ข่าว
ชื่นชมแท็กซี่หัวใจงามส่งพระ-คนพิการฟรี

สังคมออนไลน์ แชร์ภาพ "แท็กซี่ หัวใจงาม" โชเฟอร์หนุ่มวัย 37 ปี ติดสติกเกอร์ บอกบุญ รับผู้โดยสารไปทุกที่ ส่วนพระสงฆ์ สามเณร แม่ชี คนพิการ นั่งฟรี เจ้าตัวเผยทำแบบนี้มาตั้งแต่เริ่มอาชีพ ชี้ไม่อยากรอให้รวยก่อน แล้วค่อยทำบุญ พร้อมเผย หัวใจบริการคือ ผู้โดยสารเหมือนญาติพี่น้อง

จากกรณีสื่อสังคมออนไลน์ เฟซบุ๊กเผยแพร่ภาพ รถแท็กซี่ติด ติดสติกเกอร์ข้างรถข้อความว่า “เชิญครับไปทุกที่ พระสงฆ์สามเณร แม่ชี นิมนต์นั่งฟรีคนพิการ คนตาบอดนั่งฟรี” อีกทั้งภายในตัวรถ ยังติดคำสอนและรูปในหลวงไว้เต็มหลังคารถด้านใน ซึ่งผู้ที่แชร์ภาพดังกล่าว ยังให้รายละเอียดว่า โชเฟอร์ที่ขับรถคันนี้ ไม่เคยปฏิเสธผู้โดยสาร จนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ไปในวงกว้าง โดยส่วนใหญ่ชื่นชมว่าเป็นคนที่มีจิตใจดีงาม น่ายกย่องและเป็นแบบอย่างที่ดี

ความคืบหน้า เมื่อวันที่ 12 ม.ค. ผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยจาก นายสุวรรณฉัตร พรหมชาติ อายุ 37 ปี ชาวจ.นครศรีธรรมราช เจ้าของรถแท็กซี่สีเขียวเหลืองหมายเลขทะเบียน มฎ-2840 กรุงเทพ ว่า เริ่มขับรถแท็กซี่มาตั้งแต่อายุ 18-19 ปี และเริ่มให้บริการรังส่งฟรี สำหรับพระสงฆ์สามเณร แม่ชี และคนพิการตาบอดพิการแขนขา มาตั้งแต่ตอนนั้น นับจนถึงวันนี้กว่า 10 ปี แล้ว

โดยในช่วงแรกต้องเช่ารถจากอู่มาขับ จึงไม่สามารถติดสติ๊กเกอร์ได้ แต่จะใช้วิธีเปิดประตูรถกว้าง ๆ แล้วนิมนต์พระ สามเณร แม่ชี หรือ เรียกคนพิการขึ้นรถ แต่พอช่วง 5 ปี หลังมานี้ พอมีทุนซื้อรถแท็กซี่ของตัวเอง จึงสั่งตัดสติ๊กเกอร์ติดไว้รอบคัน ปกติจะวิ่งรถรับพระ สามเณร แม่ชี และคนพิการ ประมาณวันละ 4-5 เที่ยว บางวันรับสูงสุดถึง 8 เที่ยว เมื่อผู้โดยสารทั่วไปเรียก ก็ไม่เคยปฏิเสธ ไม่มีข้ออ้างว่า ต้องไปเติมแก๊ส เพราะถ้ารู้ว่าแก๊สไม่พอ ก็ปิดไฟว่างแล้วไปหาปั๊มเติม

"เวลาผมรับพระสงฆ์ขึ้นรถ ผมก็จะได้ฟังธรรมะไปด้วย เคยรับพระสงฆ์จากโรงพยาบาลสงฆ์ ไปส่งไกลสุดที่ อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม หรือรับจากแถวรังสิต จ.ปทุมธานี ไปส่ง อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ ขณะที่คนพิการ รับส่งฟรี เพราะอยากให้เขามีกำลังใจในการต่อสู้ชีวิต รถจอดเสียข้างถนนก็ลากให้ฟรี ต่อแบตให้ฟรี ไม่เคยคิดเรื่องขาดทุนหรือกำไร เพราะถ้าจะรอให้รวยแล้วค่อยทำบุญชาตินี้คงไม่มีโอกาสได้ทำ บางวันช่วยคนมากรับลูกค้าได้น้อย ก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวพรุ่งนี้เราค่อยหาใหม่ ต้องข้ามขั้นคำว่า “ขาดทุน” ไปให้ได้ คิดเสียว่ายิ่งทำมาก ยิ่งได้มาก นายสุวรรณฉัตร กล่าวและเผยอีกว่า

ที่สำคัญเวลารับผู้โดยสารไม่ว่าคนไทย หรือ คนต่างชาติ ต้องบริการเท่าเทียมกัน บริการทุกคนเหมือนเป็นลูก หลาน ญาติสนิท ถ้าเราเข้าใจหัวใจของการบริการแบบนี้ เราจะมีศักดิ์ศรี มีคุณธรรม ไม่มีเรื่องติดค้างในใจ นอกจากนี้ ผมยังเป็นหนึ่งในแท็กซี่จิตอาสา TRS 99.5 โครงการช่วยเหลือสังคม สถานีจราจรเพื่อสังคม ภายใต้การดูแลของสํานักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ฉะนั้นตั้งใจแล้วว่า จะทำความดี โดยยึดหลักคำสอนของในหลวงตลอดไป.

"ในหลวง"ทอดพระเนตรทัศนียภาพริมสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินไปยังสวนพระเฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษา ทอดพระเนตรทัศนียภาพริมสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา

เมื่อเวลา 17.29 น. วันที่ 13 ม.ค. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จลงจากอาคารที่ประทับ ชั้น 16 อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช เสด็จพระราชดำเนินไปยังสวนเฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษา สถาบันการแพทย์ บริเวณสวนด้านริมแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งเป็นพลับพลาทรงไทยที่สวยงามประดิษฐานพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 และพระรูปสมเด็จเจ้าฟ้าศิริราชกกุธภัณฑ์พระราชโอรส โดยมี ศ.คลินิก นพ.ประดิษฐ์ ปัญจวีนิณ ผอ.โรงพยาบาลศิริราชปิยมหาราชการุณย์ เป็นผู้เข็นรถไฟฟ้าพระที่นั่ง พร้อมด้วย ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทร อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล และคณะแพทย์และพยาบาลผู้ถวายการรักษา ตามเสด็จฯด้วย ท่ามกลางพสกนิกรที่ทราบข่าวมาเฝ้ารอรับเสด็จฯตลอดทั้งสองข้างทางเป็นจำนวนมาก

จากนั้นเสด็จไปที่พลับพลาประดิษฐานพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระรูปสมเด็จเจ้าฟ้าศิริราชกกุธภัณฑ์ พระราชโอรส ทรงวางพวงมาลัยถวายราชสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระรูปสมเด็จเจ้าฟ้าศิริราชกกุธภัณฑ์ จากนั้นทรงทอดพระเนตรทัศนียภาพสองฝั่งริมน้ำเจ้าพระยา ก่อนที่จะเสด็จพระราชดำเนินไปยังพลับพลาบริเวณด้านหน้าพิพิธภัณฑ์เรือโบราณริมคลองบางกอกน้อย ทรงทอดพระเนตรชุมชนชาวพุทธ และชาวมุสลิมที่อาศัยอยู่บริเวณโดยรอบริมคลองบางกอกน้อย และยังคงใช้เรือเป็นพาหนะในการสัญจร โดยมีชาวบ้านบางส่วนที่ทราบว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จมา ต่างพากันมาเฝ้ารับเสด็จพร้อมเปล่งเสียงทรงพระเจริญ ขณะเดียวกันมีเรือโดยสารนักท่องเที่ยวผ่านมา โดยคนขับเรือที่ได้เห็นพระพักตร์พระองค์ท่านได้ยกมือไหว้เหนือศีรษะ พร้อมเปล่งเสียง "ทรงพระเจริญ"

ก่อนเสด็จพระราชดำเนินกลับยังที่ประทับชั้น ณ ชั้น 16 อาคารเฉลิมพระเกียรติโรงพยาบาลศิริราช โดยมีประชาชนเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทส่งเสด็จจำนวนมาก พร้อมใจกันเปล่งเสียง "ทรงพระเจริญ" ดังกึกก้องและต่างปลื้มปีติที่เห็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระพักตร์แจ่มใสและมีพลานามัยที่แข็งแรง รวมเวลาในการเสด็จฯ ครั้งนี้ 1 ชม. 13 นาที

ด้านประชาชนที่มารอเฝ้ารับเสด็จ นางรุ่งนที ชัยสง่าศิลป์ อายุ 48 ปีอาชีพเจ้าหน้าที่กรมบังคับคดี เผยว่า รู้สึกปราบปลื้มและตื้นตันมากที่ได้รอเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไม่นึกว่าจะได้มีโอกาสเจอ เพราะปกติก็กลับบ้านผ่านโรงพยาบาลศิริราชอยู่แล้ว พอดีเห็นรถติดและได้ยินเจ้าหน้าที่พูดว่าจะมีเสด็จ เลยรีบมา ซึ่งเพิ่งไปลงนามถวายพระพรออนไลน์มา.


"วัลลียอดกตัญญู"แจ้งเอาผิดรายการทีวี

อดีตเด็กหญิงยอดกตัญญูชื่อดัง "วัลลี ณรงค์เวท" โร่ขึ้นโรงพัก ตามความคืบหน้าเอาผิด 3 รายการโทรทัศน์ หลังคดีเงียบเกือบ 3 เดือน เผยเอาชีวิตรันทดวัยเด็กที่ต้องดูแล แม่-ยาย ป่วยพิการ มาล้อเลียนเป็นเรื่องตลก ชี้ทำให้ลูกอับอาย ระบุขอแค่คำขอโทษเท่านั้น ด้าน ตร.รับลูก จ่อออกหมายจับหากไม่มาพบ

เมื่อวันที่ 13 ม.ค. นางวัลลี บุญเส็ง หรือ "วัลลี ณรงค์เวท" อายุ 46 ปี อดีตเด็กหญิงยอดกตัญญูที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ได้เข้าพบกับ ร.ต.ท.ธราเทพ จันทดิษฐ์ ร้อยเวร สภ.เมืองสมุทรสงคราม เพื่อติดตามความคืบหน้าของคดีที่แจ้งความไว้ โดยให้ดำเนินคดีกับรายการโทรทัศน์ถึง 3 รายการ เนื่องจากพิธีกรและผู้ดำเนินรายการนำเรื่องราวสุดรันทดในวัยเด็กมาล้อเลียนจนกลายเป็นเรื่องตลก สร้างความหดหู่ใจและเป็นการละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

โดย นางวัลลี ให้การว่า เมื่อวันที่ 17 ต.ค.57 ได้มาแจ้งความไปแล้ว 1 รอบ แต่เห็นยังไม่เห็นมีอะไรเป็นรูปธรรมจึงต้องมาติดตามความคืบหน้าอีกครั้ง ซึ่งยืนยันว่าต้องการให้ตำรวจดำเนินคดีกับทั้ง 3 รายการ ที่เอาความพิการของมารดาและยายมาทำเป็นเรื่องล้อเลียนจนตลกขบขัน และไม่อยากได้ค่าเสียหายด้วย แค่หวังว่าทางรายการจะขอโทษเท่านั้น ปัจจุบันตนมีครอบครัวและมีลูก 2 คน ซึ่งลูกทั้งคู่ก็โดนเพื่อนที่ดูรายการดังกล่าวมาล้อเลียนให้อับอายจนแทบไม่อยากไปพบเจอใคร จึงจำเป็นต้องปกป้องศักดิ์ศรี

อดีตเด็กยอดกตัญญู ให้การอีกว่า ก่อนหน้านี้เคยไปยื่นเรื่องต่อ น.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ คณะกรรมการ กสทช. เพื่อขอความเป็นธรรมแล้ว อยากให้ตรวจสอบจรรยาบรรณของผู้ผลิตรายการโทรทัศน์ที่กระทำการแบบไม่คำนึงถึงความรู้สึกคนที่ยังมีตัวตน ว่าจะใช้ชีวิตในสังคมอย่างไร ไม่อยากเชื่อว่าจะเอาความรันทด ความพิการ มาเป็นเรื่องตลก ลองกลับกันบ้างว่า หากบุคคลเหล่านั้นประสบชะตากรรมเดียวกับตน และถูกคนอื่นทำเช่นนี้บ้างจะรู้สึกอย่างไร เชื่อว่าคนพิการและคนที่มีชีวิตรันทดทุกคนคงเข้าใจความรู้สึกตนในตอนนี้

ด้าน ร.ต.ท.ธราเทพ กล่าวว่า นางวัลลีได้มาแจ้งความดำเนินคดีกับ 3 บริษัท ที่นำชีวิตของนางวัลลีไปเล่นละครตลกออกอากาศและเอาไปลงในยูทูป จนทำผู้เสียหายความอับอายจึงแจ้งข้อหาหมิ่นประมาท เบื้องต้นออกหมายเรียกไปแล้ว 1 ครั้ง แต่มีเพียงบรษัทเดียวที่ติดต่อกลับมา ส่วนอีก 2 ยังนิ่งเฉย ซึ่งจะออกหมายเรียกอีกครั้งหากยังไม่ติดต่อกลับมาอีกจะขออนุมัตหมายจับต่อไป

สำหรับ นางวัลลี บุญเส็ง หรือ วัลลี ณรงค์เวทย์ เป็นที่รู้จักกันในชื่อ "เด็กหญิงวัลลียอดกตัญญู" เกิดเมื่อปี พ.ศ.2513 เป็นชาวสมุทรสงครามโดยกำเนิดวัลลีเป็นที่รู้จักจากเหตุการณ์ความกตัญญูในวัยเด็กที่เลี้ยงดู นางวิไล ณรงค์เวทย์ แม่ที่เป็นอัมพาต และยายตาบอดทั้ง 2 ข้างเพียงลำพัง ขณะที่ยังเรียนอยู่เพียงชั้น ป.5 โรงเรียนวัดโรงธรรม หลังจากคณะครูเห็นความมุมานะบนความน่าสงสารจึงพยายามช่วยเหลือ ก่อนที่ความกตัญญูของเจ้าตัวจะเผยแพร่เป็นข่าวหน้าหนึ่งของ นสพ. ทำให้ วัลลี กลายเป็นที่รู้จักทั้งประเทศ จากนั้นก็มีการนำชีวิตสุดรันทดไปเขียนลงหนังสือและสร้างเป็นภาพยนตร์จนมีผู้กล่าวขาน ปัจจุบัน นางวัลลี ได้แต่งงานกับ พ.ต.ท.ธนพัฒน์ บุญเส็ง (ขณะนั้นชื่อ ส.ต.ท.บุญเรือน บุญเส็ง) มีบุตร 2 คน เป็นชาย 1 คน และหญิง 1 คน ปัจจุบันประกอบอาชีพธุรกิจส่วนตัวและพักอาศัยที่บ้านเดิมใน จ.สมุทรสงคราม.


รวบ"เชาวรินธร์"อดีตส.ส.เพื่อไทยฐานฉ้อโกง-แฮกข้อมูล

รวบคาสนามบินสุวรรณภูมิ"เชาวรินทร์" อดีตส.ส. เพื่อไทย หลังถูกบริษัทปูนกัมพูชา กล่าวหา แฮกข้อมูลอีเมล์ ลวงให้โอนเงินกว่า 11 ล้านบาทเข้าบัญชีสมาคมฯ ซึ่งตัวเองเป็นกรรมาการ ก่อนมีการยักย้ายถ่ายเท ขณะเจ้าตัวรับปฏิเสธหัวชนฝา อ้างไม่รู้ที่มาเงิน เลยเอาไปทำบุญสร้างเจ้าแม่กวนอิม

เมื่อเวลา 12.00 น. วันที่ 12 ม.ค. เจ้าหน้าที่ตำรวจตม.สุวรรณภูมิ ร่วมกับชุดสืบสวน สน.ดุสิต จับกุม ร.ต.ท.เชาวรินธร์ ลัทธศักย์ศิริ อายุ 70 ปี อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา เลขที่ 10/2558 ลงวันที่ 6 ม.ค.58 ข้อหาฉ้อโกงและนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น หรือประชาชน จับกุมได้ที่สนามบินสุวรรณภูมิ ขณะ ร.ต.ท.เชาวรินธ์ กำลังรอขึ้นเครื่องเดินทางออกต่างประเทศ จากนั้นจึงควบคุมตัวมาสอบสวนที่ สน.ดุสิต

ต่อมาเวลา 13.00 น. วันเดียวกัน นายพิทักษ์ ศรีนวกุล อายุ 57 ปี ตัวแทนบริษัทบีพีซี ประเทศกัมพูชา ซึ่งเป็นผู้เสียหาย ได้เดินทางมาติดตามความคืบหน้าคดี พร้อมเปิดเผยว่า กรณีดังกล่าวเป็นการแฮ็กอีเมลแล้วเปลี่ยนแบบฟอร์มชื่อ เลขบัญชี และธนาคาร ที่จะโอนเงินค่าซื้อปูนซีเมนต์ โดยบริษัทบีพีซีของกัมพูชา ได้ติดต่อขอซื้อปูนซีเมนต์จากบริษัททีพีไอของประเทศไทยเป็นประจำ กระทั่งมีผู้ส่งอีเมลให้แล้วเปลี่ยนเลขบัญชี ปลายทางเป็นธนาคารกรุงไทย สาขารัฐสภา ซึ่งบริษัทก็ได้โอนเงินเข้าบัญชีดังกล่าว 11 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าซื้อปูนซีเมนต์ ส่งจำหน่ายประเทศกัมพูชาในวันที่ 7 พ.ค.57 จนเงินเข้าบัญชีวันที่ 8 พ.ค.57

นายพิทักษ์ เปิดเผยต่อว่า กระทั่งบริษัททราบเรื่องภายหลังว่า มีการโอนเงินเข้าผิดบัญชี จึงเดินทางมาแจ้งความที่ สน.ดุสิต เจ้าของพื้นที่ เมื่อเจ้าหน้าที่ตรวจสอบจึงทราบว่าบัญชีที่โอนเงินเข้าไปเป็นบัญชีของสมาคมวัฒนธรรมไทยจีนที่มี ร.ต.ท.เชาวรินธร์ เป็นกรรมการ มีการเบิกจ่ายเงินในวันที่ 9 พ.ค. 57 พอติดต่อได้ ร.ต.ท.เชาวรินธร์ ก็แจ้งว่า รับเงินจริง แต่ไม่ทราบว่าเงินมาจากไหน เพราะมีคนมาทำบุญกับสมาคมฯจำนวนมาก ส่วนเงินได้นำไปใช้แล้ว พร้อมบอกว่า หากเป็นเงินที่บริษัทบีพีซีโอนมาผิดจริงก็จะคืนเงินให้ จึงมีการเจรจาคืนเงินกันตั้งแต่ช่วงแรก โดยนำเอกสารมาชี้แจง เช่น สลิปโอนเงินแต่ร.ต.ท.เชาวรินธร์บอกว่าเอกสารไม่ชัดเจน จึงยังไม่คืนเงินต่อมา พนักงานสอบสวนได้เรียกทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องมาสอบสวนตามขั้นตอน โดยเจ้าหน้าที่ออกหมายเรียกให้ร.ต.ท.เชาวรินธร์ มาสอบปากคำ แต่กลับถูกบ่ายเบี่ยงไม่ยอมมา อ้างว่า ติดภารกิจเจ้าหน้าที่จึงออกหมายจับ จนเจ้าหน้าที่สามารถจับกุมได้ในที่สุด ด้าน ร.ต.ท.เชาวรินธร์ เปิดเผยสั้น ๆ พร้อมรอยยิ้มว่า ตนขอปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา และจะดำเนินการฟ้องกลับผู้เสียหายด้วย

เบื้องต้นเจ้าหน้าที่นำตัวผู้ต้องหาเข้าห้องสอบสวน พิมพ์ลายนิ้วมือใช้เวลาครึ่งชั่วโมงจึงควบคุมตัวไปขออำนาจศาลอาญาฝากขังซึ่งระหว่างขึ้นรถตำรวจ ร.ต.ท.เชาวรินธร์ กล่าวว่า ตนยอมรับว่าได้รับเงินมาจริง แต่ไม่ทราบว่าเป็นเงินใคร จึงนำไปทำบุญสร้างเจ้าแม่กวนอิมใหญ่ที่สุดในโลก ทั้งนี้พนักงานสอบสวน สน.ดุสิต ไม่ได้ยื่นคำร้องคัดค้านการประกันตัวปล่อยให้เป็นดุลยพินิจของศาลต่อไป.

"บิ๊กตู่"ขู่ล้มกระดาน หากทะเลาะกันไม่เลิก

"บิ๊กตู่"ฮึ่ม ขู่ล้มกระดาน หากทะเลาะกันไม่เลิก ปัดไล่ล่า "ยิ่งลักษณ์" แจง พณ.แจ้งความตามกระบวนการ วอนสื่ออย่าโยงปมถอดถอน ลั่นใครผิด ต้องถูกลงโทษ

เมื่อวันที่ 13 ม.ค. ที่ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) แถลงภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)ถึงกรณีที่มอบหมายตัวแทนของรัฐบาล เดินทางไปพบกับสภานิติบัญญัติ(สนช.) และสภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) ในวันที่ 15 ม.ค. นี้ ว่า เป็นการพูดคุยเพื่อรับทราบความคืบหน้าเกี่ยวกับการดำเนินงานของ สนช. และ สปช. และบางอย่างอาจต้องสอบถามเหตุผลในการดำเนินการว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น แต่ทั้งหมดต้องรอผลสรุปข้อยุติทั้งหมดในช่วงปลายปี และพิจารณาว่าจะดำเนินการเช่นนั้นหรือไม่ หากมีการทะเลาะเบาะแว้งก็อาจตั้งใหม่

ส่วนที่มีการตั้งข้อสังเกตว่า การพบ สนช. และ สปช.เกิดขึ้นในเวลาใกล้เคียงกับการเข้าตอบข้อซักถามของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กรณีการปล่อยปละละเลยให้มีการทุจริตโครงการรับจำนำข้าวนั้น พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า จะเอามาโยงกันทำไม ทุกคนมีแผนงานของตัวเองอยู่แล้ว ต่อไปอาจไปโยงกันอีกว่าเมื่อมีการพิจารณาถอดถอนอยู่ กระทรวงพาณิชย์ก็ไปดำเนินคดีเรื่องข้าว ทั้งที่เขาได้เตรียมการมานานแล้ว เมื่อกระบวนการเสร็จสิ้นก็ต้องแจ้งความ แล้วจะมาหาว่าเป็นการไล่ล่ากันอีก ทั้งที่เป็นคนละเรื่อง ถ้าสื่อมวลชนเอามาโยงกันอย่างนี้ ก็จะทำให้เกิดความขัดแย้ง

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวถึงกรณีที่ สนช. มีความเห็นต่าง เกี่ยวกับประเด็นการถอดถอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ว่าจะทำได้หรือไม่ เนื่องจากรัฐธรรมนูญปี 50 ได้ถูกยกเลิกไปแล้ว ว่า ประเด็นดังกล่าวต้องฟังว่าฝ่ายกฎหมายเขาว่าอย่างไร เมื่อพิจารณาเสร็จแล้วก็จะทราบเองว่าจะทำได้หรือไม่ ถ้ารัฐธรรมนูญไม่อยู่จะใช้อะไรถอดถอน และต้องไปดูว่าพฤติกรรมเป็นอย่างไร เพราะบางครั้งพฤติกรรมกับกฎหมายก็ขัดแย้งกันอยู่ ทุกคนก็เห็นว่าบางเรื่องผิด แต่กฎหมายก็ปล่อยไปได้ เพราะมีทนายต่อสู้คดี เรื่องนี้ก็เหมือนคดีอื่น ถ้ามองทุกอย่างเป็นธรรมชาติก็จะไม่มีความขัดแย้ง แต่ถ้าหยิบยกมาเป็นประเด็น คอขาดบาดตายก็เป็นกันหมด ต้องให้ความเป็นธรรมกับคนอื่นด้วย

"ผิดคือผิด กฎหมายว่าผิดก็ต้องลงโทษ แต่ถ้ากฎหมายว่าผิด แล้วไม่ลงโทษ แต่จิตสำนึกก็ต้องรู้ว่าผิดหรือถูก สังคมต้องช่วยกันบอกว่าพฤติกรรมผิดหรือไม่ แต่ตัวผมต้องว่าไปตามกฎหมาย ต้องใช้เหตุผล ประเทศต้องอยู่แบบนี้"พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว และว่าส่วนที่ สปช.เสนอให้ทหารเข้ามาควบคุมการเลือกตั้งนั้น ที่ผ่านมาทหารได้ดูแลความเรียบร้อยโดยรอบพื้นที่ที่มีการเลือกตั้งอยู่แล้ว แต่ไม่มีหน้าที่จัดการเลือกตั้ง ใครจะจัดการเลือกตั้งก็เหมือนกัน หาก กกต. เป็นผู้จัด ก็ถือเป็นหลักสากล ส่วนกระทรวงมหาดไทย ตอนนี้ก็ถือว่าได้ช่วยงาน กกต.อยู่แล้ว เช่นเดียวกับ ทหาร ตำรวจ อาสาสมัครก็ช่วยงานการเลือกตั้งอยู่แล้ว แต่ประเด็นอยู่ที่ใครจะมาให้เลือกตั้ง คนที่มาให้ประชาชนเลือก เป็นคนดีและมีประสิทธิภาพหรือไม่ เป็นนักการเมืองที่คดโกงหรือไม่ ถ้าให้มาแก้กฎหมายทุกวันก็ตายเหมือนกัน.