ว่าด้วยเรื่องราวบนโลกออนไลน์... ยิ่งฉาว ยิ่งกระฉ่อน ยิ่งมีดราม่า ยิ่งน่าสนใจ เราจะพบว่าพฤติกรรมเหล่านี้ในปัจจุบันถือเป็นเรื่องปกติ และสนุกของใครหลายๆ คน แต่รู้หรือไม่ว่าการเสพข่าวสารดราม่าเหล่านี้มากเกินไป ร่างกายเราจะหลั่งฮอร์โมนความเครียด หรือฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ออกมา ส่งผลให้ร่างกายเกิดความตึงเครียด เกิดความรู้สึกว้าวุ่นใจ และรู้สึกนอยด์ ทำให้มีอารมณ์ร่วม เพราะยิ่งเสพข่าวดราม่าก็ยิ่งกระตุ้นความอยากรู้เรื่องราวนั้นๆ มากขึ้นจนกลายเป็นเสพติด ทำให้เกิดความรู้สึกสนุก จึงมีการแชร์และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันไม่หยุดหย่อน
บางคนยอมอดตาหลับขับตานอน เพราะมัวแต่ตามส่องข่าวดราม่า และหากมีเนื้อหาข่าวในแง่ลบ หรือเรื่องฉาว เป็นอันไม่ยอมหลับยอมนอนกันเลยทีเดียว แน่นอนผลที่ตามมา คือ ร่างกายอ่อนเพลีย นอนไม่หลับ วิตกกังวล เครียด เป็นต้น วันนี้จึงเกิดคำถามว่าเราอาจจะต้องไปหาจิตแพทย์หรือไม่
“ทีมข่าวเฉพาะกิจแนวหน้าออนไลน์” จึงได้ยกหูไปขอข้อมูลกับ “นพ.วรตม์ โชติพิทยสุนนท์” โฆษกกรมสุขภาพจิต เกี่ยวกับการเสพข่าวดราม่ามากเกินไปมีผลต่อสุขภาพจิตหรือไม่ โดย นพ.วรตม์ ให้ข้อมูลว่า ในปัจจุบันในโลกโซเชียลมีการรับรู้ข่าวสารได้รวดเร็ว และบางข่าวอาจทำให้เรามีอารมณ์ร่วม โดยบางคนอาจคิดว่าเรื่องราวที่เสพอยู่มีบางอย่างเหมือนตัวเอง พออ่านรู้สึกโกรธ เสียใจ หงุดหงิด จึงทำให้ผู้ที่เสพข่าวมีอารมณ์ร่วมกับข่าวนั้นๆ และติดตามข่าวนั้นไปเรื่อยจนสะสม
นพ.วรตม์ ให้เหตุผลว่า เมื่อเราอ่านหรือติดตามข่าวนานๆ อยู่ในโลกออนไลน์2-3ชั่วโมง แล้ววนอยู่อย่างนั้นซ้ำๆ อาจทำให้อารมณ์เรารุนแรงมากขึ้น มีการจิตนาการ และระแวง อาทิ ติดตามข่าวนอกใจ ตามอ่านคอมเม้นต์ ทำให้เกิดความวิตกกังวล และรู้สึกโกรธไปด้วย
“อย่างแรกเลยให้เรารู้สึกตัวเองก่อนว่าติดตามข่าวนั้นมากเกินไป เมื่อเกิดความรู้สึกแบบนั้นขึ้นมา ต้องพยายามดึงตัวเองออกมาทันที โดยการหากิจกรรมอย่างอื่นทำ อาทิ ออกกำลังกาย ออกไปกินข้าวนอกบ้าน ไปดูหนังฟังเพลง เป็นต้น เพราะถ้าเราปล่อยให้ตัวเองติดตามข่าวมากเกินไปจะทำให้เราเกิดผลกระทบตามมา” นพ.วรตม์ กล่าว
นพ.วรตม์ กล่าวอีกว่า ปัจจุบันหากใครที่เสพข่าวดราม่ามากเกินไป หรือรู้สึกว่าตัวเองมีอารมณ์ร่วมจนนอนไม่หลับ เครียด และหงุดหงิดง่าย สามารถเข้าไปปรึกษาจิตแพทย์ได้ หรือโทรที่หมายเลข 1323 ทั้งนี้ ปัจจุบันมีคนเข้ามาปรึกษาจำนวนมากขึ้น เพราะปัญหาและปัจจัยหลายๆ อย่าง
“สุดท้ายอยากฝากว่าการรับรู้ข่าวสารเป็นเรื่องที่ดี แต่หากรับรู้มากเกินไปจะทำให้เกิดอารมณ์ร่วม ซึ่งข่าวบางข่าวอธิบายเหตุผลได้ไม่ครบ 100% เราจึงต้องมีสติ เพราะเรื่องราวที่เราได้รู้อาจจะไม่ใช่ทั้งหมด เราเลือกที่จะไม่อินกับมันได้” พน.วรตม์ กล่าวทิ้งท้าย
เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2563 ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่สอบถามความคิดเห็นนายทองอินทร์ ภูมิช่อ อายุ 75 ปี เกษตรกรบ้านเชียงงาม ต.บัวบาน อ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์ ถึงกรณีที่มีการยกเลิกสารเคมี โดยเฉพาะสารพาราควอต ซึ่งล่าสุดทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะมีการเรียกเก็บสารพาราควอตทั้งหมดนั้น
นายทองอินทร์ กล่าวว่า ตนทำอาชีพเกษตร และจักสานมาหลายสิบปีแล้ว ไม่เคยที่จะใช้สารเคมีและยาฆ่าหญ้า โดยเฉพาะสารพาราควอต ทั้งนี้เท่าที่ติดตามข่าวสารทราบว่ารัฐบาลจะมียกเลิกการใช้สารพาราควอต และมีการเรียกเก็บไปนั้น ส่วนตัวเห็นด้วย เพราะเท่าที่เห็นเพื่อนบ้านใช้กัน นอกจากจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพร่างกายเกิดโรคเสียชีวิตก่อนวัยอันควรแล้ว ยังส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมรอบข้าง ตลอดจนสัตว์ชนิดต่างๆที่อาศัยอยู่ตามทุ่งนา และสวนที่เป็นอาหารธรรมชาติก็ได้รับผลกระทบไปด้วย
นายทองอินทร์ กล่าวอีกว่า หากรัฐบาลจะนำสารพาราควอตกลับมาใช้อีกนั้นตนไม่เห็นด้วย แต่อยากให้ส่งเสริมสนับสนุนการใช้ปุ๋ยคอก และปุ๋ยน้ำหมักชีวภาพให้กับประชาชนและเกษตรกรมากกว่า เหมือนตนที่กำลังปลูกดอกกระเจียวหวาน ซึ่งใช้เพียงปุ๋ยคอกและปุ๋ยชีวภาพ ไม่เกิดอันตรายต่อคนปลูก และคนบริโภค สร้างรายได้เลี้ยงครอบครัวอาหารปลอดภัยไม่เพิ่งสารเคมี อีกทั้งยังส่งผลดีต่อสภาพแวดล้อม กุ้ง หอย ปู ปลา กบ เขียดก็สามารถอาศัยอยู่ได้
เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2563 สำนักข่าว Deutsche Welle ของเยอรมนี เสนอข่าว Coronavirus: How long can Thailand survive without foreign tourism? ตั้งคำถามว่า เศรษฐกิจของประเทศไทยจะอดทนไปได้อีกนานเท่าใดภายใต้มาตรการปิดประเทศไม่ต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งถูกใช้เพื่อป้องกันการระบาดของไวรัสโควิด-19 จากภายนอก โดยยกตัวอย่าง เกาะภูเก็ต (Phuket) จังหวัดทางภาคใต้ของไทย ผู้ประกอบการเล่าว่า ไม่มีลูกค้าเลยนับตั้งแต่ปลายเดือน มี.ค. 2563 ที่ทางการไทยเริ่มล็อกดาวน์อย่างจริงจัง และกำลังเผชิญความยากลำบากทางการเงิน
ข้อมูลเมื่อปี 2559 จากสำนักงานสถิติแห่งชาติของประเทศไทย พบว่า ชาวเยอรมันเดินทางไปเยือนเกาะภูเก็ตมากเป็นอันดับ 4 รองจีนชาวจีน รัสเซียและออสเตรเลีย ขณะที่ โธมัส มูก (Thomas Moog) เจ้าของร้านอาหารเยอรมันและบริการนำเที่ยวใน จ.ภูเก็ต ยอมรับว่า วันนี้ไม่มั่นใจในอนาคต ตนอาศัยอยู่ในประเทศไทยมา 20 ปี วิกฤติครั้งนี้รุนแรงกว่าเหตุการณ์คลื่นยักษ์สึมามิซัดถล่มเกาะภูเก็ตเมื่อปี 2547 ครั้งนั้นเมื่อคลื่นพัดผ่านไปผู้ประกอบการก็เก็บกวาดซ่อมแซมร้านเพื่อกลับมาเปิดใหม่ แต่ครั้งนี้ไม่รู้ว่าเมื่อไรเหตุการณ์จะคลี่คลายลง
รายงานข่าวกล่าวต่อไปว่า ในปี 2562 มีผู้เดินทางไปเยือน จ.ภูเก็ต ราว 14 ล้านคน ในจำนวนนี้เป็นชาวต่างชาติถึง 10 ล้านคน อนึ่ง เมื่อมีข่าวว่ารัฐบาลไทยมีแนวคิดยกเลิกการปิดประเทศ มูก เป็นคนหนึ่งที่หวังว่ามันจะทำให้เศรษฐกิจบนเกาะภูเก็ตฟื้นตัวดีขึ้น เพราะแม้จะมีการท่องเที่ยวจากชาวไทยด้วยกัน แต่เม็ดเงินนั้นไม่อาจชดเชยได้กับรายได้ที่สูญเสียไปเมื่อไร้นักท่องเที่ยวต่างชาติ
นายภูมิกิตติ์ รักแต่งาม (Bhummikitti Ruktaengam) นายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ต ระบุว่า แม้จะมีความต้องการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวชาวไทย แต่สถานการณ์การท่องเที่ยวใน จ.ภูเก็ต ก็ยังน่าเป็นห่วง โดยผลประกอบการช่วงครึ่งปีแรกของปี 2563 ธุรกิจท่องเที่ยวบนเกาะภูเก็ต ขาดทุนรวมกันถึง 1.8 แสนล้านบาท ดังนั้นความท้าทายคือทำอย่างไรเพื่อให้ผู้ประกอบการเชื่อมั่นว่าจะรอดพ้นวิกฤติ
ประเทศไทยนั้นด้านหนึ่งประสบความสำเร็จในการควบคุมการระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยมีผู้ติดเชื้อเพียงประมาณ 3,500 คน และเสียชีวิตเพียง 58 คน แต่อีกด้านหนึ่ง มาตรการล็อกดาวน์รวมถึงการปิดประเทศส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจที่พึ่งพาการท่องเที่ยวเป็นสำคัญอย่างรุนแรง โดยในปี 2562 ที่ผ่านมา มีชาวต่างชาติเดินทางไปเยือนประเทศไทยถึง 39.8 ล้านคน กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาของไทย ระบุว่า ในปีดังกล่าวไทยมีรายได้จากการท่องเที่ยวมากถึง 1.9 ล้านล้านบาท
ส่วนนายดอน นาครทรรพ (Don Nakornthab) ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวเมื่อวันที่ 31 ส.ค. 2563 ว่า ในปี 2563 น่าจะมีชาวต่างชาติเดินทางเข้าไทยเพียง 8 ล้านคนเท่านั้น และอาจจะน้อยลงได้อีก
ขณะที่ รศ.ดร.จุฑาทิพย์ จงวนิชย์ (Juthathip Jongwanich) อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า รัฐบาลต้องเตรียมแผนรองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ อย่างน้อยก็ให้ไปในบางพื้นที่ที่สามารถควบคุมโรคระบาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ หาไม่แล้วการท่องเที่ยวไทยคงอยู่ไม่รอดพ้นสิ้นปี 2563 แน่นอน
กลับมาที่ จ.ภูเก็ต มีรายงานว่า รัฐบาลไทยมีแผนจะให้ชาวต่างชาติเดินทางมาที่เกาะภูเก็ต แต่ต้องเป็นการพักระยะยาวอย่างน้อย 30 วัน โดย 14 วันแรกเป็นการกักตัวในโรงแรมเพื่อตรวจคัดกรองว่าติดเชื้อโควิด-19 หรือไม่ หากครบ 14 วันแล้วไม่พบเชื้อ วันที่เหลือหลังจากนั้นจะสามารถไปท่องเที่ยวในที่อื่น ๆ ได้ ภูมิกิตติ์ ระบุว่า รัฐบาลไทยได้พูดถึงนโยบาย “5T” ประกอบด้วย Target (ระบุเป้าหมาย) Testing (ตรวจคัดกรอง) Tracing (ติดตาม) Treatment (รักษา) และ Trust (ไว้วางใจ) เพื่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวและฟื้นฟูเศรษฐกิจ
ถึงกระนั้น ยังไม่มีความชัดเจนว่าเกาะภูเก็ตจะได้รับอนุญาตให้เปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติได้เมื่อใด แม้จะมีรายงานจากสื่อมวลชนในประเทศไทยว่าน่าจะเป็นวันที่ 1 ต.ค. 2563 ก็ตาม ภูมิกิตติ์ ย้ำว่า จ.ภูเก็ต จะกลับมาเปิดรับชาวต่างชาติอีกครั้งเมื่อพร้อม พร้อมเตือนว่าต้องระวังไม่ให้เกิดภาวะที่เรียกว่า “ภูเก็ตช้ำ” และบาดเจ็บจากการเปิดเมืองครั้งใหม่ที่ผิดพลาด
รายงานข่าวทิ้งท้ายด้วยความเห็นของ มูก ที่มองว่า ภูเก็ตโมเดล น่าจะดึงดูดความสนใจจากชาวยุโรปกลุ่มสแกนดิเนเวีย (สวีเดน เดนมาร์ก นอร์เวย์และฟินแลนด์-ผู้แปล) วัยเกษียณ รวมถึงชาวเยอรมัน ที่ต้องการหนีจากฤดูหนาวในบ้านเกิด แต่ก็ยังสงสัยเรื่องมาตรการกักตัว 14 วัน แต่ ภูมิกิตติ์ ก็ยังหวังว่า นักท่องเที่ยวจะสนใจมาเยือน จ.ภูเก็ต แม้จะมีเงื่อนไขต้องกักตัว 14 วันก็ตาม
เบอร์ลิน/วอชิงตัน (เอเอฟพี/รอยเตอร์/บีบีซี นิวส์) - ทางการเยอรมนีแถลงมีข้อพิสูจน์ชัดแจ้งแล้วว่า นายอเล็กซีย์ นาวัลนี นักการเมืองฝ่ายค้านรัสเซีย ซึ่งเป็นไม้เบื่อไม้เมากับประธานาธิบดีวลาดีมีร์ ปูติน ถูกวางยาด้วยสารพิษทำลายระบบประสาท “โนวีชอก” ขณะที่รัฐบาลสหรัฐยังไม่แสดงท่าทีใดๆ ต่อเรื่องนี้
นายกรัฐมนตรีอังเกลา แมร์เคิล ผู้นำเยอรมนี แถลงว่า นายนาวัลนีตกเป็นเหยื่อของความพยายามลอบสังหาร และโลกควรจะเรียกร้องให้รัสเซียตอบคำถามนี้ โดยนายนาวัลนีเดินทางมารักษาตัวในกรุงเบอร์ลิน หลังจากล้มป่วยบนเครื่องบินโดยสารระหว่างเดินทางจากเมืองทอมส์ก ในไซบีเรียไปยังกรุงมอสโกเมื่อเดือนที่แล้ว เที่ยวบินของเขาต้องขอลงจอดฉุกเฉินในเมืองออมส์ก ซึ่งแพทย์รักษาเขาอยู่ 3 วัน ก่อนย้ายไปยังโรงพยาบาลชาริเต ในกรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี และขณะนี้อาการยังโคม่า กลุ่มผู้สนับสนุนของเขาสงสัยว่า มีการวางยาพิษในถ้วยชาที่สนามบินเมืองทอมส์ก และว่าเขาถูกวางยาพิษตามคำสั่งของประธานาธิบดีปูติน
นางแมร์เคิลกล่าวว่า หุ้นส่วนของเยอรมนี ทั้งองค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ หรือนาโต และสหภาพยุโรป หรืออียู ต่างได้รับข้อมูลผลการตรวจสอบแล้ว พวกเขาจะตัดสินใจไปในทิศทางเดียวกันและหามาตรการตอบโต้ที่เหมาะสมบนพื้นฐานการกระทำของรัสเซีย ในนามรัฐบาลเยอรมนี เธอขอประณามเหตุการณ์นี้ด้วยถ้อยคำที่แข็งกร้าวที่สุด ด้านโฆษกทำเนียบเครมลิน เรียกร้องให้เยอรมนีแลกเปลี่ยนข้อมูลกันอย่างเต็มที่ ส่วน มาเรีย ซากาโรวา โฆษกกระทรวงต่างประเทศรัสเซีย ระบุว่า ข้อกล่าวหาเรื่องการใช้สารพิษโนวีชอก ไม่ได้มีหลักฐานสนับสนุน
ก่อนหน้านี้ สารพิษทำลายระบบประสาทโนวีชอก เคยถูกใช้กับนายเซอร์เกย์ สคริพัล อดีตสายลับรัสเซียและลูกสาวของเขาในสหราชอาณาจักรในปี 2561 ซึ่งทั้งคู่โชคดีรอดชีวิต แต่ในเวลาต่อมา ก็มีหญิงชาวอังกฤษคนหนึ่งเสียชีวิตในโรงพยาบาล สหราชอาณาจักร กล่าวหาหน่วยข่าวกรองกองทัพรัสเซียอยู่เบื้องหลังการปฏิบัติการโจมตีด้วยสารพิษครั้งนี้ ด้านนายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสันผู้นำอังกฤษ ทวีตข้อความ ประณามการโจมตีครั้งล่าสุดนี้ว่าเป็นการกระทำที่มันเหลือทนรัฐบาลรัสเซียต้องอธิบายว่าเกิดอะไรขึ้นกับนายนาวัลนี อังกฤษจะทำงานร่วมกับหุ้นส่วนระหว่างประเทศเพื่อรับประกันว่า จะได้ความยุติธรรม ส่วนอียูเรียกร้องให้รัฐบาลรัสเซียสอบสวนอย่างโปร่งใสและนำตัวผู้รับผิดชอบมาดำเนินคดี ขณะที่นายเยนส์ สโตลเทนเบิร์ก เลขาธิการนาโต ก็ทวีตข้อความเรียกร้องให้ทำการสอบสวน และสภาความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐ หรือเอ็นเอสซี แถลงว่า การวางพิษถือเป็นสิ่งที่น่าประณามอย่างที่สุด สหรัฐจะทำงานร่วมกับพันธมิตร และประชาคมระหว่างประเทศเพื่อนำตัวผู้กระทำความผิดในรัสเซียมาลงโทษ
อย่างไรก็ดี รัฐบาลสหรัฐยังไม่แสดงท่าทีใดๆ ในเรื่องนี้ มีเพียงโฆษกสภาความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐที่ทวีตว่า สหรัฐเป็นห่วงอย่างยิ่งหลังทราบเรื่องนี้ การวางยาพิษนายนาวัลนีเป็นเรื่องที่น่าประณามอย่างรุนแรง และรัสเซียเคยใช้สารโนวีชอกมาก่อน สหรัฐจะประสานกับพันธมิตรและประชาคมโลกหาทางนำตัวผู้อยู่ในรัสเซียมาลงโทษ ไม่ว่าหลักฐานจะชี้ไปทางใดและจะสกัดเงินทุนสนับสนุนกิจกรรมชั่วร้าย ชาวรัสเซียมีสิทธิแสดงความเห็นอย่างสันติโดยไม่ต้องหวาดกลัวว่าจะถูกแก้แค้นในทุกรูปแบบ
ก่อนหน้านี้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เคยตอบผู้สื่อข่าวเมื่อวันที่ 20 สิงหาคมหลังจากนายนาวัลนีถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลในรัสเซียเนื่องจากหมดสติบนเครื่องบินว่า ยังไม่มีข้อมูล รัฐมนตรีต่างประเทศจะรายงานให้เขาทราบในเร็วๆ นี้
© 2011 - 2026 Thai LA Newspaper 1100 North Main St, Los Angeles, CA 90012