ข่าว
หนทางหลีกเลี่ยงสงครามเย็นของสหรัฐฯ VS จีน

แทบไม่น่าเชื่อเลยว่าเรื่องราวบอลลูนลูกมหึมาของจีน นับวันจะทำให้เกิดวิกฤติสร้างความขัดแย้งระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนมากยิ่งขึ้นทุกทีๆ

สำหรับบอลลูนลูกแรกความสูงกว่าสองร้อยฟุต ล่องลอยอยู่ในระดับความสูง 60,000 ฟุต หรือประมาณ 18,300 เมตร ที่ “ประธานาธิบดีโจ ไบเดน” ออกคำสั่งอนุมัติให้เครื่องบินขับไล่ F-22 ยิงเข้าใส่จนตกลงสู่พื้น น้ำไปแล้วทางฝั่งตะวันออก ณ รัฐนอร์ท-แคโรไลนา ห่างจากบริเวณชุมชนเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2023

อนึ่งบอลลูนลูกแรกที่ได้ลอยผ่านน่านฟ้าข้ามทวีปจาก รัฐอลาสก้า ข้ามแคนาดา ผ่านรัฐไอดาโฮ รัฐมอนแทนา รัฐแคนซัส รัฐนอร์ท-แคโรไลนา นานติดต่อกันเป็นเวลา 8 วัน ระหว่างวันที่ 28 มกราคม 2023 ถึงวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2023 โดยสหรัฐฯ ออกมาชี้ว่าบอลลูนลูกนี้ลอยผ่านจุดยุทธศาสตร์ทางทหารแทบทั้งสิ้น !!!

รัฐบาลจีนก็มิได้นิ่งเฉยออกมาแสดงความเสียใจและยังได้กล่าวอ้างว่า “บอลลูนลูกนี้เป็นของพลเรือนที่เอาไว้ใช้ติดตามสภาพอากาศเพื่อการวิจัย และบอลลูนลูกนี้ก็ถูกกระแสลมพัดออกนอกทิศทางแบบคาดการณ์ไม่ถึง เป็นเหตุสุดวิสัยมิได้มีเจตนาจะให้บอลลูนลูกนี้ลอยข้ามน่านฟ้าของสหรัฐฯ”

จนมีผลกระทบทำให้ “รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ แอนโทนี บลิงเคน” ที่ก่อนหน้านี้มีเป้าหมายว่า จะเดินทางไปพบปะกับ “ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง” และเจ้าหน้าที่ระดับสูงของจีนต้องยกเลิกการเดินทางอย่างกะทันหัน การยกเลิกเดินทางไปเยือนประเทศจีนของรัฐมนตรีต่างประเทศแอนโทนี บลิงเคน ในครั้งนี้นับว่าสหรัฐฯ พลาดโอกาสดีๆ เพราะหากเดินทางไปแล้ว และเข้าไปพบกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ก็อาจจะทำให้บรรยากาศที่เกิดวิกฤตการเมืองโลกลดความตึงเครียดลงไปก็ได้ ฉะนั้นการประท้วงของรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ เช่นนั้นนับว่าเป็นการล้าสมัยมากทีเดียว

อีกทั้งในช่วงที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดนกล่าวปราศรัยต่อสภาคองเกรส เมื่อค่ำวันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ 2023 ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวโยงถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่กลับปรากฏว่า มีนักการเมืองของค่ายพรรครีพับลิกันหลายคนได้ออกมาแสดงความรู้สึกไม่พอใจที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน แสนเชื่องช้าปล่อยให้บอลลูนลอยข้ามใจกลางของสหรัฐฯ แทนที่จะออกคำสั่งให้ยิงบอลลูนเสียตั้งแต่เนิ่นๆ

นอกจากนั้นแล้วเมื่อวันเสาร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2023 ก็ยังปรากฏว่า พบวัตถุที่ไม่ปรากฏชัดเจนว่าเป็นอะไรบินอยู่เหนือแคนาดา สร้างความวิตกกังวลให้กับ “นายกรัฐมนตรีจัสติน ทรูโด” แห่งแคนาดา จนต้องปรึกษาหารือกับประธานาธิบดีโจ ไบเดน โดยต่อมาผู้นำทั้งสองต่างเห็นพ้องต้องกันว่า “จะต้องยิงทำลายล้างวัตถุดังกล่าว”

แต่ทว่าความวัวยังไม่ทันหาย ก็เกิดความควายเข้ามาแทรก เพราะมีเหตุการณ์ที่มิได้คาดฝันเกิดจนเพิ่มความตึงเครียดขึ้นมา โดยเมื่อวันอาทิตย์ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2023 นี้ กองทัพสหรัฐฯ ก็ได้ยิงวัตถุที่ไม่สามารถระบุตัวตนที่บินวนอยู่เหนือรัฐมิชิแกนตกลง ซึ่งเป็นวัตถุต้องสงสัยชิ้นที่สี่นั่นเอง !!!

และจากการหยั่งเสียงของ “The Trafalgar Group” ได้ออกมาเปิดเผยว่า คนอเมริกันถึง 63.4% ไม่พอใจกับการแก้ไขปัญหาในเรื่องบอลลูนของจีนที่ลอยเหนือพื้นที่สำคัญๆ ทางยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ ซึ่งในประเด็นนี้ประธานาธิบดีโจ ไบเดนก็ไม่ควรกังวลกระแสนี้มากนัก อาทิ ก่อนที่อดีตประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู.บุช อนุมัติสั่งทหารบุกประเทศอิรักคนอเมริกันสนับสนุนการทำสงครามสูงถึง 72% (ซีเอ็นเอ็น/USA โพลของวันที่ 24 มีนาคม 2003) ที่เห็นได้ชัดว่าบางครั้งความคิดเห็นของคนอเมริกันก็ผิดพลาดอย่างมหันต์

และยังเป็นที่น่าสังเกตว่าในขณะที่สถานการณ์เกี่ยวกับบอลลูนจีนถูกยิงตกลง และกำลังเป็นเรื่องที่สุดตึงเครียดอยู่นั้น ก็ยังปรากฏอีกด้วยว่า“รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ ลอยด์ ออสติน” ให้เจ้าหน้าที่จัดเตรียมการโทรศัพท์ไปยังรัฐมนตรีกลาโหม “เว่ย เฟิงเหอ” ของจีน แต่ฝ่ายจีนกลับปฏิเสธ (จาก Bloomberg ของวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2023)

อนึ่งขณะที่เกิดเหตุการณ์อันร้อนระอุอยู่นั้น ก็ยังปรากฏข่าวเล็ดลอดออกมาว่า สหรัฐฯ เริ่มทำการซ้อมรบร่วมระหว่างกองทัพเรือและนาวิกโยธินสหรัฐฯ ในแถบทะเลจีนใต้ และถึงแม้ว่าการซ้อมรบของสหรัฐฯ ได้มีการเตรียมการณ์ล่วงหน้ามาก่อนแล้วก็ตาม แต่ดูเหมือนว่าจะเป็นเวลาที่ไม่ค่อยเหมาะสมเท่าใดนัก เพราะอาจจะทำให้ความสัมพันธ์อันดีระหว่างสหรัฐฯ กับรัฐบาลปักกิ่งเกิดความหวาดระแวงสร้างความตึงเครียดเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย

ทั้งนี้จีนได้ออกมาประท้วงและคัดค้านการซ้อมรบของสหรัฐฯ ในทะเลจีนใต้ โดยจีนอ้างสิทธิ์เหนือทะเลจีนใต้ ส่วนรัฐบาลสหรัฐฯ ได้อ้างถึงเสรีภาพในการเดินทางทางทะเลจีนใต้ และจากการรายงานของสำนักข่าวซีเอ็นเอ็นและหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์เมื่อวันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2023 นี้ ว่า กระทรวงต่างประเทศจีนได้ออกมากล่าวหาว่า สหรัฐฯ กระทำผิดทางกฎหมายด้วยเช่นกัน เพราะสหรัฐฯ ก็ใช้บอลลูนบินเหนือน่านฟ้าของจีนมากว่า 10 ครั้ง เมื่อปี ค.ศ. 2022

อีกทั้ง “นายหวัง เหวินปิน” โฆษกกระทรวงต่างประเทศของจีนยังกล่าวต่อไปอีกว่า หรือจะถือเป็นเรื่องปกติที่บอลลูนของสหรัฐฯ สามารถเข้าไปบินตามน่านฟ้าของประเทศใดๆ ก็ได้แบบไม่ผิดกฎหมาย !!!

นอกเหนือจากนั้นแล้ว นายหวัง เหวินปิน ยังได้กล่าวต่อไปว่า สหรัฐฯ ได้ส่งเรือรบและเครื่องบินลาดตระเวนระยะใกล้ๆ กับประเทศจีนมากกว่า 657 ครั้งเมื่อปีกลาย และอีก 64 ครั้งในแถบทะเลจีนใต้ เมื่อเดือนมกราคมปี 2023 นี้

ทั้งนี้จอห์น เคอร์บี โฆษกของสำนักความมั่นคงแห่งชาติ ณ ทำเนียบขาวต้องออกมากล่าวปฏิเสธต่อข้อกล่าวหาของจีนว่า “ไม่เป็นความจริงแม้แต่น้อย”

ที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าการพัฒนาบอลลูนของจีนมิใช่เป็นเรื่องใหม่แต่อย่างใด โดยหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ได้รายงานเอาไว้ว่าเมื่อปี ค.ศ. 2019 ว่า “ศาสตราจารย์ Wu Zhe” นักวิทยาศาสตร์ชาวจีนชื่อเสียงโด่งดัง ได้สร้างความตื่นเต้นให้เกิดขึ้น ที่เขาสามารถสร้างบอลลูนได้สูงถึง 60,000 ฟุตแล้วปล่อยให้ล่องลอยไปตามน่านฟ้าทั่วโลก ที่รวมไปถึงสหรัฐฯ ด้วย

กล่าวโดยสรุปทั้งนี้ และทั้งนั้น เมื่อวิเคราะห์ด้วยความเป็นธรรมไม่ฝักใฝ่ข้างใดข้างหนึ่งเกี่ยวกับวิกฤตที่ตึงเครียดในขณะนี้ แน่นอนว่าเป็นผลเสียต่อทุกๆ ฝ่าย และการที่สหรัฐฯ ได้กลายเป็นประเทศมหาอำนาจแบบผูกขาดของโลกนับตั้งแต่สงครามเย็นระหว่างสหรัฐอเมริกากับสหภาพโซเวียตรัสเซีย ยุติลงเมื่อปี 1991

ฉะนั้นตอนนี้แม้ว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดน จะเป็นผู้นำที่สุขุมรอบคอบมากอยู่แล้ว ที่สมควรอย่างยิ่งที่ควรแสดงความเป็นผู้นำโลกที่จะต้องตัดสินใจอย่างกล้าหาญและเด็ดเดี่ยวเพื่อพบปะพูดคุยเป็นการส่วนตัวกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เหมือนดั่งในยุคสมัยของ “ประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน” ที่เคยใช้ศิลปะความเป็นนักการเมืองผู้ยิ่งใหญ่ของสหรัฐฯ เจรจา เผชิญหน้าแบบตัวต่อตัวกับ “มิคาอิล กอร์บาชอฟ” ผู้นำคนสุดท้ายของสหภาพโซเวียตรัสเซีย จนประสบผลสำเร็จสามารถยุติสงครามเย็นให้สงบลงได้

และหากประธานาธิบดีโจ ไบเดน จะดำเนินการเยี่ยงนั้น ก็ย่อมอาจจะหลีกเลี่ยงสงครามเย็นที่กำลังร้อนแรงระหว่างสหรัฐฯ กับจีนให้สงบลงได้และโดยเฉพาะอย่างยิ่งสงครามเย็นระหว่างสหรัฐฯ กับจีนไม่มีความจำเป็นเลยแม้แต่น้อยขณะที่สหรัฐฯ จำต้องพึ่งพาจีนไม่มากก็น้อยในสงครามยูเครนอยู่ในขณะนี้ อีกทั้งความสัมพันธ์ส่วนตัวระหว่างประธานาธิบดีโจ ไบเดนกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้มีความผูกพันอย่างแน่น แฟ้นอีกด้วย

ทีมกู้ภัย ปตท. เร่งช่วยแผ่นดินไหวตุรกี-ซีเรีย หลังคร่าชีวิตผู้คนแล้วกว่า 40,000 ราย

ทีมกู้ภัย กลุ่ม ปตท. เร่งช่วยเหลือเหตุแผ่นดินไหวตุรกี-ซีเรีย ต่อเนื่อง ท่ามกลางสภาพอากาศหนาว พื้นที่ภัยพิบัติที่มีความเสียหายรุนแรง

นับเป็นเหตุภัยพิบัติทางธรรมชาติที่รุนแรงเป็นอันดับ 6 ของโลก สำหรับเหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาด 7.8 ทางตอนใต้ของประเทศตุรกี ใกล้เมือง Gaziantep ประมาณ 30 กิโลเมตร ซึ่งมีประชากรอยู่อาศัยประมาณ 2 ล้านคน และเป็นเมืองใหญ่ลำดับที่ 6 ของตุรกี และใกล้ชายแดนประเทศซีเรียที่มีค่ายผู้อพยพเป็นจำนวนมากในบริเวณดังกล่าว ซึ่งสร้างความเสียหายอย่างมหาศาล คร่าชีวิตผู้คนไปแล้วมากกว่า 40,000 คน และประชาชนได้รับความเดือดร้อนกว่า 23 ล้านคน เมื่อช่วงเช้าวันจันทร์ที่ 6 ก.พ. ที่ผ่านมา

จากเหตุแผ่นดินไหวรุนแรงที่เกิดขึ้น ทุกฝ่ายจากทั่วโลกยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ รัฐบาลหลายประเทศทั่วยุโรป เอเชียตะวันออกกลาง อเมริกาเหนือ รวมถึงคูเวต อินเดีย รัสเซีย รวมถึงประเทศไทย ต่างระดมส่งความช่วยเหลือไปยังประเทศตุรกีและซีเรีย พร้อมทั้งส่งทีมกู้ภัยลงพื้นที่ช่วยเหลือผู้คนที่ติดอยู่ในซากปรักหักพัง และค้นหาผู้รอดชีวิตที่ติดใต้ซากอาคาร เพื่อช่วยให้เพื่อนมนุษย์ผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปได้

นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า นับตั้งแต่วันที่ 9 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ทีมปฏิบัติการจากชมรม PTT Group SEALs กลุ่ม ปตท. ได้แก่ บริษัท เอ็นพีซี เซฟตี้ แอนด์ เอ็นไวรอนเมนทอล เซอร์วิส จำกัด (NPC S&E) ซึ่งเป็นบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญในการช่วยเหลือเหตุภัยพิบัติ ยังคงลงพื้นที่ช่วยเหลือเหตุแผ่นดินไหวที่ประเทศตุรกีอย่างต่อเนื่อง พร้อมเครื่องมือและอุปกรณ์ครบชุด ได้แก่ เครื่องตรวจวัดก๊าซ เครื่องตรวจวัดความร้อน เครื่องวัดการเคลื่อนไหวต่างๆ สำหรับการค้นหา เพื่อช่วยเหลือเรื่องการตรวจสอบพื้นที่และสารเคมีในจุดเกิดเหตุ ก่อนดำเนินการค้นหาช่วยเหลือกู้ภัย ร่วมกับกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) กระทรวงมหาดไทย ในนามรัฐบาลไทย ภายใต้บันทึกข้อตกลงโครงการ Urban Search and Rescue (USAR)

โดยขณะนี้ได้เข้าช่วยเหลือผู้ประสบภัยในพื้นที่เมืองอาดิยามาน (Adiyaman) ในแคว้นอนาโตเลียตะวันออกเฉียงใต้ ประเทศตุรกี อย่างต่อเนื่อง พร้อมกำลังใจที่เข้มแข็ง และยังคงมีแผนจะเดินทางไปในพื้นที่ประสบภัยที่ต้องการความช่วยเหลือเพิ่มเติมและร่วมค้นหาผู้ที่ติดค้างในซากปรักหักพังทุกเชื้อชาติรวมถึงคนไทย จากที่มีรายงานพบว่าติดค้างอยู่ในพื้นที่ ทั้งนี้มีกำหนดปฏิบัติภารกิจจนถึงวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2566

กลุ่ม ปตท. ขอแสดงความเสียใจต่อความสูญเสียจากภัยพิบัติที่เกิดขึ้นในตุรกีและซีเรีย และขณะนี้ได้เปิดรับบริจาคให้พนักงานกลุ่ม ปตท. รวมถึงผู้มีจิตศรัทธาสมทบทุนผ่านมูลนิธิพลังที่ยั่งยืน ช่วยเหลือเด็กและครอบครัวผู้ประสบภัยที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติในครั้งนี้ ซึ่งกลุ่ม ปตท. หวังเป็นอย่างยิ่งว่าสถานการณ์จะคลี่คลายในเร็ววัน...


เกาหลีใต้ระบุในสมุดปกขาว เรียกเกาหลีเหนือ “ศัตรู”

เกาหลีใต้เผยแพร่สมุดปกขาวด้านกลาโหมฉบับล่าสุดเมื่อวันพฤหัสบดี โดยกล่าวถึงเกาหลีเหนือว่าเป็น “ศัตรู” เป็นครั้งแรกในรอบ 6 ปีที่เกาหลีใต้กลับมาใช้คำเรียกที่แสดงท่าทีเป็นปฏิปักษ์อย่างชัดเจน และระบุว่าเกาหลีเหนือมีคลังพลูโตเนียมที่สามารถผลิตเป็นอาวุธได้เพิ่มขึ้น

สมุดปกขาวที่มีการจัดทำทุก 2 ปี นำเสนอภาพรวมของคลังแสงอาวุธนิวเคลียร์และขีปนาวุธที่เพิ่มขึ้นของเกาหลีเหนือ รวมถึงขีดความสามารถทางทหารตามแบบแผน โดยเอกสารฉบับปี 2022 ได้รื้อฟื้นคำอธิบายของระบอบการปกครองและการทหารของเกาหลีเหนือว่าเป็น “ศัตรูของเรา” ซึ่งมีการใช้ครั้งล่าสุดในฉบับปี 2016 โดยอ้างถึงการพัฒนาอาวุธอย่างต่อเนื่องของเกาหลีเหนือ การยั่วยุทางไซเบอร์และการทหาร และการแสดงภาพล่าสุดของเกาหลีใต้ว่าเป็น “ศัตรู”

เอกสารระบุว่า "ในขณะที่เกาหลีเหนือยังคงคุกคามทางทหารโดยไม่ละทิ้งอาวุธนิวเคลียร์ ระบอบการปกครองและกองทัพซึ่งเป็นตัวแทนหลักของการประหารชีวิตกลับเป็นศัตรูของเรา"

เกาหลีเหนือยังคงแปรรูปเชื้อเพลิงใช้แล้วจากเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ใหม่อย่างต่อเนื่อง และครอบครองพลูโตเนียมที่สามารถนำไปใช้ผลิตเป็นอาวุธได้ประมาณ 70 กก. เพิ่มขึ้นจาก 50 กก. ที่ประเมินไว้ในรายงานก่อนหน้านี้

เกาหลีเหนือยังได้รับยูเรเนียมเสริมสมรรถนะสูงในปริมาณ “มหาศาล” และ “ขีดความสามารถในระดับที่มีนัยสำคัญ” ในการย่อขนาดหัวรบนิวเคลียร์ผ่านการทดสอบทั้งหมด 6 ครั้ง ซึ่งเป็นคำอธิบายที่ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงตั้งแต่ปี 2561เอกสารยังระบุโดยอ้างถึงการบูรณะอุโมงค์ที่ถูกทำลายไปก่อนหน้านี้ที่ไซต์ทดสอบของเกาหลีเหนือเมื่อปีที่แล้วว่า กองทัพเกาหลีใต้กำลังเพิ่มการเฝ้าระวัง เนื่องจากมีความเป็นไปได้ที่จะมีการทดสอบนิวเคลียร์เพิ่มเติม

เอกสารดังกล่าวระบุว่า เกาหลีเหนือละเมิดสนธิสัญญาทางทหารที่ห้ามการสู้รบระหว่างสองเกาหลีในปี 2561 ถึง 15 ครั้งเฉพาะในปีที่แล้วปีเดียว ซึ่งรวมถึงการบุกรุกโดยใช้โดรนในเดือนธันวาคม การยิงปืนใหญ่ในเขตกันชนทางทหาร และการยิงขีปนาวุธข้ามพรมแดนทางทะเลมายังเกาหลีใต้เมื่อเดือนพฤศจิกายน

เอกสารฉบับปี 2563 ระบุว่า โดยทั่วไปแล้วเกาหลีเหนือปฏิบัติตามข้อตกลงของการประชุมสุดยอดในปี 2561 ระหว่างนายคิม จองอึน ผู้นำเกาหลีเหนือ และประธานาธิบดี มุน แจอิน ของเกาหลีใต้ในขณะนั้น

เอกสารล่าสุดยังระบุถึงการยิงขีปนาวุธข้ามทวีปของเกาหลีเหนือในปี 2565 รวมถึงการทดสอบขีปนาวุธข้ามทวีป “ฮวาซอง-17” แต่กล่าวว่าจำเป็นต้องมีการวิเคราะห์เพิ่มเติมเพื่อตรวจสอบว่าเกาหลีเหนือได้ใช้เทคโนโลยีการหลบหลีกและเปลี่ยนวิถีกระสุนของขีปนาวุธหรือไม่

นอกจากนั้น เอกสารดังกล่าวยังเรียกญี่ปุ่นว่าเป็น “เพื่อนบ้านใกล้ชิดที่ร่วมแบ่งปันความเชื่อ” ซึ่งนับเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2559 ท่ามกลางความพยายามที่จะแก้ไขความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดจากประวัติศาสตร์และความขัดแย้งทางการค้า


ไบเดน โล่ง ! หมอเผยผลตรวจสุขภาพประจำปี ยังฟิตในวัย 80 เปิดทางสู้ศึกเลือกตั้ง ปธน. 2024

สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า นายแพทย์เควิน โอคอนเนอร์ แพทย์ประจำตัวของประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐอเมริกา ได้เปิดเผยผลตรวจสุขภาพประจำปีครั้งสุดท้ายของประธานาธิบดีไบเดน ในวัย 80 ปี ในจดหมายที่เผยแพร่โดยทำเนียบขาวเมื่อวันพฤหัสบดี (16 ก.พ.) ระบุว่า ประธานาธิบดีไบเดนยังคงเป็นชายในวัย 80 ปี ที่มีสุขภาพแข็งแรงดี กระฉับกระเฉง ซึ่งเหมาะสมที่จะปฏิบัติหน้าที่อย่างสำเร็จได้ในตำแหน่งประธานาธิบดี รวมถึงประธานฝ่ายบริหาร ประมุขแห่งรัฐ และผู้บัญชาการทหารสูงสุด

ในจดหมายดังกล่าว นายแพทย์โอคอนเนอร์ให้ภาพถึงสุขภาพของไบเดนที่ได้รับประโยชน์จากพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ดีต่อสุขภาพว่า เขาไม่ใช้ผลิตภัณฑ์ยาสูบใดๆ ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ และยังคงออกกำลังกายอย่างน้อย 5 วันต่อสัปดาห์

รายงานผลตรวจสุขภาพระบุว่า ประธานาธิบดีไบเดน ผู้สูง 6 ฟุต (183 ซม.) และน้ำหนัก 178 ปอนด์ (เกือบ 80.7 กก.) ได้ป่วยด้วยโรคโควิด-19 ในปี 2022 และหลังจากนั้นได้มีการติดเชื้อซ้ำอีกครั้ง แต่เนื่อง จากเขาได้รับการฉีดวัคซีนและฉีดเข็มกระตุ้นแล้ว อาการจึงไม่รุนแรง และยังไม่มีอาการใดๆ หลงเหลือที่อาจถูกพิจารณาว่าเป็นโรคลองโควิด

อย่างไรก็ดี นายแพทย์โอคอนเนอร์ระบุว่า สองปัญหาที่ถูกระบุพบในการตรวจสุขภาพประจำปีในเดือนพฤศจิกายนปี 2021 ส่วนใหญ่ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง หนึ่งคือ โรคกรดไหลย้อน ซึ่งทำให้เขาไอบ่อยๆ และอีกปัญหาคือท่าทางการเดินที่แข็งทื่อ อันเนื่องมาจากการเสื่อมของกระดูกสันหลัง

นอกจากนี้ การตรวจร่างกายโดยละเอียดของแพทย์ทำให้มั่นใจได้อีกครั้งว่าไม่มีการตรวจพบใดๆ ที่สอดคล้องกับความผิดปกติของสมองน้อยหรือประสาทส่วนกลางอื่นๆ เช่น โรคหลอดเลือดสมอง โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง (เอ็มเอส) โรคพาร์กินสัน หรือกล้ามเนื้ออ่อนแรง

ทั้งนี้ ผลการตรวจสุขภาพประจำปีของประธานาธิบดีไบเดน เป็นที่จับจ้องอย่างใกล้ชิด โดยบรรดาแกนนำในพรรคเดโมแครตส่วนใหญ่ยืนยันว่าพวกเขาจะให้การสนับสนุนไบเดน หากเขาจะลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีเป็นสมัยที่ 2 ในปี 2024 ที่ไบเดนจะมีอายุ 82 ปี

คาดว่าไบเดนจะประกาศท่าทีในเรื่องนี้ในไม่ช้านี้ ซึ่งจะทำให้การแคมเปญศึกเลือกตั้งสหรัฐน ร้อนแรงขึ้น แต่โพลสำรวจของรอยเตอร์/อิปซอสในเดือนกุมภาพันธ์พบว่า สมาชิกพรรคเดโมแครตมากกว่าครึ่งเชื่อว่าประธานาธิบดีไบเดนอายุมากเกินไปที่จะไปต่อ

ขณะที่คู่แข่งในฟากฝั่งพรรครีพับลิกัน มีอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ไบเดนเฉือนเอาชนะมาได้ในการเลือกตั้งปี 2020 ยืนรออยู่ในสังเวียนแล้ว และยังมี นิกกี้ เฮลีย์ ผู้สมัครจากพรรครีพับลิกัน วัย 51 ปี และเคยเป็นทูตสหรัฐฯ ประจำยูเอ็นสมัยรัฐบาลทรัมป์ ที่ประกาศตัวลงสนามแข่งขันด้วย โดยเธอกล่าวเรียกร้องในวันพุธ (15 ก.พ.) ให้มีการทดสอบสมรรถภาพทางจิตสำหรับผู้สมัครรับเลือกตั้งคนใดที่มีอายุมากกว่า 75 ปีด้วย นั่นหมายความจะรวมถึงทรัมป์ ที่มีอายุ 76 ปีด้วย


ไบเดนลั่น “ไม่ขอโทษ” สั่งยิงบอลลูน จ่อคุย “สี จิ้นผิง” ยกระดับตรวจจับวัตถุปริศนา

บีบีซี : รายงานวันที่ 17 ก.พ. ว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐอเมริกา กล่าวว่าจะไม่ขอโทษต่อกรณีสั่งการให้ยิง บอลลูน สัญชาติจีนที่ลอยเข้าน่านฟ้าสหรัฐฯ เมื่อต้นเดือนก.พ.ที่ผ่านมา โดยย้ำว่าบอล ลูนดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อการสอดแนม

แต่วัตถุลอยฟ้าปริศนาอีก 3 ลำที่ลุกร้ำเข้าเขตแดนสหรัฐ ฯ รวมถึงแคนาดา ซึ่งทั้งหมดถูกยิงทิ้งใน เวลาต่อมานั้น เชื่อมั่นว่าไม่ใช่วัตถุแปลกปลอมเพื่อการสอดแนมหรือมีต้นกำเนิดจากนอกโลก พร้อมกล่าวอีกว่าสหรัฐฯ จะเร่งปรับปรุงระบบตรวจจับวัตถุลอยฟ้าในลักษณะที่คล้ายคลึงกันให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

“ผมหวังว่าเราจะได้รับความกระจ่างเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ผมจะไม่ขอโทษต่อการสั่งยิงบอลลูน” นายไบเดนแถลงต่อสื่อมวลชนที่ทำเนียบขาวในกรุงวอชิงตัน เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 16 ก.พ. ทั้งยังกล่าวอีกว่าจะพูดคุยกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีน เกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวโดยเร็ว และว่าสหรัฐฯ ไม่ได้หาเรื่องหรือต้องการให้เกิดสงครามเย็นครั้งใหม่

ก่อนหน้านี้รัฐบาลจีนแถลงยืนยันว่าเป็นบอลลูนตรวจสภาพอากาศ และถูกกระแสลมแรงพัดเข้าน่านฟ้าสหรัฐฯ อย่างไม่ตั้งใจ ขัดแย้งกับข้อมูลที่ทางการสหรัฐฯ ตรวจสอบและพบว่าบอลลูนซึ่งลอยที่ระดับความสูง 40,000 ฟุต (หรือราว 12,000 เมตร) เป็นวัตถุสอดแนมจริงๆ

“กองทัพสหรัฐฯ” เก็บกู้ “เครื่องเซ็นเซอร์” จากซากบอลลูนสายลับ “เอฟบีไอ” ตรวจสอบ:14 ก.พ.ที่ผ่านมา : บีบีซีรายงานว่า ทีมค้นหาของกองทัพสหรัฐฯ เก็บกู้เครื่องส่งสัญญาณหรือเซ็นเซอร์ของบอลลูนต้องสงสัยสอดแนมของจีน ขึ้นจากมหาสมุทรแอตแลนติก หลังจากถูกยิงร่วงบริเวณนอกชายฝั่งรัฐเซาท์แคโรไลนา เมื่อวันจันทร์ที่ 13 ก.พ. ตามเวลาท้องถิ่น

กองบัญชาการทหารสหรัฐฯ ภาคเหนือระบุว่า ทีมค้นหาพบซากสำคัญจากพื้นที่รวมถึงเครื่องส่งสัญญาณหลักและชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ขณะนี้หน่วยงานสืบสวนสอบสวนกลางหรือเอฟบีไอกำลังตรวจสอบชิ้นส่วนดังกล่าว ซึ่งสหรัฐฯ ระบุว่า เคยถูกใช้เพื่อสอดแนมในพื้นที่อ่อนไหวทางทหาร

นอกจากนี้ ยังมีท่อนขนาดใหญ่ของบอลลูนที่ถูกเก็บกู้ขึ้นมาเมื่อวันจันทร์ที่ 13 ก.พ. บริเวณนอกชายฝั่งรัฐเซาท์แคโรไลนา รวมถึงชุดเสาอากาศของบอลลูนยาว 9-12 เมตรอีกด้วย หลังภารกิจเก็บกู้ซากล่าช้า เนื่องจากสภาพอากาศไม่แจ่มใส

เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ เคยระบุว่าบอลลูนสูงลิ่วนี้มาจากจีนและถูกใช้เพื่อสอดแนม แต่จีนระบุว่า บอลลูนดังกล่าวเป็นเพียงอากาศยานที่ตรวจสอบสภาพอากาศเพียงเท่านั้น ซึ่งถูกลมพัดเข้าไปในสหรัฐฯ

ทั้งนี้ สหรัฐฯ ยิงทิ้งวัตถุปริศนาอีก 3 ชิ้นซึ่งลอยเหนือน่านฟ้าในพื้นที่ต่างๆ กัน ได้แก่ วัตถุปริศนาขนาดเท่ารถยนต์คันเล็ก บริเวณเหนือท้องฟ้ารัฐอลาสก้า วัตถุทรงกระบอกเหนือดินแดนยูคอนของประเทศแคนาดา และวัตถุรูป 8 เหลี่ยมและผูกด้วยเชือกเหนือทะเลสาบฮูรอน พรมแดนสหรัฐฯ-แคนาดา ซึ่งวัตถุปริศนาเคลื่อนไหวช้านี้ล้วนมีขนาดเล็กกว่าบอลลูนลำแรก ทำให้นักบินทหารพุ่งโจมตีได้ยาก

เที่ยวบินในเยอรมนีป่วน หลังเจ้าหน้าที่สนามบินนัดหยุดงานครั้งใหญ่

แรงงานการบินและสมาชิกสหภาพแรงงานเวอร์ดี รวมตัวหยุดงานและชุมนุมประท้วงในสนามบินแฟรงก์เฟิร์ต ทางตะวันตกของประเทศเยอรมนี เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ (Photo by ANDRE PAIN / AFP)

17 กุมภาพันธ์ 2566 : นักเดินทางหลายหมื่นคนต้องเผชิญกับความล่าช้าและการยกเลิกเที่ยวบินในวันสุดสัปดาห์ เนื่องจากพนักงานในสนามบิน 8 แห่งของเยอรมนีนัดหยุดงานประท้วงเพื่อเรียกร้องปรับปรุงค่าจ้าง

เอเอฟพีรายงาน เมื่อวันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566 กล่าวว่า แรงงานการบินในเยอรมนีนัดหยุดงานครั้งใหญ่เพื่อกดดันรัฐบาลให้ยอมเจรจาปรับปรุงค่าจ้างให้เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน

การประท้วงหยุดงานเต็มวันซึ่งมีสหภาพแรงงานเวอร์ดี (Verdi) เป็นแกนนำ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการให้บริการในสนามบินหลักทั่วประเทศ ทำให้สายการบินหลายสายต้องยกเลิกเที่ยวบิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสายการบินลุฟท์ฮันซ่า ซึ่งเป็นสายการบินรายใหญ่ที่สุดของเยอรมนี จำเป็นต้องยกเลิกเที่ยวบินมากกว่า 1,300 เที่ยวที่สนามบินขนาดใหญ่ในนครแฟรงก์เฟิร์ตและมิวนิก

“การนัดหยุดงานคาดว่าจะส่งผลกระทบอย่างมาก โดยเฉพาะต่อการจราจรทางอากาศในประเทศ ตั้งแต่ความล่าช้าไปจนถึงการยกเลิก และแม้แต่การปิดการจราจรทางอากาศบางส่วน” สหภาพแรงงานเวอร์ดีระบุในแถลงการณ์

สมาคมสนามบินแห่งเยอรมนี เรียกการหยุดงานประท้วงครั้งนี้ว่า เป็นการละเลยต่อหน้าที่อย่างน่าละอาย เพราะการหยุดงานจะส่งผลกระทบต่อผู้โดยสารราว 295,000 คน และเที่ยวบินทั้งหมดมากกว่า 2,300 เที่ยว “วิธีแก้ปัญหาต้องอยู่ที่โต๊ะเจรจา ไม่ใช่ผลักภาระให้กับผู้โดยสาร” สมาคมฯ กล่าวในถ้อยแถลง

ทั้งนี้ สนามบินในเมืองเบรเมน, ดอร์ทมุนด์, ฮัมบูร์ก, ฮันโนเวอร์, ไลป์ซิก และสตุตการ์ตต่างก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน

ปัจจุบันสหภาพแรงงานเวอร์ดี เป็นแกนนำเรียกร้องให้มีการหยุดงานประท้วง เพื่อเจรจาขอปรับค่าจ้างเพิ่มขึ้นสำหรับพนักงานภาครัฐ, พนักงานภาคพื้นดินในสนามบิน และพนักงานรักษาความปลอดภัยการบิน ให้ดีขึ้นและเหมาะสมกับสถานการณ์เศรษฐกิจที่อัตราเงินเฟ้อนำหน้ารายได้ไปไกล

คาดว่าการเจรจากับตัวแทนนายจ้าง จะมีขึ้นในวันที่ 22-23 กุมภาพันธ์ นี้

สหภาพแรงงานฯ ตั้งธงให้มีการปรับขึ้นเงินเดือน 10.5% หรือเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 500 ยูโร (ประมาณ 18,400 บาท) ต่อเดือนสำหรับพนักงานภาครัฐ และการจ่ายโบนัสเพิ่มขึ้นสำหรับพนักงานสนามบินที่ทำงานในช่วงเย็นและวันหยุด ซึ่งองค์กรนายจ้างไม่ตอบรับข้อเรียกร้องดังกล่าว

สหภาพแรงงานฯ กล่าวว่า บรรดาสมาชิกสหภาพฯ พร้อมที่จะเพิ่มแรงกดดันด้วยการหยุดงานมากขึ้น หากจำเป็น แต่ยืนยันว่าการหยุดงานประท้วงทั่วประเทศจะไม่ส่งผลกระทบต่อเที่ยวบินที่ส่งความช่วยเหลือไปยังซีเรียและตุรเคียที่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหว รวมทั้งเครื่องบินที่บรรทุกผู้นำที่มาเข้าร่วมการประชุมความมั่นคงประจำปีที่กรุงมิวนิก

การนัดหยุดงานครั้งนี้ทำให้ช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์กลายเป็นความโกลาหลต่อการเดินทางทางอากาศในเยอรมนี