ข่าว
นายกฯ เซ็นคำสั่งปราม “บิ๊กโจ๊ก” รักษาจรรยา-วินัย ห้ามทำข้ามผู้บังคับบัญชา

“บิ๊กตู่” ลงนามคำสั่งนายกรัฐมนตรี ปราม “บิ๊กโจ๊ก-สุรเชษฐ์ หักพาล” รักษาจรรยาและวินัยข้าราชการ ห้ามกระทำการประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ห้ามทำการข้ามผู้บังคับบัญชาเหนือตน

วันที่ 24 ม.ค. 2563 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ลงนามใน คำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 1/2563 เรื่อง ให้ข้าราชการรักษาจรรยาและวินัยข้าราชการ ตามที่ได้มีคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 2/2562 ลงวันที่ 9 เมษายน 2562 สั่งให้ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ขาดจากการเป็นข้าราชการตำรวจ และให้โอนไปเป็นข้าราชการพลเรือนเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในกรอบอัตรากำลัง ชั่วคราวเป็นกรณีพิเศษในสำนักนายกรัฐมนตรี ตามมาตรการแก้ไขปัญหาเจ้าหน้ที่ของรัฐที่อยู่ระหว่างถูกตรวจสอบซึ่งเป็นตำแหน่งที่ได้รับเฉพาะเงินเดือน โดยไม่ได้รับเงินประจำตำแหน่งและสิทธิประโยชน์ประจำตำแหน่งนั้น

เพื่อให้ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ รักษาจรรยาและวินัยข้าราชการ และเพื่อให้การปฏิบัติงานของข้าราชการดังกล่าวเป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง อาศัยอำนาจตามข้อ 1 (1) ของบัญชี ห้าท้ายคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 9/2562 ลงวันที่ 9 กรกฎาคม 2562 มาตรา 87 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 และหนังสือสำนักงาน ก.พ. ที่ นร 1011/ว 12 ลงวันที่ 21 สิงหาคม 2556 นายกรัฐมนตรีในฐานะผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอำนาจสั่งบรรจุและแต่งตั้งจึงเห็นสมควรกำชับให้ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ รักษาจรรยาและวินัยข้าราชการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเหตุ ดังต่อไปนี้

1. ไม่กระทำการอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ไม่ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยทุจริต ไม่รายงานเท็จต่อผู้บังคับบัญชา ไม่ปฏิบัติราชการอันเป็นการกระทำการข้ามผู้บังคับบัญชาเหนือตน ไม่อาศัยตำแหน่งหน้าที่ราชการของตนหาประโยชน์แก่ตนเองและผู้อื่น ไม่ประมาทเลินเล่อในหน้าที่ราชการ ไม่ละทิ้งหรือทอดทิ้งหน้าที่ราชการ ไม่กระทำการอันเป็นการกลั่นแกล้ง กดขี่ ข่มเหงกันในการปฏิบัติราชการ ไม่ดูหมิ่นเหยียดหยามประชาชน

2 ปฏิบัติหน้าที่ราชการให้เป็นไปตามกฎหมาย กฎระเบียบ ของทางราชการ ด้วยความโปร่งใสและสามารถตรวจสอบได้ อุทิศเวลาของตนให้แก่ราชการ รักษาความลับของทางราชการ มีความสุภาพ เรียบร้อย รักษาความสามัคคี ช่วยเหลือการปฏิบัติราชการระหว่างข้าราชการด้วยกันและผู้ร่วมปฏิบัติราชการ

ทั้งนี้ ให้ข้าราชการดังกล่าวปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ แต่ให้งดการมอบหมายงานพิเศษและสำคัญ และหากมีกรณีไม่รักษาจรรยาและวินัยข้าราชการให้ผู้บังคับบัญชาดำเนินการทางวินัยต่อไป.

ไวรัสระบาด-จีนยกเลิกทัวร์ 3 เดือน คาดไทยสูญเสียนักท่องเที่ยว 1.89 ล้านคน

ไวรัส – วันที่ 24 ม.ค. นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า คาดจีนจะประกาศมาตรการยุติทำทัวร์ในเบื้องต้น เป็นระยะ 3 เดือน คือสิ้นสุดเดือนเม.ย. 2563 ดังนั้น จากเทศกาลตรุษจีน จนถึง เดือนเม.ย.ในกรณีปกติจะมีนักท่องเที่ยวไปไทยประมาณ 2.7 ล้านประเมินว่าในขณะนี้ จากการระบาดที่ยังค่อนข้างรุนแรง และยังไม่สามารถหยุดการแพร่ระบาดได้ ไทยจะสูญเสียนักท่องเที่ยวประมาณ 70% หรือสูญเสียนักท่องเที่ยวประมาณ 1.89 ล้านคน ในช่วงเทศกาลตรุษจีน – เม.ย.2563 หากรัฐบาลจีนสามารถควบคุมการระบาดได้เร็วขึ้น อาจจะประเมินผลเสียหายอีกครั้ง

“ปัจจุบันนี้ เราคงไปกระตุ้นอะไรไม่ได้ เพราะเป็นความพยายามที่จะหยุดการแพร่กระจายของไวรัส และเป็นมาตรการป้องกันที่ควรกระทำในการหยุดการเดินทางทั้งหมดในจีน สิ่งที่ไทยควรทำคือประชาสัมพันธ์มาตรการดูแลนักท่องเที่ยวในกรณีการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัส และดูแลนักท่องเที่ยวจีน กรณีตกค้างอยู่ในไทย เนื่องจากบางสายการบินหยุดบิน โดยเฉพาะเส้นทางเชื่อมกับเมืองอู่ฮั่น และเตรียมหาตลาดทดแทนนักท่องเที่ยวจีน ซึ่งอาจจะหยุดเดินทางอย่างน้อย 3 เดือน”


คาดศาลรัฐธรรมนูญเร่งวินิจฉัย พ.ร.บ.งบประมาณ 63

24 มกราคม 2563 - 17:19 น. หลังเกิดเหตุ ส.ส. เสียบบัตรแทนกัน ชวน ยื่นศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย พ.ร.บ.งบประมาณ 63 แล้ว คาดศาลเร่งพิจารณาสัปดาห์หน้า

ศาลรัฐธรรมนูญ 24 มกราคม 2563 เวลา 15.54 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้ลงนามและให้เจ้าหน้าที่นำคำร้องเพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญ (ศร.) วินิจฉัยร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ 2563

หลังมีเหตุ ส.ส. เสียบบัตรแทนกันในการลงมติร่างฯ กฎหมายดังกล่าว โดยเจ้าหน้าที่ได้ใช้รถประจำรัฐสภานำคำร้องมายื่นที่ศาลรัฐธรรมนูญ โดยเจ้าหน้าที่ห้องรับคำร้องได้ตรวจคำร้องของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในการยื่นร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ 2563

อย่างไรก็ตาม คาดว่าศาลรัฐธรรมนูญจะนำคำร้องดังกล่าวเข้าพิจารณาในที่ประชุมคณะตุลาการศาลภายในสัปดาห์หน้า เนื่องจากกฎหมายงบประมาณถือเป็นเรื่องสำคัญ


ผู้นำฝ่ายค้าน ซัดเสียบบัตรแทนกัน ต้องมีคนรับผิดชอบ อย่าทำให้เคลือบแคลง

นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย และผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยถึงกรณีการเสียบบัตรแทนกันของ ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งสะท้อนให้เห็นผลกระทบที่สำคัญ 2 ด้าน ทั้งทางด้านความเสียหายต่อเศรษฐกิจประเทศ และความเสียหายต่อบรรทัดฐานของการตีความกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมในสังคม เนื่องจากการเสียบบัตรแทนกันครั้งนี้ เป็นการลงมติเพื่อเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2563 เป็นร่าง พ.ร.บ. ที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง

ดังนั้น เมื่อมีปัญหาที่ถูกตั้งคำถามเกี่ยวกับความชอบในการตรา พ.ร.บ.ฉบับนี้ อันจะส่งผลให้เกิดความล่าช้าของการประกาศใช้ พ.ร.บ.งบประมาณ ซึ่งจะส่งผลต่อความเสียหายทางเศรษฐกิจที่กระทบต่อเงินลงทุนของประเทศอย่างหนัก จึงนับเป็นเรื่องที่ใหญ่มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ประเทศต้องการการขับเคลื่อนจากการลงทุนภาครัฐ ถือเป็นความหวังเดียวที่เหลืออยู่ในการแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจขณะนี้ อีกทั้งความล่าช้านี้ยังจะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงและสร้างความชะงักงันต่อเศรษฐกิจประเทศ

นอกจากนี้ นายสมพงษ์ ระบุด้วยว่าในความเห็นของส่วนตัว เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้ส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อกระบวนการยุติธรรมในสังคมอย่างยิ่ง เมื่อพิจารณาจากบรรทัดฐานในอดีตที่เราสามารถเทียบเคียงได้อย่างชัดเจนว่าการร่าง พ.ร.บ.งบประมาณครั้งนี้มีกระบวนการตราที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งจะส่งผลให้ พ.ร.บ.ฉบับนี้เป็นโมฆะได้ ขณะนี้ทุกฝ่ายกำลังเฝ้าจับตามองว่าเหตุการณ์ในครั้งนี้จะคลี่คลายอย่างไร การบิดเบือนหรือการตีความใดๆ ในขณะนี้ที่ต่างออกไปจากข้อสรุปและความเชื่อที่สังคมมีอยู่ น่าจะเป็นการทำลายความน่าเชื่อถือของกระบวนการยุติธรรมที่กำลังมีข้อกังขาอยู่ในปัจจุบัน

ดังนั้น กระบวนการแก้ไขปัญหาที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ไป ทุกองค์กรที่มีส่วนเกี่ยวข้องต้องยึดมั่นในหลักการตามกฎหมาย และตามบรรทัดฐานที่ถูกต้องที่เคยมีมาในอดีต เพื่อป้องกันมิให้เกิดความเคลือบแคลงและบั่นทอนต่อความเชื่อมั่นต่อระบบรัฐสภาไทย ต่อระบบกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมไทย สิ่งที่เป็นข้อพึงระวังคือ ทุกฝ่ายต้องไม่คิดแก้ไขปัญหาแค่เพียงการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าเพียงเพื่อให้ พ.ร.บ.งบประมาณผ่านไปได้โดยไม่คำนึงถึงผลเสียหายอย่างรุนแรงในอนาคตที่จะเกิดขึ้น

“ผมหวังว่าผู้ที่มีส่วนร่วมรับผิดชอบ ไม่ว่าจะเป็น ส.ส.ที่เสียบบัตรแทนเพื่อน ส.ส.ที่ฝากบัตรให้เพื่อนเสียบแทน หัวหน้าพรรคการเมืองที่มีสมาชิกกระทำผิด ประธานสภาผู้แทนราษฎร และนายกรัฐมนตรี รวมทั้งคณะรัฐมนตรี ตลอดจนองค์กรอิสระที่เกี่ยวข้อง ต้องตระหนักถึงภาระความรับผิดชอบที่สำคัญนี้ ไม่ปล่อยให้ปัญหานี้จบลงด้วยวิธีการที่สร้างความเคลือบแคลงใจกับคนในประเทศ และทำลายความเชื่อมั่นของนานาประเทศ เหมือนหลายๆ ครั้งที่ผ่าน อย่าให้ประเทศเราต้องบอบช้ำไปมากกว่าที่เป็นอยู่เลยครับ”


ผู้ประท้วงฮ่องกงกว่า 7,000 คน รอถูกดำเนินคดี

24 ม.ค. 2563 10:10 น. ทางการฮ่องกงอยู่ระหว่างเร่งดำเนินคดีผู้ถูกจับกุมเกี่ยวข้องกับการประท้วงรัฐบาลนานกว่า 7 เดือน นับตั้งแต่การประท้วงต่อต้านกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดนให้จีนตั้งแต่ช่วงเดือน มิ.ย.ปีที่แล้ว กระทั่งการประท้วงลุกลามบานปลายกลายเป็นการเรียกร้องปฏิรูปประชาธิปไตยและเกิดการปะทะกันอย่างต่อเนื่องระหว่างเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงฮ่องกงกับกลุ่มผู้ประท้วงต่อเนื่องเกือบทุกสัปดาห์ โดยผู้ถูกจับกุมทั้งหมดแล้วกว่า 7,000 คน

กระบวนการดำเนินคดีแก่ผู้ก่อความไม่สงบถูกตั้งข้อกล่าวหาแล้วกว่า 1,092 ราย ถูกตัดสินโทษจำคุกแล้ว 12 ราย โทษจำคุกนานที่สุดคือ 14 เดือน จากข้อกล่าวหาใช้ระเบิดเพลิงก่อความไม่สงบ นอกจากนั้น ผู้ถูกจับกุมมากกว่า 40 เปอร์เซ็นต์จากทั้งหมด เป็นกลุ่มนักเรียนมัธยมหรือนักศึกษามหาวิทยาลัย ซึ่งเผชิญข้อกล่าวหาแตกต่างกันไป ไล่ตั้งแต่จลาจล ลอบวางเพลิงและครอบครองอาวุธ โดยข้อกล่าวหารุนแรงที่สุดคือ ข้อหาก่อจลาจล ซึ่งอาจถูกตัดสินโทษจำคุกสูงสุดถึงกว่า 10 ปี

อย่างไรก็ตาม ผู้ถูกจับกุมส่วนใหญ่ได้รับอนุญาตประกันตัว แต่หากคนเหล่านั้นถูกจับกุมซ้ำด้วยข้อหาเกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวประท้วงอีกจะต้องถูกทางการควบคุมตัวเอาไว้จนกว่าจะเสร็จสิ้นกระบวนการพิจารณาคดีความผิด ขณะที่กฎหมายเขตบริหารพิเศษฮ่องกงอนุญาตเจ้าหน้าที่จับกุมควบคุมตัวผู้ต้องหาโดยไม่แจ้งข้อกล่าวหาได้นานเพียง 48 ชั่วโมง หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ต้องปล่อยตัวหรืออนุญาตผู้ต้องหาได้รับการประกันตัว

ข่าวแจ้งว่า นับตั้งแต่วันขึ้นปีใหม่ 1 ม.ค.ที่ผ่านมา ทางการฮ่องกงจับกุมผู้เคลื่อนไหวประท้วงทางการแล้วมากกว่า 400 ราย โดยตำรวจพยายามขัดขวางการจัดกิจกรรมต่างๆทางการเมือง ทั้งพยายามกีดกันการเคลื่อนไหวของผู้คนเกี่ยวข้องกับงานด้านสิทธิมนุษยชน ตัวอย่างเช่น กรณีนายโรเบิร์ต ก็อดเดน ผู้ร่วมก่อตั้งองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนท้องถิ่น ซึ่งถูกจับระหว่างร่วมเคลื่อนไหวประท้วงทางการฮ่องกงภายในพื้นที่มหาวิทยาลัยโปลีเทคนิคเมื่อช่วงเดือน พ.ย.ปีที่แล้ว เขาถูกเจ้าหน้าที่กักตัวไว้สอบสวนนาน 16 ชั่วโมง ก่อนได้รับอนุญาตประกันตัว.

รวบยกแก๊ง สิบแปดมงกุฎ เลียนเสียงบิ๊กขรก. ตุ๋นเศรษฐีชรา สูญ239ล้าน

วันที่ 24 มกราคม 2563 - 22:30 น.สิบแปดมงกุฎ / เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 24 ม.ค. ที่ กองปราบปราม พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ รอง ผบก.ป. พ.ต.อ.เนติ วงษ์กุหลาบ ผกก.5 บก.ป. พ.ต.ท.สุพจน์ พุ่มแหยม พ.ต.ท.อนุชา ศรีสำโรง รอง ผกก.5 บก.ป.

แถลงจับกุมจับกุมนายอภิชาต อินสว่าง อายุ 59 ปี นายทรรศพล ทัศน์พลสกุล อายุ 56 ปี นายปกรณ์ กรุงศรี อายุ 37 ปี นางพัชราภรณ์ ไตรจักรปราณี อายุ 58 ปีและน.ส.ภัทราภรณ์ หมั่นกิจ อายุ 24 ปี

ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ที่ 83-86 / 2563 ลงวันที่ 22 ม.ค. 2563 ข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงและร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่น,ร่วมกันเอาไปเสียซึ่งเอกสารของผู้อื่น,ร่วมกันปลอมและใช้เอกสารปลอม,ร่วมกันแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้อื่นกระทำตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารมหาชนหรือเอกสารราชการ ”

พ.ต.อ.เอนก กล่าวว่า เมื่อกลางปี 2562 มีอดีตวิศวกรวัย 79 ปี เข้ามาร้องกองปราบฯว่าได้ถูกนายอภิชาตและพวก ร่วมกันหลอกลวงเอาทรัพย์สินมีค่าไปหลายรายการ มีทั้งเงินสด และโฉนดที่ดินอีกหลายแปลง มูลค่าความเสียหายประมาณ 239 ล้านบาท

สอบสวนผู้เสียหาย ให้การว่า เมื่อปี 2555 นายอภิชาต ผู้ต้องหาได้เข้ามารู้จักกับนายนฤบ ผ่านพรรคพวกที่อยู่ในแวดวงธุรกิจซื้อขายที่ดิน เนื่องจากเห็นว่าผู้เสียหายเป็นผู้สูงอายุที่มีฐานะร่ำรวย และก็ไม่ค่อยมีญาติอยู่ด้วย

จากนั้นกลุ่มผู้ต้องหาก็จะออกอุบายว่า ตนเองมีคดีความอยู่ที่ศาลอาญา ทำให้เงินในบัญชี จำนวน 20 ล้านบาท ถูกอายัด พร้อมกับมาขอยืมเงินจากผู้เสียหาย ไป 15 ล้านบาท เพื่อไปเดินเรื่องถอนอายัดเงิน หากได้แล้วก็จะมาคืนให้ ผู้เสียหายหลงเชื่อ แต่ก็ทำสัญญากู้ยืมไว้เป็นหลักฐาน

จนกระทั่งเวลาผ่านไปถึงปี 2558 นายอภิชาต ก็ยังไม่สามารถนำเงินมาคืนให้ผู้เสียหายได้ เมื่อทวงถาม ผู้ต้องหาก็จะจ่ายเช็คเงินสดมาให้ แต่เมื่อนำไปขึ้นเงินกลับไม่สามารถขึ้นเงินได้

พ.ต.อ.เอนก กล่าวว่า เมื่อผู้เสียหายเริ่มสงสัย นายอภิชาต ก็ออกอุบายใหม่ขึ้นมาอีก อ้างว่าตอนนี้เงินที่ถูกศาลอายัดได้ถูกถอนอายัดแล้ว เหลือเพียงแค่ทาง ปปง. ที่ยังคงอายัดเงินอยู่ แต่ก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะรู้จักกับ พ.ต.อ.สีหนาท ประยูรรัตน์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ปปง. สามารถวิ่งเต้นถอนอายัดเงินได้

ก่อนจะให้ผู้ต้องหาคนอื่นที่อยู่ร่วมขบวนการเดียวกัน ใช้โทรศัพท์แบบไม่แสดงหมายเลขโทรมาหาผู้เสียหาย พร้อมอ้างตัวว่าเป็น พ.ต.อ.สีหนาท ระบุว่าสามารถช่วยเหลือเรื่องเงินของนายอภิชาตได้ แต่ตอนนี้ตนกำลังจะถูกโยกย้ายจึงอยากขอยืมเงิน 34 ล้านบาท ไปวิ่งเต้นเพื่อให้ได้อยู่ตำแหน่งเดิม ด้วยความที่อยากได้เงินคืนผู้เสียหายจึงหลงเชื่ออีก ยอมมอบเงินให้กับผู้ต้องหากลุ่มนี้ไปอีกตามที่ร้องขอของขวัญให้กับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี

พร้อมกันนี้กลุ่มผู้ต้องหายังหลอกลวงเอาที่ดินของผู้เสียหายไปอีกหลายแปลง มูลค่าหลายสิบล้านบาทไปขายต่อ อ้างว่าจะเสนอผลกำไรจากโควตาสลากกินแบ่งรัฐบาล ตลอด 4 ปี มูลค่ากว่า 1 พันล้านบาท ให้เป็นค่าตอบแทนให้ ผู้เสียหายจึงหลงเชื่อยอมให้ไป

สุดท้ายผู้เสียหายเริ่มผิดสังเกตเพราะเห็นว่าตั้งแต่ให้ยืมเงินไปก็ยังไม่ได้รับเงินที่ยืมไปกลับคืนมาบ้างเลย จึงเริ่มตรวจสอบจนทราบความจริง ซึ่งกว่าที่ผู้เสียหายจะรู้ตัวว่าตกเป็นเหยื่อก็สูญเงินรวมกว่า 239 ล้านบาท จึงได้นำเรื่องมาร้องเรียนกองปราบ จนมีการสืบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน ก่อนจะติดตามจับกุมตัวผู้ต้องหากลุ่มนี้ได้ดังกล่าว

พ.ต.อ.เอนก กล่าวต่ออีกว่า จากการสอบสวน นายอภิชาต นายทรรศพล นางพัชราภรณ์ ยังคงให้การปฏิเสธ ส่วนนายปกรณ์ และน.ส.ภัทราภรณ์ ให้การภาคเสธ โดยอ้างว่าทราบและรู้เห็นพฤติการณ์บางส่วน เช่นการนำนำเช็คของผู้เสียหายไปถอนเงิน แต่ไม่ได้มีส่วนร่วมในการหลอกลวง แต่ทางเจ้าหน้าที่ยังไม่ปักใจเชื่อ จึงแจ้งข้อกล่าวหาตามหมายจับ นำตัวส่งพนักงานสอบสวน กก.5 บก.ป. ดำเนินคดีตาม

พ.ต.อ.เอนก กล่าวต่อว่า แม้กลุ่มผู้ต้องหากลุ่มนี้จะได้เงินจากผู้เสียหายไปจำนวนมากแล้ว แต่ก็ยังวางแผนหลอกเอาเงินผู้เสียอีกอย่างต่อเนื่อง โดยทำทีให้ผู้ร่วมขบวนการปลอมเสียงโทรศัพท์มาหาผู้เสียหาย อ้างตัวว่าเป็น พล.อ.อภิรัชต์ คงสงพงษ์ ผบ.ทบ. สมัยนั้นยังเป็นพล.ท. เพื่อพูดคุยสร้างความสนิทสนมเรื่อยมา

เมื่อเห็นว่าผู้เสียหายเริ่มหลงเชื่อ จึงออกอุบายขอยืมเงินอีก 100 ล้านบาท โดยอ้างว่าจะนำไปใช้ซื้อของตามกฎหมายต่อไป