ข่าว
“ไอ้จ๊อด” คิดจะบวชให้ “ตาจรูญ” เมียตาซาเล้งฝากข้อคิดถึงคู่กรณี

จากกรณีนายนราธร หรือจ๊อด โสดติยัง อายุ 21 ปี กระโดดเตะ นายจรูญ มีพันธ์ อายุ 82 ปี จนร่วงซาเล้งหัวฟาดพื้นสลบคาที่ จากนั้นได้นำตัวส่ง ร.พ.ราชวิถี กระทั่งเสียชีวิตเมื่อกลางดึกวันที่ 29 มี.ค.ที่ผ่านมา หลังจากนั้นตำรวจจึงเรียกตัวนายนราธร มาแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่ม ก่อนส่งตัวฝากขัง ซึ่งศาลก็ให้ประกันตัวในวงเงิน 1.8 แสนบาท ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

ความคืบหน้าล่าสุดวันที่ 30 มี.ค. ที่ศาลาการเปรียญ วัดสุนทรราม หรือวัดห่อหมก ต.ห่อหมก อ.บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา นางฉลวย จริตเอก อายุ 71 ปี น.ส.วนิดา มณีพันธ์ ภรรยาและลูกสาวของนายจรูญ ได้เคลื่อนย้ายศพนายจรูญ มาถึงที่วัด ที่ญาติได้จัดเตรียมสถานที่ไว้อย่างสวยงามเรียบง่าย โดยมีญาติสนิทและเพื่อนบ้าน มาร่วมแสดงความเสียใจเป็นจำนวนมาก

นางฉลวย กล่าวว่า รู้สึกเสียใจที่ต้องเสียสามี และก่อนที่จะเสียชีวิตก็ไม่ได้พูดคุยอะไรกัน มีช่วงตอนป่วยพูดแหย่แกไปว่า นอนสบาย มีคนป้อนข้าว ป้อนน้ำให้ สามีก็ไม่ได้โต้ตอบอะไร ส่วยนายจ๊อด หลังสามีเสียชีวิต ก็ยังไม่ได้มาพูดคุยกัน ส่วนเรื่องขอคดีก็ให้เป้นหน้าที่ของตำรวจดำเนินการ หลังจากเกิดเหตุก็ได้รับค่าเยียวยาจากนายจ๊อด เป็นค่ารักษาพยาบาล อยากบอกกับนายจ๊อด ว่าไม่โกรธ แต่ให้เหตุการณ์นี้เป็นบทเรียน เพราะทำลงไปแล้ว นายจ๊อด ก็ติดคุก ตาก็ต้องมาเสียชีวิต เงินทองก็เสีย อย่าทำเป็นเด็กใจร้อนเลย ใจเย็นๆ พ่อแม่ก็ต้องลำบาก ลูกจะชั่วจะดี พ่อแม่ก็ตัดไม่ได้

ด้าน น.ส.วนิดา กล่าวว่า หลังจากที่พ่อเสียชีวิต ก็ไม่ได้ติดใจ นายนราธร เนื่องจาก นายนราธร พาพ่อไปหาหมอ ตรวจสุขภาพกับตนทุกครั้ง มีการเยียวยาตลอด และตนไม่ติดใจสาเหตุการเสียชีวิต หลังจากที่พ่อเสียได้พูดคุยกับทางนายจ๊อด บอกว่าจะจัดการเรื่องค่าทำศพให้ และจะมาแสดงความเสียใจที่งานศพ รวมทั้งจะบวชให้ด้วยแต่ยังไม่ได้ระบุว่าจะบวชหน้าไฟหรือบวชให้ในภาพหลัง ส่วนตัวแล้วตนก็รู้สึกโกรธ แต่อีกใจก็คิดว่า พ่ออายุเยอะแล้ว ให้พ่อไปสบายดีกว่า อยากบอกว่าอย่าไปทำแบบนี้กับครอบครัวใคร เพราะมันเป็นการสูญเสียที่ยิ่งใหญ่

กระแสกำลังมา!'ออตู่'หนุนร้านค้า จัดโปรโมชั่นเอาใจคนแต่งชุดไทย

30 มี.ค. 61 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ตอนหนึ่งว่า ปัจจุบัน บรรยากาศ “ไทยนิยม” ยังคงอบอวลทั่วไทย ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี และตนขอสนับสนุนให้คงอยู่เช่นนี้เรื่อยไป โดยเฉพาะการอนุรักษ์ความเป็นไทย ด้วยการแต่งกายแบบไทย ๆ ไปทำงานก็ดี หรือเพื่อการท่องเที่ยวก็ดี ล้วนเป็นสิ่งที่น่าชื่นชม ก็อย่าให้เดือดร้อน บางกิจกรรมมีนโยบายลดราคา หรือให้บริการ “ฟรี” สำหรับผู้ที่แต่งกายย้อนยุค ก็ถือว่าเป็นกุศโลบายที่น่าส่งเสริม

ส่วนนักท่องเที่ยวเอง การปฏิบัติตัว ณ แหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ โบราณสถาน โบราณวัตถุต่าง ๆ ขอให้เชื่อฟังคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ เคารพสถานที่ ช่วยกันดูแลรักษา ไม่ปีนป่าย ไม่ทำในสิ่งอันไม่สมควร เพื่อเก็บไว้ให้ชนรุ่นหลังได้สัมผัส ได้ภาคภูมิใจในความเป็นชาติ ขอความร่วมมือด้วย


นายกฯโวยลั่นโดนรุมสกรัม ขู่ถ้าไม่สงบก็เลือกตั้งไม่ได้

30 มี.ค.61 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ตอนหนึ่งว่า เรื่องของการเดินตาม โรดแมปไปสู่การเลือกตั้งนั้น วันนี้มีความชัดเจนพอสมควรแล้วอย่าบิดเบือน อย่าต่อต้านกันไปอีกเลย คำสั่ง ข้อห้ามของ คสช. ที่เราจำเป็นต้องมีไว้บ้าง เพราะเราเคยมีบทเรียนมาบ้างแล้ว ไม่อยากให้มองว่าไปคุกคามใคร ไปรังแกใคร ไปเอาเปรียบ เอาประโยชน์จากใคร ใครไม่ผิด ไม่พยายามทำความผิด ฝ่าฝืนกฎหมาย จะต้องเดือดร้อนทำไม เว้นแต่คนมีเจตนาไม่บริสุทธิ์เท่านั้น หลายพรรคการเมืองก็ไม่มีปัญหา มีอยู่ไม่กี่พรรค

นายกฯ กล่าวว่า ที่ผ่านมาก็มีส่วนในการทำให้เกิดความขัดแย้งทั้งสิ้น ทำไม่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงตัวเองบ้าง ช่วยกันคิดช่วยกันพูดในสิ่งที่มีประโยชน์ มากกว่ามาติติงในเวลานี้ จนมากมายเกินไป แล้วลืมว่าสมัยอยู่มาก่อนนั้นทำอะไรไว้แล้วบ้าง ประชาชนต้องช่วยกันติดตาม ช่วยกันคิดทบทวนด้วย รัฐบาลและ คสช.ไม่อาจจะไปตอบได้

“ผมไม่อยากจะไปขัดแย้งกับท่านอีก แต่ท่านก็พยายามที่จะหาเรื่องโจมตี คสช. หรือรัฐบาลมาทุกเรื่องไป กลายเป็นว่ารุมสกรัมรัฐบาล ผมว่าไม่ถูกต้อง ผมพยายามไม่ไปก้าวล่วงใครอยู่แล้ว เพราะว่าเรามุ่งหวังไปสู่การเลือกตั้งที่สงบสันติ ถ้าสันติไม่ได้ สงบไม่ได้ เลือกตั้งจะได้หรือไม่ เลือกตั้งแล้วจะอยู่กันได้หรือไม่ ไปคิดตรงนั้น เราต้องการได้รัฐบาลที่มีธรรมาภิบาล ซื่อสัตย์ จงรักภักดีต่อสถาบัน ทำงานเพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประชาชนสืบไป” นายกฯ กล่าว


ด่วน ล้างบาง!กลุ่มอยากเลือกตั้ง 'คสช.'แจ้งจับ57แกนนำบุกป่วนทบ.

30 มี.ค.61 พ.อ.บุรินทร์ ทองประไพ นายทหารปฏิบัติการประจำกองบัญชาการกองทัพบก ปฏิบัติหน้าที่หัวหน้าส่วนปฏิบัติการคณะทำงานด้านกฎหมายส่วนงานการรักษาความสงบแห่งชาติ และมีหน้าที่ปฏิบัติตามคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายของผู้บังคับบัญชา เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.จักรกริศน์ โฉสูงเนิน ผกก.สน.ชนะสงคราม และ พ.ต.ท.ประจักษ์ ทรงปรีชา รอง ผกก.สอบสวน สน.ชนะสงคราม และร.ต.ท.โนวิทก์ สีเนหะ รองสารวัตรสอบสวน สน.ชนะสงคราม เพื่อร้องทุกกล่าวโทษ นายกาณฑ์ พงษ์ประภาพันธ์ กับพวก รวม 57 คน

โดยพ.อ.บุรินทร์ เข้าร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีกับ นายกาณฑ์ พงษ์ประภาพันธ์ ,นายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์,นายรังสิมันต์ โรม, นางสาวณัฏฐา มหัทธนา,นายธนวัฒน์ พรหมจักร , นายเอกชัย หงส์กังวาน,นายโชคชัย ไพบูลย์รัชตะ,นายอานนท์ นำภา ,นายปกรณ์ อารีกุล และนางศรีไพ นนทรี ในความผิดฐาน ร่วมกันกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจาหรือวิธีการอื่นใด อันมิใช่การกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ เพื่อให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนและเพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน

คณะรักษาความสงบแห้งชาติ (คสช.) ดำเนินการแจ้งความ สืบเนื่อง กลุ่มคนดังกล่าว เป็นแกนนำกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง นำผู้ชุมนุมร่วมเดินขบวนจากมหาวิทยาลับธรรมศาสตร์ มายังบริเวณด้านหน้ากองบัญชาการกองทัพบก และระหว่างทางได้ฝ่าด่านแนวกั้นของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่ห้ามมิให้กลุ่มชุมนุมเคลื่อนย้ายกีดขวางการจราจร เมื่อวันที่ 24 มี.ค.ที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตามทางเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังประชุมพิจารณา ในการแจ้งความดำเนินคดีกลุ่มผู้ชุมนุมเพิ่มเติม ในข้อหาขัดคำสั่งเจ้าพนักงานและ ทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงานในขณะปฏิบัติหน้าที่ เนื่องจากผู้ชุมนุมฝ่าแดนแนวกั้นของเจ้าหน้าที่ โดยมีการยื้อยุดฉุดกระชากกันช่วงเดินมากองบัญชาการกองทัพบก พร้อมทั้งข้อหาใช้รถเครื่องขยายเสียง


งานเข้า!ทนาย"สงกานต์" ทิ้งคดี นักธุรกิจสินค้าประมง

(30 มี.ค.) เวลา 11.30 น ที่ สภาทนายความ นายพิสิษฐ์ หล้าสุดตา เจ้าของธุรกิจส่งออกสินค้าประมง พร้อม นายสุวิจักขณ์ อัยยาพิสิฐ ทนายความ นำเอกสารสัญญาเกี่ยวกับการว่าจ้างนายสงกานต์ อัจฉริยะทรัพย์ ประธานเครือข่าย ต่อต้านการบ่อนทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ให้เป็นทนายโจทก์ในคดีที่ นายพิสิษฐ์ เป็นโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยที่ทำให้ได้รับความเสียหายทางธุรกิจมูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาท เข้าร้องเรียนต่อสภาทนายความหลังนายสงกานต์ ไม่ทำตามสัญญาจ้างดังกล่าว

นายพิสิษฐ์ เปิดเผยว่า ได้ติดต่อว่าจ้างให้ นายสงกานต์ มาเป็นทนายความ ตั้งแต่เดือนพ.ค. 2560 ด้วยเงินค่าจ้าง จำนวน 3 ล้านบาท และได้จ่ายเงินค่าจ้างไปแล้ว 2 ล้านบาท แต่ที่ผ่านมานายสงกานต์ ไม่มีเวลาทำคดีให้ คดีจึงไม่มีความคืบหน้า ทั้งที่รับเงินค่าจ้างไปแล้ว ขณะเดียวได้พยายามติดต่อนายสงกานต์ เพื่อพูดคุยและสอบถาม เนื่องจากต้องการยกเลิกสัญญาจ้าง แต่ก็ไม่ได้รับการตอบรับ ทั้งนี้ได้มีการทำหนังสือทวงถามไปอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ถูกเพิกเฉยไม่ได้รับคำตอบแต่อย่างใด

ด้านนายสุวิจักขณ์ เปิดเผยว่า ขณะนี้ตนเองเป็นทนายความให้กับนายพิสิษฐ์ แทนนายสงกานต์ และพาลูกความเข้าร้องเรียนต่อสภาทนายความ เพื่อขอคำแนะนำ กรณีการทำสัญญาว่าจ้าง นายสงกานต์ ว่า ลูกความจะสามารถดำเนินการขอเงินค่าจ้างคืนอย่างไรได้บ้าง เพราะนายสงกานต์ ไม่ได้ทำตามสัญญาดังกล่าว

ขณที่นายพิสิษฐ์ ชุติพรพงษ์ชัย ทนายความของนายสงกานต์ ได้เดินทางมาที่สภาทนายความด้วยเช่นกัน ได้ชี้แจงกรณีดังกล่าวว่า นายสงกานต์ ได้รับการว่าจ้างตามสัญญาให้เป็นที่ปรึกษาทางกฎหมาย ซึ่งหากคดีอยู่ในชั้นศาล นายสงกานต์ ก็จะตั้งทีมทนายความขอให้ นายพิสิษฐ์เป็นโจทก์ร่วม แต่เมื่อถูกเลิกจ้าง ซึ่งตอนนี้คดียังอยู่ในชั้นอัยการ อย่างไรก็ตามนายสงกานต์ ก็ได้ยื่นฟ้อง นายพิสิษฐ์ ในความผิดยกเลิกสัญญาจ้างด้วยเช่นกัน

‘ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์’ไปญี่ปุ่น เรียกร้อง “คืนประชาธิปไตย

สำนักข่าวอาซาฮี ชินบุนของญี่ปุ่นรายงานว่า นายทักษิณ ชินวัตร และนางสาวยิ่ง ลักษณ์ ชินวัตร เดินทางไปกรุงโตเกียว และเข้าร่วมงานเลี้ยงเปิดตัวหนังสือของนาย “อิชิอิ ฮะจิเมะ” อดีตรัฐมนตรีและสมาชิกรัฐสภาญี่ปุ่น ที่โรงแรมแห่งหนึ่งในช่วงค่ำวันที่ 29 มีนาคม

นายทักษิณให้สัมภาษณ์ว่า “หวังให้ประเทศไทยคืนสู่ประชาธิปไตยโดยเร็วที่สุด ประเทศไทยต้องการเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น โดยเฉพาะในเศรษฐกิจยุคใหม่ ประชาธิปไตยเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้ความคิดสร้างสรรค์ได้เผยแพร่ออกมา”

ผู้สื่อข่าวได้ถามถึงยุทธศาสตร์สำหรับการเลือกตั้ง โดยนายทักษิณได้ตอบว่า “ผมไม่ได้เกี่ยวข้องกับทางพรรค และทางพรรคก็ไม่ต้องการให้ผมเกี่ยวข้องด้วย แต่ในพรรค เพื่อไทยมีคนดีมากมายที่สามารถนำพรรคเพื่อชนะเลือกตั้งอย่างถล่มทลายอีกครั้ง”

สำหรับนางสาวยิ่งลักษณ์ได้หลีกเลี่ยงที่จะตอบคำถามผู้สื่อข่าวว่า ขณะนี้พำนักอยู่ที่ใด โดยบอกว่า “เที่ยวไปตามประเทศต่างๆ” และยังหลีกเลี่ยงที่จะตอบว่า ได้ยื่นขอลี้ภัยทาง การเมืองที่ใดหรือไม่

อดีตนายกฯไทยเดินทางมาร่วมงานเปิดตัวนเป็นหนังสืออดีตรัฐมนตรีและสมาชิกรัฐ สภาญี่ปุ่นที่ยาวนานถึง 39 ปี หลังจากนายทักษิณถูกรัฐประหารโค่นอำนาจเมื่อปี 2006 ในเดือนสิงหาคม ปี 2011 ทักษิณต้องการเดินทางมาญี่ปุ่น โดยนาย “อิชิอิ ฮะจิเมะ” ได้รับเป็นนายประกันให้เดินทางเข้าญี่ปุ่นได้ ซึ่งในระหว่างงานเลี้ยง นั้นอดีตรัฐมนตรีเฒ่า ของญี่ปุ่นได้ระบุว่า “ไม่ต้องการพูดถึงเรื่องการเมือง”

สื่อมวลชนญี่ปุ่นรายงานว่า นายทักษิณและนางสาวยิ่งลักษณ์จะอยู่ในญี่ปุ่นราว 3 วัน และจะเดินทางกลับไปยังดูไบ โดยก่อนหน้านี้เมื่อเดือน กุมภาพันธ์นายทักษิณและน้องสาว ก็เคยเดินทางมาญี่ปุ่นแล้ว ครั้งนี้จึงเป็นการมาญี่ปุ่นครั้งที่ 2 ในปีนี้.