วันนี้ (24 มี.ค.) เวลา 11.00 น. ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สนามบินน้ำ จังหวัดนนทบุรี นายนิติพันธุ์ ประจวบเหมาะ ผู้อำนวยการสำนักการต่างประเทศ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ได้แถลงว่า ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้มีมติชี้มูลความผิดนางจุฑามาศ ศิริวรรณ อดีตผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ในข้อหาร่ำรวยผิดปกติ โดยมีทรัพย์สินที่ได้มาโดยไม่สมควรอันสืบเนื่องมาจากการปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจในการปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับการจ้างนักธุรกิจชาวอเมริกันในการจัดงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติกรุงเทพ หรือบางอกฟิล์ม ปี 2550 และโครงการอื่นที่เกี่ยวข้อง ระหว่างที่ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการ ททท.
กรณีดังกล่าวได้มีการดำเนินการรวบรวมพยานหลักฐานอย่างต่อเนื่องทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ จนปรากฏตามพยานหลักฐานว่านางจุฑามาศ มีทรัพย์สินเป็นเงินที่ฝากอยู่ในบัญชีประเทศอังกฤษ ไอร์แลนด์ สิงคโปร์ เกาะเจอร์ซีย์ และสวิตเซอร์แลนด์ โดยมีบุตรสาวเป็นผู้ถือครองแทน และการชี้แจงถึงที่มาของเงินดังกล่าวไม่มีน้ำหนักที่จะรับฟังได้ ทั้งนี้ ทรัพย์สินดังกล่าว ป.ป.ช.ได้ประสานกับทางการสหรัฐอายัดไว้แล้ว และทางการสหรัฐมีพันธกรณีที่จะต้องคืนทรัพย์สินดังกล่าวให้รัฐไทยตามอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต ค.ศ. 2003 และสนธิสัญญาที่เกี่ยวข้อง
เนื่องจากเป็นทรัพย์สินของรัฐไทยที่เกิดจากการทุจริต ซึ่ง ป.ป.ช.จะได้ประสานกับทางการสหรัฐ เพื่อติดตามทรัพย์สินที่ถูกอายัดไว้ในต่างประเทศกลับคืนสู่ประเทศไทยโดยเร็วโดยอาจทำเป็นข้อตกลงระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลสหรัฐ หรือกับรัฐบาลประเทศอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง อันจะทำให้คดีนี้เป็นคดีทุจริตระหว่างประเทศคดีแรกที่มีการติดตามทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตจากต่างประเทศกลับคืนสู่ประเทศ และเป็นคดีตัวอย่างของคณะกรรมการ ป.ป.ช.ที่แสดงถึงความมุ่งมั่นในการปราบปรามปัญหาการทุจริตข้ามชาติ โดย ป.ป.ช.จะไม่เพียงแค่มุ่งนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ แต่ยังเน้นถึงการติดตามทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดกลับคืนสู่แผ่นดินไทย
ทั้งนี้ ในส่วนของคดีอาญาที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องนางจุฑามาศและบุตรสาวเป็นจำเลยจากการทุจริตเรียกรับสินบนและเอื้อประโยชน์ให้นักธุรกิจชาวอเมริกันในการดำเนินโครงการภาพยนตร์นานาชาติกรุงเทพ พ.ศ. 2546-2550 และโครงการอื่นที่เกี่ยวข้องนั้น ศาลอาญาได้ทำการสืบพยานโจทก์และจำเลยจนเสร็จสิ้นแล้ว และมีนัดอ่านคำพิพากษาในวันที่ 29 มีนาคม 2560 เวลา 09.00 น.
ในส่วนของการดำเนินคดีในสหรัฐอเมริกา กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ได้ดำเนินคดีต่อนายเจอรัลด์ กรีน และนางแพทริเชีย กรีน สามีภรรยานักธุรกิจชาวอเมริกัน ในความผิดฐานให้สินบนเจ้าหน้าที่รัฐต่างประเทศ อันเป็นความผิดตามกฎหมาย Foreign Corrupt Practices Act (FCPA) ของสหรัฐอเมริกา โดยจำเลยทั้งสองได้รับโทษถึงที่สุดแล้ว และกระทรวงยุติธรรมสหรัฐ อยู่ระหว่างดำเนินคดีกับนางจุฑามาศ และบุตรสาว ในความผิดฐานฟอกเงิน และดำเนินการริบทรัพย์ทางแพ่ง มีการอายัดเงินในบัญชีธนาคารต่างๆ ในต่างประเทศของบุตรสาวคือ ในอังกฤษ ไอร์แลนด์ สิงคโปร์ เกาะเจอร์ซีย์และสวิตเซอร์แลนด์ มูลค่ารวม 1.8 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 65 ล้านบาท โดยปัจจุบันทางการสหรัฐอเมริกาได้พักคดีดังกล่าวไว้ เพื่อรอผลการพิจารณาคดีอาญาของศาล ในประเทศไทย
มีรายงานว่า คดรีสืบเนื่องมาจากเมื่อ 11 กันยายน 2552 คณะลูกขุนนครลอสแองเจลิส สหรัฐอเมริกา ได้ตัดสินกรณี นายเจอรัลด์ และนางแพทริเซีย กรีน มีความผิดในข้อหาสมคบคิด และฟอกเงิน ตามคำฟ้องที่ระบุว่าสามีภรรยาคู่นี้ตั้งบริษัทขึ้นมาบังหน้า เพื่อติดสินบนนางจุฑามาศ ศิริวรรณ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ในขณะนั้น รวมเป็นเงิน 18 ล้านดอลลาร์ แลกกับการได้เป็นผู้จัดงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติกรุงเทพ ระหว่างปี 2545-2550
ศาลมีกำหนดตัดสินโทษในวันที่ 17 ธ.ค. ทั้งคู่อาจถูกจำคุกตลอดชีวิต ขณะที่นางจุฑามาศยังไม่ถูกฟ้องร้องดำเนินคดีแต่อย่างใด โดยสามีภรรยาคู่นี้ถือเป็นบุคคลในธุรกิจบันเทิงคู่แรกที่ถูกตัดสินว่ามีความผิดตามกฎหมายการทุจริตในต่างประเทศของสหรัฐฯ
ทั้งนี้ เนื้อหาในคำฟ้องยังให้รายละเอียดการจ่ายสินบนว่า มีบางส่วนที่จ่ายเป็นเงินสดให้นางจุฑามาศโดยตรงในรูปของค่านายหน้าประมาณ 10-20% ของจำนวนเงินทั้งหมดที่เหลือโอนเข้าบัญชีธนาคารบุตรสาว และเพื่อนของนางจุฑามาศ แล้วชดเชยด้วยการโก่งราคาค่าจัดงาน
ก่อนหน้านี้ นายเมธี ครองแก้ว กรรมการ ป.ป.ช.ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริงคดี นางจุฑามาศ ศิริวรรณ เรียกรับสินบนจากนักธุรกิจชาวสหรัฐอเมริกา เพื่อให้ได้สิทธิ์ในการจัดงานนิทรรศการภาพยนตร์นานาชาติกรุงเทพ พ.ศ. 2550 ได้แจ้งข้อกล่าวหาต่อผู้ถูกกล่าวหาทั้งหมดได้เมื่อเดือน ก.ย. 2552
มีรายานว่า นางจุฑามาศปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหาว่าเธอไม่ได้รับสินบน เรื่องทั้งหมดเป็นการกลั่นแกล้งทางการเมือง ขณะที่สังคมออนไลน์อ้างว่าเธอย้ายไปปักหลักที่ออสเตรเลียแล้ว
รอง ผบ.ตร. เผยนำตัว "พระทัตตชีโว" พร้อมพวก ส่งศาลจังหวัดสีคิ้วทำการฝากขังผัดแรกพรุ่งนี้ (25 มี.ค.) ส่วนจะค้านประกันตัวหรือไม่ขอเวลาพิจารณา เบื้องต้นผู้ต้องหาปฏิเสธไม่รู้เห็น ไม่เคยเดินทางไปยังที่ดังกล่าว
วันนี้ (24 มี.ค) พลตำรวจเอกศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้เผยว่า พระทัตตชีโว หรือเผด็จ ทัตตชีโว รองเจ้าอาวาสและอดีตรักษาการเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย พร้อมพระสงฆ์เครือข่ายวัดพระธรรมกาย 3 รูป และฆราวาสอีก 6 คน เดินทางเข้ารับทราบข้อกล่าวหาตามหมายเรียกของ ตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หรือ ปทส. ในคดีความผิดบุกรุกป่าสร้างสถานที่ปฏิบัติธรรมเวิลด์พีซวัลเล่ย์ เขาใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา
ซึ่งก่อนหน้านี้ ปทส. ได้ออกหมายเรียกถึงกรรมการมูลนิธิตะวันธรรม มูลนิธิวัดพระธรรมกาย และมูลนิธิมหารัตนอุบาสิกาจันทร์ขนนกยูงให้มารับทราบข้อกล่าวหา โดยมีการออกหมายเรียกพระสงฆ์และบุคคลรวม 20 คน แต่มารับทราบข้อกล่าวหาเพียง 10 คน ส่วนที่เหลือส่งหนังสือมาขอเลื่อนการรับทราบข้อกล่าวหาในวันที่ 4 เมษายนแทน ซึ่งตัวผู้ต้องหาปฎิเสธว่าไม่รู้เห็นและไม่เคยเดินทางไปที่ดังกล่าว ซึ่งพนักงานสอบสวนอยู่ในระหว่างการสอบปากคำ และจะพิจารณาอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวและนัดมาใหม่วันพรุ่งนี้ ก่อนคุมตัวส่งศาลจังหวัดสีคิ้วเพื่อทำการฝากขังผัดแรกในวันพรุ่งนี้ ส่วนจะค้านการประกันหรือไม่ ขอเวลาพิจารณา
จากกรณีคลิป น.ส.วรีวรรณ์ รัตนภักดี โวยวายเด็กปั๊มที่เปิดฝาถังน้ำมันไม่เป็น ที่สถานีบริการน้ำมันย่านสะพานใหม่ จนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง เวลาต่อมา มีหญิงคนหนึ่งไปแจ้งความที่ สภ.เพ จ.ระยอง ระบุว่าถูก น.ส.วรีวรรณ์ โกงเงินลงทุนขายลอตเตอรี่ไปจำนวน 9 แสน บาท ติดต่อไม่ได้ จนได้มาเห็น น.ส.วรีวรรณ์ในคลิป “ผู้กองฝ้าย” จึงขอให้ตำรวจไปดำเนินคดีกับน.ส.วรีวรรณ์ ดังกล่าว
ล่าสุด รายการ Amarin Morning News ทางช่องอมรินทร์ทีวี สอบถามไปยัง น.ส.วรีวรรณ์ รัตนภักดี หญิงสาวที่อยู่ในคลิป เกี่ยวกับกรณีที่เกิดขึ้น น.ส.วรีวรรณ์ ระบุว่า ตนได้กู้เงินจากผู้ที่มาแจ้งความจริง 9 แสนบาท โดยตกลงจ่ายดอกเบี้ยที่ร้อยละ 12 ทุก 10 วัน โดยไม่มีหลักฐานการกู้เงิน แต่ช่วง 2-3 เดือน ที่ผ่านมาตนมีปัญหาทางธุรกิจจึงนำรถไปคำประกันและไปขายเพื่อหาเงินมาใช้หนี้ ปรากฏว่าติดต่อเจ้าหนี้ไม่ได้แล้ว และตนก็ไม่ได้หลบหนีแต่อย่างใด
ส่วนกรณีคลิปที่โวยเด็กปั๊ม น.ส.วรีวรรณ์ อธิบายว่า ตอนนั้นตนโมโหมากที่ไม่มีใครเปิดฝาถังได้ รถจักรยานยนต์นั้นตนไปยืมมาขับ แต่ยังเจอเด็กปั๊มหัวเราะใส่ มาถามด้วยว่าเมาหรือเปล่า จึงหยิบโทรศัพท์ไปหาเพื่อนที่ชื่อ “ผู้กองฟ่าง” ไม่ใช่ผู้กองฝ้าย ซึ่ง “ฝ้าย” เป็นชื่อเธอ
กลายเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์ไปทั่วสังคมออนไลน์อย่างหนัก เมื่อ “แนท-เกศริน ชัยเฉลิมพล” ดารานางแบบเซ็กซี่ชื่อดังได้ไปถ่ายรายการ “เฮียหมูกับกู๋ดล” ของ 2 พิธีกรอารมณ์ดี เฮียหมู บางรักซอย 9 และกู๋ดล ฐิติ ที่ได้เชิญดาราเซ็กซี่มาร่วมพูดคุยในรายการ เมื่อวันที่ 20 มี.ค.ที่ผ่านมา ภายหลังจากที่ถ่ายทำรายการดังกล่าวเสร็จสิ้น แนท-เกศรินก็ได้ออกมาโพสต์ภาพที่ได้ถ่ายร่วมกับสองพิธีกรชาย ในลักษณะท่าทางโชว์ความเซ็กซี่ โดยหนึ่งในพิธีการได้จับหน้าอกของดาราสาวเซ็กซี่ด้วย ภายหลังที่ภาพดังกล่าวเผยแพร่ไปไม่นานต่างเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์การกระทำของพิธีกรชายที่ไม่ให้เกียรติผู้หญิงที่ถึงแม้จะโชว์ความเซ็กซี่ แต่ก็ไม่ควรจับหน้าอก หรือแสดงพฤติกรรมความต้องการทางเพศใส่ผู้หญิง ขณะที่ชาวเน็ตอีกฝ่ายกลับแสดงความความคิดเห็นอิจฉา 2 พิธีกรชายที่ได้ใกล้ชิดกับ แนท-เกศริน และมองว่าภาพดังกล่าวเป็นเพียงการแสดงเท่านั้น
ล่าสุดเมื่อวันที่ 23 มี.ค. แนท-เกศริน ได้ออกมาโพสต์ข้อความเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นผ่านทางเฟซบุ๊กส่วนตัว@เกศริน ชัยเฉลิมพล ระบุว่า “หนูต้องกราบขอโทษเฮียหมูกับกู๋ดลมากๆนะคะ ไม่รู้ป่านนี้เฮียและกู๋จะเป็นอย่างไรบ้างหลังจากที่มีข่าวนี้ออกไป” ภายหลังจากโพสต์ดังกล่าวก็ได้มีเหล่าแฟนคลับ และชาวโซเชียลมีเดียเข้ามาคอมเม้นท์ให้กำลังใจดาราสาวเป็นจำนวนมาก.
เมื่อวันที่ 24 มีนาคม ที่กรมการขนส่งทางบก(ขบ.) พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ร่วมแถลงข่าวด่วน พร้อมผู้บริหารหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยมีพล.ต.ท.วิทยา ประยงค์พันธ์ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ต.สมชาย เกาสำราญ ผู้บังคับการตำรวจทางหลวง นายกอบชัย บุญอรณะ รองอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณะภัย พ.ต.อ.ทินกร ณัฏฐมั่งคั่ง รองผู้บังคับการตำรวจจราจร และนายสนิท พรหมวงษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กรณีที่เกี่ยวกับรายละเอียดใน ม.44 ฉบับที่ 14/2560 เรื่อง มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยการจราจรทาง
พล.ต.ท.วิทยา กล่าวว่า ม. 44 ที่ออกมาจะมีเรื่องของการห้ามจอดรถในที่ห้ามจอดด้วย ซึ่งในเรื่องนี้ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติขอเวลาไปกำหนดรายละเอียดเกี่ยวกับการดำเนินการ รวมถึงค่าปรับต่างๆก่อน จึงจะเริ่มดำเนินการจับปรับอย่างจริงจังต่อไป ส่วนเรื่องของการบังคับให้คบขับ รวมถึงผู้โดยสารรถยนต์ส่วนบุคคลและรถโดยสารสาธารณะต้องคาดเข็มขัดนิรภัยนั้น ในระหว่างวันที่ 21 มีนาคม -4 เมษายน 2560 นี้ ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะเร่งทำการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้รับทราบเกี่ยวกับคำสั่งตามมาตรา 44 ที่ออกมา หากพบเห็นผู้กระทำความผิดทางเจ้าหน้าที่พบเห็นจะเป็นการแจ้งเตือนก่อน ยังไม่มีการจับปรับตามกฎหมาย แต่ในวันที่ 5 เมษายน เป็นต้นไป จะไม่มีการแจ้งเตือนจากทางเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกต่อไป เพราะจะดำเนินการจับปรับตามกฎหมายทันที เพราะถือว่าได้มีการแจ้งเตือนไปแล้ว
พล.ต.ท.วิทยา กล่าวว่า สำหรับรถโดยสารสาธารณะนั้น ไม่ว่าจะเป็นรถแท็กซี่ รถตู้ หรือรถทัวร์ จะต้องแจ้งเตือนให้ผู้โดยสารรัดเข็มขัดนิรภัยก่อนรถออกด้วย หรือจะต้องมีการติดป้ายแจ้งเตือนให้ผู้โดยสารรัดเข็มขัดนิรภัยตลอดการเดินทาง หากคนขับรถแจ้งแล้วผู้โดยสารไม่ปฏิบัติตาม หรือปฏิบัติตามแล้ว ระหว่างทางปลดออก หากเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจพบก็จะต้องถูกปรับทั้งคนขับ และผู้โดยสาร ยกเว้นว่าทางคนขับได้ยืนยันแล้วว่าบอกให้ผู้โดยสารคาดเข็มขัดนิรภัยแล้ว แต่ผู้โดยสารไม่ยอมคาด ทางคนขับจึงจะไม่ถูกปรับ และจะปรับเฉพาะผู้โดยสาร โดยทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะดูที่เจตนาเป็นหลัก
นายสนิท กล่าวว่า สำหรับอัตราค่าปรับของผู้ที่ไม่รัดเข็มขัดนิรภัยนั้น หากเป็นไปตามกฎหมายของกรมการขนส่งทางบก ซึ่งเป็นอำนาจของเจ้าหน้าของกรมการขนส่งทางบก ทางผู้ประกอบการจะต้องถูกปรับ 5 หมื่นบาท คนขับและผู้โดยสารปรับ 5 พันบาท แต่หากเป็นกฎหมายตาม พ.ร.บ.จราจร ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจรับผิดชอบ รถโดยสารสาธารณะจะถูกปรับ 1 พันบาท ส่วนรถยนต์ส่วนบุคคลปรับ 500 บาท
นายสนิท กล่าวว่า ในส่วนของการคาดเข็มขัดนิรภัยนั้น มีประกาศกรมการขนส่งทางบกเรื่องการติดตั้งเข็มขัดนิรภัยและตำแหน่งที่นั่งเพื่อกำหนดคุณสมบัติและการติดตั้งเข็มขัดนิรภัย ตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ พ.ศ. 2555 กำหนดให้รถยนต์ส่วนบุคคล รถแท็กซี่ และรถที่ใช้รับส่งจากสนามบิน(รถลีมูซีน) ที่จดทะเบียนตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2531 – วันที่ 31 ธันวาคม 2553 จะต้องติดตั้งเข็มขัดนิรภัยสำหรับที่นั่งของคนขับและที่นั่งตอนหน้ารถ ส่วนรถที่จดทะเบียนตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2554 เป็นต้นไป กำหนดให้ต้องติดตั้งเข็มขัดนิรภัยทุกที่นั่ง และสำหรับรถตู้ส่วนบุคคล รถปิคอัพ และรถสองแถว ที่จดทะเบียนตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2537 กำหนดให้ต้องติดตั้งเข็มขัดนิรภัยในที่นั่งของผู้ขับรถและที่นั่งตอนหน้า
เมื่อวันที่ 24 มี.ค. เว็บไซต์อินไควเรอร์จากฟิลิปปินส์รายงานว่านายร็อดดริโก ดูแตร์เต ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ออกมาปฏิเสธแผนสุขภาพจากสหภาพยุโรป หรืออียูที่เสนอแก่ฟิลิปปินส์ในเรื่องปัญหายาเสพติด พร้อมเดินหน้าสงครามยาเสพติดต่อไปท่ามกลางกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องดังกล่าวจากสังคมนานาชาติ
ท่าทีดังกล่าวมีขึ้นหลังอียูพยายามยื่นข้อเสนอแผนที่ยึดกับเรื่องสุขภาพของประชาชนที่ข้องเกี่ยวกับยาเสพติด ซึ่งประธานาธิบดีสายแข็งผู้นี้ตอบโต้อย่างเผ็ดร้อนและใช้ถ้อยคำรุนแรงต่อการเสนอดังกล่าว
“พวกอียู พวกเขาได้มาคุยกับเราว่า เขาต้องการทางออกที่เกี่ยวกับด้านสุขภาพสำหรับปัญหายาเสพติด…ไอ้พวกลูกอีตั— พวกคุณต้องการให้เราสร้างคลินิกใช่ไหม แทนที่จะไปจับและโยนพวกนี้เข้าห้องขัง ให้จับพวกนี้ไว้ที่คลินิกใช่ไหม” นายดูแตร์เต้กล่าวระหว่างการประชุมของสหพันธ์หอการค้าและอุตสาหกรรมชาวฟิลิปปินส์-จีน ในเมืองปาไซย์
“ในต่างประเทศ พวกคุณไปคลินิกถ้าคุณต้องการยาไอซ์ พวกเขาจะฉีดให้หรือเอายาไอซ์มาให้ จากนั้นคุณก็สามารถไปได้ ถ้าคุณต้องการกัญชา สถานีที่นี้แหละมี ถ้าต้องการโคเคน เฮโรอีน…ผู้คนก็แค่ไปที่คลินิกและเสพจนคลั่ง เหมือนกับพวกที่ติดยา 4 ล้านคนตอนนี้” นายดูแตร์เต้กล่าวเสริม
ก่อนหน้านี้นายฟรานซ์ เยสเซน เอกอัครราชทูตของอียูประจำฟิลิปปินส์ รณรงค์หาทุนเพื่อสนับสนุนโครงการบำบัดผู้ติดยาเสพติด สวนทางกับท่าทีของดูแตร์เต้ที่ตอบโต้ต่างชาติในเรื่องยาเสพติดอย่างเผ็ดร้อนมาตลอด
นายดูแตร์เต้หลังจากชนะตำแหน่งประธานาธิบดีแล้วได้ดำเนินมาตรการขั้นเด็ดขาดกับปัญหายาเสพติดในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมา พร้อมยังลั่นว่าผูเสพมีแนวโน้มที่จะก่อคดีอื่นๆด้วย
“ถ้าพวกเสพยาบุกไปในบ้านและข่มขืนทั้งแม่และเด็ก ใครจะมาตอบเรื่องความยุติธรรม” นายดูแตร์เตกล่าว พร้อมทั้งยังย้ำว่าตนจะตอบคำถามสำหรับผู้ที่ตายระหว่างการปราบปรามของตำรวจเพราะตนเป็นผู้สั่งให้ตำรวจฆ่าทันทีที่มีการต่อต้านการจับกุม
“ถ้าคุณคิดว่าคุณจะตาม ดังนั้นฆ่าเขาซะ และผมเนี่ยแหละจะแบกรับทุกผลลัพธ์เอง สงครามยาเสพติดจะดำเนินต่อไปจนกระทั่งพ่อค้ายาจะถูกฆ่าและบรรดารายย่อยจะถูกกำจัดออกจากท้องถนน” นายดูแตร์เต้กล่าว
ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ นายดูแตร์เตกล่าวว่าจะไม่เผลอหลุดพูดคำหยาบอีกแล้ว อ้างว่าได้ยินเสียงพระเจ้าตักเตือนระหว่างนั่งเครื่องบินกลับประเทศ
© 2011 - 2026 Thai LA Newspaper 1100 North Main St, Los Angeles, CA 90012