หนังสือพิมพ์เดอะการ์เดียนรายงานเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม ว่า พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 หัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีค้ามนุษย์โรฮีนจา ซึ่งลาออกจากราชการหลังถูกย้ายไปเป็นรองผู้บัญชาการศูนย์ปฎิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนใต้(ศชต.) ได้ยื่นเรื่องขอลี้ภัยในออสเตรเลียแล้ว พร้อมแสดงความคาดหวังว่าออสเตรเลียจะให้สถานะผู้ลี้ภัยกับเขา
พล.ต.ต.ปวีณเดินทางถึงนครเมลเบิร์น ของออสเตรเลีย เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาด้วยวีซ่านักท่องเที่ยวและได้ให้ข่าวว่าเขากำลังเดือดร้อนเพราะขบวนการค้ามนุษย์เป็นเครือข่ายใหญ่ที่มีความเกี่ยวโยงกับทั้งกองทัพนักการเมืองและตำรวจทั้งยังเชื่อว่ามีผู้อยู่เบื้องหลังการสั่งย้ายเขาลงไปยังภาคใต้เพราะมุ่งหวังชีวิต
แม้จะไม่ได้เอ่ยชื่อเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการค้ามนุษย์ในไทยออกมาแต่ พล.ต.ต.ปวีณอธิบายว่าการสร้างค่ายพักในป่าจำเป็นต้องมีการดูแลโดยผู้มีอิทธิพลเพราะคนที่สามารถควบคุมคนเป็นร้อยๆ โดยไม่ถูกจับกุมเป็นเวลาหลายปีคงไม่ใช่แค่ชาวบ้านธรรมดา เขายังเชื่อว่าที่สุดแล้วผู้ต้องหาในคดีนี้จะไม่ถูกพิพากษาว่ามีความผิดขณะที่พยานหลายคนก็รู้สึกหวาดกลัวที่จะให้ข้อมูลด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายมาร์ค เคนท์ (Mark Kent)เอกอัครราชทูตสหราชอาณาจักรประจำประเทศไทย นายกลิน เดวีส์ เอกอัคราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย และนายเบน คิง เอกอัครราชทูตนิวซีเเลนด์ประจำประเทศไทย ถ่ายรูปร่วมกันก่อนเข้าร่วมในกิจกรรมปั่นเพื่อพ่อ BIKE FOR DAD ก่อนทวีตภาพลงในทวิตเตอร์ส่วนตัวของ เอกอัครราชทูตสหราชอาณาจักร
ส่วนบรรยากาศที่กระทรวงการต่างประเทศ เป็นที่รวมตัวของ ขบวนนานาชาติ (D1) ซึ่งประกอบด้วย คณะทูตต่างประเทศ ผู้ช่วยทูตทหาร ข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศ และเจ้าหน้าที่กรมข่าวทหาร ก่อนออกเดินทางปั่นจักรยานจากกระทรวงการต่างประเทศไปร่วมขบวนที่ลานพระราชวังดุสิต
การก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ที่ยังเป็นประเด็นที่อยู่ในความสนใจของประชาชนขณะนี้ไม่เพียงการก่อสร้างองค์บูรพกษัตริย์ทั้ง7พระองค์เท่านั้นที่ยังไม่ชัดเจนการปรับภูมิทัศน์โดยรอบ ที่ทางกองทัพบกมอบหมายให้สวนนงนุช พัทยา เป็นผู้ดำเนินการก็เป็นอีกประเด็นหนึ่งหลังจากมีกระแสออกมาว่าประชาชนบริจาคเงินค่าต้นปาล์มต้นละ 3 แสนบาท ทั้งที่ทางสวนนงนุชนำมาบริจาคให้อยู่แล้วกว่า 1,000 ต้น
นายกัมพล ตันสัจจา ผู้อำนวยการสวนนงนุช พัทยา เปิดเผยถึงประเด็นการปรับภูมิทัศน์โดยรอบบริเวณอุทยานราชภักดิ์ ที่ทางกองทัพบกมอบหมายให้สวนนงนุช พัทยา เป็นผู้ดำเนินการ โดยทางสวนนงนุชได้นำเจ้าหน้าที่มาระดมปลูกต้นไม้ และจัดแต่งสวนรอบอุทยานราชภักดิ์กว่า 100 คน พร้อมทั้งเป็นผู้บริจาคต้นไม้ โดยมีต้นปาล์ม ต้นตาล และต้นไม้ชนิดอื่นๆอีกว่า 1,000 ต้น ให้กับโครงการอุทยานราชภักดิ์ แต่มีค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น ค่าน้ำมันรถที่ใช้ขนส่ง และค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการว่าจ้างให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการ เป็นเงินจำนวน 4 ล้านบาท ที่เบิกกับมูลนิธิราชภักดิ์เท่านั้น
ผู้อำนวยการสวนนงนุช พัทยา บอกว่าเป็นรูปแบบของอุทยานที่มีชีวิต มีความเข้มแข็ง สื่อให้เห็นถึงความศักดิ์สิทธิ์ของสถานที่ประดิษฐานพระบรมราชานุสาวรีย์บูรพกษัตริย์ไทยทั้ง 7 พระองค์ โดยต้นไม้ที่ปลูกรอบๆ อุทยานราชภักดิ์เปรียบเสมือนกองทัพเหล่าต่างๆ ของพระมหากษัตริย์ ที่เน้นความเป็นนักรบ ซึ่งต้นไม้หลักที่ใช้เป็นพืชตระกูลปาล์มชนิดต่างๆ เช่น ปาล์มตาลฟ้า ปาล์มเชอรรี่ ปะติโค๊ท ไทรแท่ง ไทรยอดทองพุ่ม เป็นต้น ซึ่งมีรูปทรงสวยงาม แข็งแรง เมื่อปลูกเรียงแถวกันจะเปรียบเหมือนกองทหาร ปาล์มบางชนิดจะมีรูปทรงคล้ายทหารกำลังหมอบกราบ ซึ่งจะสอดรับต่อพระบรมราชานุสาวรีย์ทั้ง 7 พระองค์
เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม นางสดศรี สัตยธรรม อดีตกกต.ด้านกิจการพรรคการเมืองและการออกเสียงประชามติ กล่าวกรณีความขัดแย้งระหว่าง กกต.และนายภุชงค์ นุตราวงศ์ อดีตเลขาธิการ กกต.ว่า นายภุชงค์อาจเสียใจจึงออกมาให้สัมภาษณ์ในลักษณะนั้น ซึ่งเขาถือเป็นลูกหม้อของ กกต.เพราะเป็นพนักงานตั้งแต่รุ่นก่อตั้ง ซึ่งการทำงานระหว่างกกต.ชุดที่แล้วกับนายภุชงค์ไม่มีปัญหา นายภุชงค์ทำงานได้ดี เป็นคนขยันมาก อ่อนน้อมมีสัมมาคารวะต่อผู้บังคับบัญชา เป็นที่รักของผู้ใต้บังคับบัญชา และทราบว่ายังได้รางวัลเป็นข้าราชการดีเด่นของปี 2557 ที่นายภุชงค์เข้าไปดำเนินการเรื่องการสมัครเข้ารับการสรรหาสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ซึ่งมีผู้สมัครถึง 7,000 คน การดำเนินการให้เกิดความเรียบร้อยถือว่าเป็นผลงานที่เป็นรูปธรรม ทำให้ส่วนตัวยังคิดว่าจะอยู่เป็นเลขาธิการ กกต.ได้จนครบวาระ 5 ปี ไม่คิดว่าจะต้องมาเจอกับเหตุการณ์เช่นนี้
นางสดศรี กล่าวต่อว่า ตนไม่ขอวิจารณ์กรณีที่นายภุชงค์ระบุว่า กกต.มีการล้วงลูกการทำงาน แต่คิดว่าทั้ง กกต. และนายภุชงค์ ต่างก็เป็นผู้ใหญ่ขององค์กร ปัญหาที่เกิดขึ้นน่าจะเป็นเรื่องของความเข้าใจผิดกัน ควรจะมีการพูดคุยกันให้เกิดความเข้าใจกันก่อน ก็จะทำให้ไม่เกิดปัญหาขึ้นอย่างที่เกิดขึ้น และเชื่อว่าปัญหาที่เกิดขึ้นหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะกระทบต่อองค์กร กกต. ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้คณะกรรมการ (กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญชุดนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ มีแนวคิดที่จะลิดรอน อำนาจของ กกต.อยู่แล้ว โดยจะให้มีคณะกรรมการจัดการเลือกตั้ง(กจต.) ขึ้นมาดำเนินการจัดการเลือกตั้งเป็นการเฉพาะ ฉะนั้นปัญหาที่เกิดขึ้นเวลานี้ถ้าต่างฝ่ายยิ่งพูด ยิ่งสาวกันไปมากกว่านี้จะกระทบองค์กร ไม่ใช่บุคคล
“จริง ๆ แล้วกว่าที่องค์กร กกต.จะผ่านมาได้จนถึงวันนี้ เกิดวิกฤตการณ์หลายครั้งแต่ก็เป็นวิกฤติที่เกิดจากกภายนอก แต่ครั้งนี้น่าเสียดายเป็นวิกฤตที่เกิดขึ้นจากภายในของ กกต.เอง ซึ่ง กกต.ต้องไตร่ตรองกันเองว่าจากปัญหาเรื่องนี้จะทำอย่างไรถึงจะเอาองค์กรไว้อยู่ รวมทั้งจากปัญหานี้ก็สมควรที่จะต้องมีการปฏิรูป กกต.องค์กรกกต.ด้วย” อดีต กกต.กล่าว
เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม กระทรวงการต่างประเทศ ได้สรุปภาพรวมการจัดกิจกรรมจักรยานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 88 พรรษา 5 ธันวาคม 2558 ในส่วนของคณะกรรมการฝ่ายจัดกิจกรรมในต่างประเทศ ดังนี้ 1. การจัดกิจกรรมในต่างประเทศ สรุปยอดผู้เข้าร่วมกิจกรรมในต่างประเทศได้ 9,805 คน โดยเมืองที่มีการลงทะเบียนสูงที่สุดได้แก่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น (499 คน) ตามด้วยนครลอสแองเจลิส สหรัฐอเมริกา (354 คน) และ เมืองเสียมราฐ กัมพูชา (255 คน) ทั้งนี้ จะมีการจัดกิจกรรมปั่นจักรยานรวมทั้งสิ้น 66 เมือง และกิจกรรมถวายราชสดุดีใน 17 เมืองที่ไม่สามารถจัดกิจกรรมปั่นจักรยานได้เนื่องจากข้อจำกัดด้านกฎระเบียบและสภาพอากาศ รวมครบทั้ง 96 สำนักงานในต่างประเทศ
ทั้งนี้ กระทรวงการต่างประเทศจะจัดตั้งศูนย์อำนวยการและประสานการจัดกิจกรรมในต่างประเทศ ระหว่างวันที่ 10-12 ธันวาคม 2558 เพื่อประสานงานโดยตรงกับสถานเอกอัครราชทูตและสถานกงสุลใหญ่อย่างใกล้ชิดด้วย
2. การจัดขบวนนานาชาติ และนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติฯ โดยกระทรวงการต่างประเทศร่วมกับกรมข่าวทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย ได้เชิญชวนคณะทูตและผู้ช่วยทูตทหารต่างประเทศที่พำนักอยู่ในประเทศไทยร่วมกิจกรรมปั่นจักรยาน และชมโขนกลางแปลงพระราชทาน ในวันที่ 11 ธันวาคม 2558 โดยได้รับการตอบรับอย่างดี มีผู้เข้าร่วมในขบวนนานาชาติ (ขบวน D1) รวมทั้งสิ้น 199 คน ประกอบด้วยเอกอัครราชทูตจาก 24 ประเทศ คณะทูตและผู้ช่วยทูตทหารจาก 30 ประเทศ ข้าราชการระดับสูงของกระทรวงการต่างประเทศและกรมข่าว โดยขบวนดังกล่าวจะร่วมปั่นจักรยานตามเส้นทางจากลานพระราชวังดุสิต ถึงจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รวมระยะทาง 7 กิโลเมตร
นอกจากนี้ กระทรวงการต่างประเทศยังได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการฝ่ายจัดนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติฯ จัดนิทรรศการในชื่อว่า "ทรงเป็นมหาราชาที่โลกแซ่ซ้องสรรเสริญ" ในวันที่ 11-13 ธันวาคม 2558 ณ สนามเสือป่า
สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า คดีความในเรื่องว่าใครเป็นผู้ถือครองลิขสิทธิ์เพลง "แฮปปี้เบิร์ธเดย์ทูยู" ได้รับการตัดสินแล้ว นับเป็นการยุติข้อพิพาททางกฎหมายที่ดำเนินมานานถึง 2 ปีในเรื่องสิทธิเหนือเพลงภาษาอังกฤษที่ถูกนำไปร้องอย่างกว้างขวางมากที่สุดในโลก โดยข้อตกลงระงับคดีได้รับการประกาศออกมาเมื่อวันที่ 9 ธันวาคมที่ผ่านมา ก่อนที่ศาลในรัฐแคลิฟอร์เนียของสหรัฐอเมริกาจะตัดสินในอีกไม่กี่วันข้างหน้าว่าเพลงดังกล่าวนี้ควรจะถูกจัดให้เป็นสาธารณสมบัติหรือไม่
ข่าวระบุว่าผู้พิพากษาจอร์จคิงของสหรัฐได้ตัดสินเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมาว่า บริษัทวอร์เนอร์/แชปเปลมิวสิก ที่เป็นผู้จัดจำหน่ายเพลงของวอร์เนอร์มิวสิกทั่วโลกไม่เคยมีสิทธิที่จะได้รับผลประโยชน์จากเพลงดังกล่าว และบริษัทอื่นๆ ก็ไม่มีสิทธิในการได้รับค่าลิขสิทธิ์จากเพลงนี้เช่นเดียวกัน นับตั้งแต่มีกฎหมายลิขสิทธิ์เพลงเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ.2478
เงื่อนไขของการระงับคดีไม่ได้รับการเปิดเผยออกมา แต่สื่อในสหรัฐเชื่อว่า จากคำพิพากษาแล้วหมายความว่าตอนนี้ ใครก็สามารถนำเนื้อเพลงนี้ไปใช้ได้ โดยผู้กำกับภาพยนตร์กลุ่มหนึ่งได้ยื่นฟ้องต่อศาลในรัฐแคลิฟอร์เนียระบุว่าเพลง"แฮปปี้เบิร์ธเดย์ทูยู" ควรจะได้รับการจัดให้เป็นสาธารณสมบัติ
เพลงนี้แต่งขึ้นโดยแพทตี้ สมิธ ฮิลล์ ครูโรงเรียนอนุบาลในรัฐเคนทักกีและมิลเดร็ด เจ. ฮิลล์น้องสาวเมื่อปี 2436 โดยทั้งคู่ตั้งชื่อเพลงว่า "กู๊ดมอร์นิงทูออล" (อรุณสวัสดิ์ทุกคน)
ทั้ง 2 เผยแพร่เพลงนี้โดยการตีพิมพ์โน้ตและเนื้อเพลงลงในหนังสือเพลงสำหรับเด็กและยกสิทธิให้กับสำนักพิมพ์เคลย์ตันเอฟ.ซัมมี แลกกับเงินก้อนหนึ่ง ขณะที่เนื้อร้องว่าแฮปปี้เบิร์ธเดย์ทูยูได้รับการใส่เข้ามาในภายหลัง โดยหนังสือพิมพ์ลอสแองเจลิสไทม์สรายงานว่า วอร์เนอร์ได้เข้าถือครองลิขสิทธิ์เพลงนี้เมื่อพวกเขาซื้อกิจการของกลุ่มบริษัทเบิร์ชทรี ที่มีสำนักพิมพ์เคลย์ตัน เอฟ. ซัมมีรวมอยู่ด้วย เมื่อปี 2531
ทั้งนี้ มีการประเมินกันว่า นับตั้งแต่นั้นมา วอร์เนอร์เก็บค่าลิขสิทธิ์จากการที่เพลงนี้ถูกนำไปใช้ได้ราวปีละ 2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
เมื่อเวลา 08.30 น. วันที่ 10 ธันวาคม ที่รัฐสภา นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 45/2558 ที่ระบุให้นายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ ประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) พ้นจากตำแหน่ง และกำหนดให้เลือกประธานป.ป.ช.คนใหม่ก่อนนำขึ้นทูลเกล้าฯ ต่อไปในคราวเดียวกับกรรมการป.ป.ช.ชุดใหม่ ว่า
ก่อนหน้านี้มีข้อถกเถียงกันว่า กฎหมายกำหนดให้กรรมการ ป.ป.ช. เลือกคนใดคนหนึ่งเป็นประธานป.ป.ช. แต่เมื่อยังไม่มีการโปรดเกล้าฯบุคคลที่ผ่านการรับรองจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) จำนวน 5 คน จึงยังไม่ถือว่าบุคคลดังกล่าวสามารถใช้สิทธิ์เลือกประธานป.ป.ช.ได้
แต่ขณะเดียวกัน มีธรรมเนียมในอดีตที่เคยเลือกประธานป.ป.ช.ก่อนและนำขึ้นทูลเกล้าฯ พร้อมกันในครั้งเดียวมาแล้วคือ กรณีคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชุดแรก เพื่อไม่ต้องนำขึ้นทูลเกล้าถึง 2 ครั้ง แต่มีปัญหาใหม่อยู่ว่า ก่อนหน้านี้มีคำสั่งหัวหน้า คสช.เดิมกำหนดให้นายปานเทพ ทำหน้าที่ประธานป.ป.ช.โดยไม่ได้กำหนดวันสิ้นสุด การจะเลือกประธานป.ป.ช.คนใหม่โดยที่มีประธานป.ป.ช.คนเก่าอยู่จะทำได้อย่างไร
ดังนั้น เพื่อคลี่คลายปัญหาทุกปม จึงทำให้นายปานเทพพ้นตำแหน่ง และเพิ่มอำนาจให้ผู้ได้รับเลือกเป็นกรรมการป.ป.ช.ชุดใหม่ 5 คน สามารถประชุมร่วมกับกรรมการป.ป.ช.ชุดเก่า จำนวน 4 คน เพื่อเลือกประธานป.ป.ช.ได้ เป็นการแก้ปัญหาและสมประโยชน์ คือสามารถเลือกและทูลเกล้าฯ พร้อมกันในครั้งเดียว อย่างไรก็ตาม คำสั่งนี้ไม่เปิดโอกาสให้ผู้ที่เพิ่งได้รับคัดเลือกใหม่ประชุมเพื่อหารือในเรื่องอื่นๆ ได้
© 2011 - 2026 Thai LA Newspaper 1100 North Main St, Los Angeles, CA 90012