซียแจ้งผ่านแอปพลิเคชันเทเลแกรมว่า ข้อมูลเบื้องต้นระบุว่า เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม ชาย 2 คน และบุตรชายวัย 15 ปีของชายหนึ่งในนั้น ได้ล่องเรือใบออกจากแหลมแห่งหนึ่งในดินแดนคาบารอฟสค์ มุ่งหน้าไปยังเมืองโอคาบนเกาะซาคาลิน แต่หลังนั้นได้ขาดการติดต่อไป โดยที่มีการติดตามค้นหาร่วมเดือน จนกระทั่งเมื่อกลางดึกวันที่ 14 ตุลาคม เรือประมงลำหนึ่งเห็นเรือลำนี้ในทะเลโอคอตสค์ ซึ่งเป็นน่านน้ำที่มีความกว้างถึง 1.58 ล้านตารางกิโลเมตร คนบนเรือรอดชีวิต 1 คน และเสียชีวิต 2 คน ผู้รอดชีวิตได้รับการรักษาพยาบาลแล้ว
ช่องเทเลแกรมของชอต (SHOT) ซึ่งเป็นสื่อภาษารัสเซียรายงานว่า จุดที่พบเรือลำนี้อยู่ห่างจากจุดหมายเดิมถึง 1,000 กิโลเมตร ขณะที่ช่องเทเลแกรมของบาซา (Baza) ที่ใกล้ชิดกับหน่วยงานความมั่นคงของรัสเซียรายงานว่า ผู้รอดชีวิตอายุ 46 ปี ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลในสภาพที่อาการหนัก หลังจากพี่ชายวัย 49 ปี และหลานชายเสียชีวิตระหว่างทาง ภาพในสื่อสังคมออนไลน์เห็นชายรูปร่างผอมบาง มีหนวดเครา สวมเสื้อแจ๊คเก็ตและเสื้อชูชีพสีส้มอยู่ในเรือใบที่มีธงสีแดงปักอยู่บนเสาเล็กๆ
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เกิดเหตุรถบรรทุกน้ำมันพลิกคว่ำ ในรัฐจิกาวา ทางเหนือของประเทศไนจีเรีย เมื่อช่วงข้ามคืนวันอังคารเข้าสู่วันพุธที่ 16 ต.ค. 2567 ทำให้ชาวบ้านแห่มารุมตักเชื้อเพลิงที่รั่วไหลออกมา ก่อนที่รถจะระเบิดอย่างรุนแรงจนไฟลุกท่วม ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 147 ศพ
อุบัติเหตุดังกล่าวเกิดขึ้นที่เมืองมาเจีย ในรัฐจิกาวา เมื่อเวลาประมาณ 23.30 น. วันอังคาร (ตามเวลาท้องถิ่น) โดยรถบรรทุกน้ำมันคันนี้ เดินทางมาจากเมืองคาโน และกำลังมุ่งหน้าไปยังเมืองเอ็นกูรู ในรัฐโยเบ ก่อนที่คนขับจะเสียการควบคุมทำให้รถพลิกคว่ำ
ตำรวจไนจีเรียเผยว่า หลังรถน้ำมันพลิกคว่ำ เจ้าหน้าที่ได้นำกำลังเข้าปิดพื้นที่เพื่อไม่ให้ประชาชนเข้าใกล้แล้ว แต่พวกเขาไม่อาจหยุดยั้งฝูงชนที่มาเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ได้
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่าปราดาแบรนด์แฟชั่นชื่อดังจากอิตาลี จับมือกับ แอ็กซิออม สเปซ บริษัทอวกาศเอกชนของสหรัฐอเมริกา เปิดตัวชุดอวกาศสำหรับให้ผู้หญิงคนแรกที่ขึ้นไปสำรวจพื้นผิวดวงจันทร์ สวมใส่ในภารกิจอาร์ทิมิส 3
โดยทั้งสองบริษัทแถลงข่าวร่วมกันว่า ชุดอวกาศรุ่นใหม่นี้ ถูกออกแบบให้มีความคล่องตัวในการสวมใส่กว่าชุดอวกาศในอดีต รวมทั้งเน้นในเรื่องเทคโนโลยีความปลอดภัยของนักบินอวกาศจากรังสี ความร้อน และฝุ่นบนพื้นผิว ไปจนถึงการรับมือกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันระหว่างปฏิบัติงานอยู่บนดวงจันทร์ โดยยังไม่ทิ้งความเรียบหรูและเป็นแฟชั่นที่มีสไตล์
โดยชุดอวกาศนี้ถูกพัฒนาเพื่อให้นาซานำไปใช้ในการปฏิบัติภารกิจบนพื้นผิวดวงจันทร์ครั้งแรกในรอบ 50 ปีในภารกิจอาร์ทิมิส 3 ซึ่งจะมีผู้หญิงร่วมในภารกิจนี้เป็นครั้งแรก ดังนั้นผู้หญิงคนแรกที่จะได้เดินลงไปปฏิบัติภารกิจบนพื้นผิวดวงจันทร์จะได้สวมชุดของปราดา โดยมีกำหนดออกเดินทางในเดือนธันวาคม 2025 นี้
ทั้งนี้ Axiom Space บริษัทที่ก่อตั้งโดย Michael Suffredini อดีตพนักงาน NASA ได้ประกาศความร่วมมือกับแบรนด์แฟชั่นสุดหรูสัญชาติอิตาลีอย่าง Prada เพื่อพัฒนาชุดอวกาศที่จะใช้ในการเดินทางไปยังดวงจันทร์ในภารกิจ Artemis III
โดยชุดอวกาศที่ผสานแฟชั่นเข้ากับเทคโนโลยีขั้นสูงนี้มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า Axiom Extravehicular Mobility Unit (AxEMU) ซึ่งถือว่ามีความแตกต่างจากชุดอวกาศรุ่นแรกๆ ที่นักบินอวกาศในโครงการ Mercury สวมใส่ในช่วงต้นทศวรรษ 1960 เป็นอย่างมาก
© 2011 - 2026 Thai LA Newspaper 1100 North Main St, Los Angeles, CA 90012