ข่าว
'จอม เพชรประดับ' ได้สถานะผู้ลี้ภัยในสหรัฐ

นายจอม เพชรประดับ ได้โพสข้อความ ผ่านเฟซบุ๊คว่า ขอกราบขอบพระคุณ ทุกๆ กำลังใจ ที่หลั่งไหลเข้ามานะครับ หลังจากที่ทราบข่าวว่า ผมได้รับสถานะ ผู้ลี้ภัย อย่างสมบูรณ์ในอเมริกา ทีแรกไม่อยากจะบอกใคร นอกจากสมาชิกในครอบครัว แต่เมื่อคนที่รู้จักทราบเรื่อง ก็มีการนำไป เผยแพร่และเขียนความคิด ความรู้สึกเพิ่มเติมเข้าไป ต้องขอขอบคุณด้วยความซาบซึ้งใจ เพราะหลายคนรู้ว่า สภาพความเป็นอยู่ในขณะที่ยังไม่ได้รับรองเป็นผู้ลี้ภัยอย่างสมบูรณ์นั้นเป็นอย่างไร

ก็อยากจะขอชี้แจงเพื่อให้หายห่วงใยกันนะครับ คือ สถานะที่ผมได้รับเป็น สถานะผู้ลี้ภัย นะครับ ไม่ใช่ กรีนคาร์ด แต่เนื่องจากสถานะผู้ลี้ภัยจะได้รับสวัสดิการจากรัฐ เกี่ยวกับปัจจัยพื้นฐานของการดำรงชีพ เกือบจะเท่ากับคนที่มี กรีดคาร์ด ทำให้คนไทยในอเมริกาส่วนใหญ่ก็มักจะสรุปรวมว่ามีค่าหรือมีความหมายเท่ากัน

ทนายฯบอกว่า หลังจากได้สถานะผู้ลี้ภัยแล้ว การ apply green card ก็เร็วและง่ายขึ้น โดยจะใช้เวลาไม่เกิน 4 เดือน และเมื่อได้ green card แล้วก็สมัครเป็น พลเมือง citizenship ก็จะเป็นขั้นตอนสุดท้ายที่จะเป็นพลเมืองที่สมบูรณ์ของอเมริกา ซึ่งอันนี้ก็ขึ้นอยู่กับความสมัครใจของเราอีกทีว่า สุดท้ายแล้วจะยอมทิ้งมาตุภูมิที่ให้กำเนิด เพื่อยอมเป็นพลเมืองในแผ่นดินใหม่เพื่อใช้เป็นที่พักพิงสุดท้ายหรือไม่

ถามว่าได้รับสถานะผู้ลี้ภัยอย่างสมบูรณ์แล้ว จะทำให้ความเป็นอยู่ต่างไปจากเดิมอย่างไร ตอบว่า สบายใจและเบาใจมากขึ้นในการดำรงชีวิต ประการสำคัญแรกสุดคือ การรักษาพยาบาล การตรวจสุขภาพ เจ็บป่วย ไม่สบาย ก็จะได้รับการดูแลรักษาฟรี ถัดมาคือเรื่องอาหารส่วนหนึ่งจะได้รับการช่วยเหลือจากรัฐ ถัดมาคือเรื่อง อาชีพ จะได้รับการแนะนำ ช่วยเหลือ ฝึกทักษะให้ถ้าต้องการทำงานในสายอาชีพ และไม่ต้องต่ออายุ working permit เป็นรายปีอีกต่อไป นับจากนี้ไปก็สามารถทำงานได้ทุกที่ ทุกแห่งตามความสามารถ ( social number and driver license เขาจะให้ apply หลัง 150 วันที่ยื่นเรื่องขอลี้ภัยแล้ว )และสถานะผู้ลี้ภัยอย่างสมบูรณ์ ทำให้มีพลังใจในการทำงานสื่อเพื่อประชาธิปไตย และเพื่อปากเสียงของคนไทยได้มากขึ้นด้วย

ขอบพระคุณอย่างสูงสำหรับทุก ๆ กำลังใจอีกครั้งนะครับ ขอบคุณที่เป็นลมใต้ปีกให้สามารถเข้มแข็ง มีแรงบินมาได้จนถึงทุกวันนี้ แม้จะรู้ว่าจะยังต้องประคองตัวเองให้บินอยู่ได้ต่อไปอีกยาวไกลก็ตาม

'วิษณุ' เบรกอายัดเงิน'ปู' บอกรอฟังผลชี้ขาด คดี

เมื่อวันที่ 28 ก.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีการยึดทรัพย์ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในคดีโครงการรับจำนำข้าวว่า คดีอาญาที่ฟ้องกันอยู่ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เป็นการฟ้องตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการ ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต ส่วนจะถูกหรือผิดไม่เกี่ยวกับการยึดทรัพย์ อย่างเช่นคดีอาญามาตรา 157 ถ้าประมาทเลินเล่อถือว่าไม่ผิด ยกเว้นแต่เจตนาเท่านั้น ต่างจากทางแพ่งและทางปกครอง แม้ประมาทเลินเล่อก็ผิด เพราะเป็นการละเมิดที่เป็นการกระทำโดยจงใจตามกฎหมายแพ่ง ซึ่งองค์ประกอบเป็นคนละเรื่องและคนละศาล เมื่อถามว่า คำสั่งทางปกครองในการยึดทรัพย์ที่กรมบังคับคดีดำเนินการอยู่ ซึ่งระบุหยุดไว้ก่อน จะเดินหน้าต่อได้เมื่อใด นายวิษณุตอบว่า จะยังไม่มีการดำเนินการ เพราะรู้มาว่าขณะนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยื่นศาลปกครองกลางขอทุเลาการบังคับคดี เราจึงต้องฟังคำสั่งศาลอยู่เหมือนกัน

ศาลขอคำตอบกรมบังคับคดี 2 ข้อ

นายวิษณุกล่าวว่า โดยก่อนหน้านี้นานมาแล้ว น.ส.ยิ่งลักษณ์ เคยได้ยื่นศาลปกครองกลางเพื่อขอทุเลา แต่ศาลไม่รับเพราะในขณะนั้นยังไม่มีการยึด จึงได้ยกคำร้อง แต่เมื่อมีการไปเอามาแล้วก็เป็นเหตุให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์บอกกับศาลว่าได้มีการยึดทรัพย์แล้ว จึงได้มีการยื่นศาลขอทุเลาไปใหม่ และขณะนี้ศาลปกครองกลางได้ส่งหนังสือแจ้งไปยังกรมบังคับคดีขอให้ตอบ 2 ข้อ จำรายละเอียดไม่ได้ แต่เป็นในลักษณะหากศาลทุเลาการบังคับคดี จะทำให้เกิดความเสียหายอะไรหรือไม่และจะคัดค้านการทุเลาหรือไม่ ทั้งนี้หากศาลไม่สั่งทุเลาก็เดินหน้าต่อได้ แต่ที่สุดแล้วขึ้นอยู่กับคำสั่งศาลปกครองสูงสุด เพราะถึงตอนนั้นหากมีคำสั่งอย่างใดอย่างหนึ่งสามารถคืนทรัพย์สินได้ สำหรับเงินที่เอาออกมาจากการอายัดไว้ 5 บัญชี มีไม่กี่แสนบาท ได้นำมาเก็บไว้ที่กรมบังคับคดี เป็นการเก็บรักษาไว้แทนธนาคาร ยังไม่ได้ยึดเป็นของหลวง ถ้าจะยึดจริงต้องส่งให้กับเจ้าหนี้คือกระทรวงการคลัง แต่ตอนนี้ยังไม่เอาไป

อายัดบัญชี “ปู” คนละกรณีคดีอาญา

นายวิรัตน์ กัลยาศิริ หัวหน้าฝ่ายกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีทนายความของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ตั้งคำถามถึงการถูกกรมบังคับคดียึดอายัดทรัพย์สินและบัญชี โดยไม่รอการพิจารณาของศาลว่า ต้องขอให้สังคมติดตามดูข้อเท็จจริง เพราะการยึดอายัดทรัพย์สินและบัญชีเงินฝากของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นการดำเนินคดีทางปกครอง ตามที่รองนายกฯชี้แจงไปแล้ว ที่สำคัญ น.ส.ยิ่งลักษณ์ใช้สิทธิยื่นคำร้องต่อศาลปกครองได้ ถ้าเห็นว่ากระบวนการทางปกครองที่รัฐดำเนินการไม่ชอบ เป็นคนละเรื่องคนละกรณีกับคดีที่ถูกกล่าวหาว่าปล่อยปละละเลยจนเกิดความเสียหายในคดีโครงการรับจำนำข้าว ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนัดฟังคำพิพากษาวันที่ 25 ส.ค.นี้ คดีนี้มีผล 2 ทางคือ 1. ถ้าศาลวินิจฉัยแล้วพิพากษาว่าไม่ผิด ก็สั่งยกฟ้องหรือตัดสินว่าไม่ผิดได้ หรือ 2.ถ้าถูกพิพากษาว่าผิด มีผลทางอาญาคือ จำคุก และอาจต้องรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้นในทางแพ่งด้วยคือ มีความเสียหายเท่าไหร่ก็ชดใช้คืนให้ผู้ถูกกระทำให้เสียหาย

สะกิดสังคมต้องรู้เท่าทันแยกแยะ

“การเคลื่อนไหวช่วงนี้ที่มีหลายฝ่ายสลับหน้ากันออกมาโวยวาย สร้างกระแสต่างๆว่า ถูกสั่งยึดทรัพย์ แล้ว โดยที่ศาลยังไม่ตัดสินนั้น เป็นคนละเรื่องคนละ กรณีกัน จึงขอให้สังคมไตร่ตรองดูเจตนาและรู้เท่าทัน ขอให้ดูข้อเท็จจริงและแยกแยะให้ออกว่าเป็นเรื่องอะไร เกี่ยวข้องกันหรือไม่ เพราะถ้ารัฐใช้อำนาจทางปกครองที่ไม่ถูกต้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์สามารถร้องต่อศาลปกครองได้ตามสิทธิ และศาลปกครองคงไม่ยอมแน่ เข้าใจว่ารัฐในฐานะเป็นผู้เสียหายอาจเกรงว่าจะมีการยักย้ายถ่ายโอนทรัพย์สินและเงินในบัญชี หรืออาจทำให้พ้นไปเสียจากการบังคับคดี รัฐจึงใช้มาตรการทางปกครองสั่งยึดอายัดทรัพย์นี้ไว้ก่อนได้ เพื่อเป็นมาตรการป้องกันและรักษาประโยชน์ของรัฐตามสิทธิ” นายวิรัตน์กล่าว


พิษ 'เซินกา' น้ำท่วม 16 จังหวัด ถนนทางหลวง 7 แห่ง รถผ่านไม่ได้

เมื่อวันที่ 28 ก.ค.นายฉัตรชัย พรหมเลิศ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) กล่าวว่า ช่วงวันที่ 28-30 ก.ค.นี้ ทั่วทุกภาคของประเทศไทยยังคงมีฝนตกต่อเนื่องและฝนตกหนักถึงหนักมากในหลายพื้นที่อาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำล้นตลิ่ง น้ำป่าไหลหลาก และดินถล่มในพื้นที่เสี่ยงภัยได้

ทั้งนี้ ปภ.จึงได้ประสาน 36 จังหวัด แยกเป็น ภาคเหนือ 7 จังหวัด ได้แก่ แม่ฮ่องสอน อุตรดิตถ์ สุโขทัย พิษณุโลก กำแพงเพชร พิจิตร และเพชรบูรณ์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 18 จังหวัด ได้แก่ เลย หนองบัวลำภู อุดรธานี หนองคาย บึงกาฬ สกลนคร นครพนม ขอนแก่น กาฬสินธุ์ ชัยภูมิ มหาสารคาม ร้อยเอ็ด ยโสธร อำนาจเจริญ นครราชสีมา บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี ภาคกลาง 5 จังหวัด ได้แก่ นครสวรรค์ อุทัยธานี ชัยนาท ลพบุรี และสระบุรี ภาคตะวันออก 3 จังหวัด ได้แก่ ระยอง จันทบุรี และตราด

สำหรับภาคใต้ 3 จังหวัด ได้แก่ ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร และระนอง รวมถึงศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขตและสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดในพื้นที่เสี่ยงภัยเตรียมพร้อมรับมือฝนตกหนักถึงหนักมาก ทั้งนี้ขอให้ประชาชนที่อาศัยในพื้นที่เสี่ยงภัยทั้ง 36 จังหวัดดังกล่าว ติดตามพยากรณ์อากาศ และปฏิบัติตามประกาศเตือนภัยอย่างเคร่งครัด

ทั้งนี้ ฝนที่ตกหนักต่อเนื่องในหลายพื้นที่ตั้งแต่วันที่ 5-27 ก.ค.ทำให้เกิดสถานการณ์อุทกภัยและน้ำไหลหลากใน 37 จังหวัด รวม 113 อำเภอ 358 ตำบล 1,437 หมู่บ้าน 1 ชุมชน ปัจจุบันสถานการณ์คลี่คลายแล้ว 21 จังหวัด ยังคงมีสถานการณ์ 16 จังหวัด ได้แก่ อุบลราชธานี มหาสารคาม ศรีสะเกษ พิจิตร นครราชสีมา กาฬสินธุ์ ขอนแก่น ลพบุรี แม่ฮ่องสอน พระนครศรีอยุธยา อุตรดิตถ์ บุรีรัมย์ พิษณุโลก ระนอง สกลนคร และสุโขทัย รวม 62 อำเภอ 228 ตำบล 1,088 หมู่บ้าน

เส้นทางทางหลวงผ่านไม่ได้ 7 แห่ง ผลกระทบน้ำท่วม

ทางด้านกรมทางหลวง แจ้งว่า จากสถานการณ์น้ำท่วมพื้นที่ 15 จังหวัด ซึ่งมีเส้นทาง 40 สายทาง รวม 58 แห่ง ผ่านได้ 51 แห่ง ผ่านไม่ได้ 7 แห่ง โดยภาคเหนือ จ.เพชรบูรณ์ ทางหลวงหมายเลข 113 เส้นชนแดน-ดงขุย ในอ.ชนแดน ช่วงกม.ที่ 51-52 ระดับน้ำสูง 10 ซม., ทางหลวงหมายเลข 225 เส้นศรีมงคล-น้ำอ้อม ในอ.บึงสามพัน ช่วงกม.ที่ 115 ระดับน้ำสูง 15 ซม. ,ทางหมายเลข 2219 เส้นหนองมะค่า-ศรีเทพน้อย ในอ.ศรีเทพ ช่วงกม.ที่ 75-76 ระดับน้ำสูง 14 ซม., ทางหลวงหมายเลข 2275 แยกศรีเทพ-ซับบอน ท้องที่อ.วิเชียรบุรี ช่วงกม.ที่ 44-45 ระดับน้ำสูง 15 ซม., ทางหลวงหมายเลข 2275 แยกศรีเทพ-ซับบอน ท้องที่ อ.ศรีเทพ ช่วงกม.ที่ 36-38 ระดับน้ำสูง 15 ซม.

ส่วน จ.พิจิตร ทางหลวงหมายเลข 11 เส้นเขาทราย-สากเหล็ก ท้องที่อ.วังทรายพูน ช่วงกม.ที่ 146 ระดับน้ำสูง 15 ซม.,ทางหลวงหมายเลข 113 เส้นเขาทราย-ฆะมัง ท้องที่อ.ทับคล้อ ช่วงกม.ที่ 62-63 ระดับน้ำสูง 20 ซม. นอกจากนี้ จ.แพร่ ทางหลวงหมายเลข 103 เส้นร้องกวาง-แม่ตีบ ท้องที่ อ.ร้องกวาง ช่วงกม.ที่ 24-25 ระดับน้ำสูง 20 ซม.

ภาคอีสาน จ.เลย ทางหลวงหมายเลข 1373 ปากภู-เชียงคาน ท้องที่อ.เชียงคาน ช่วงกม.ที่ 392 - 393 ระดับน้ำสูง 10 ซม. ส่วนจ.มหาสารคาม ทางหลวงหมายเลข 23 ไพศาล-บรบือ ท้องที่ อ.กุดรัง ช่วงกม.ที่ 24 ระดับน้ำสูง 10-20 ซม.,ทางหลวงหมายเลข 23 บรบือ-มหาสารคาม ท้องที่ อ.บรบือ ช่วงกม.ที่ 45 และ กม.48-49 ระดับน้ำสูง 5-15 ซม.,ทางหลวงหมายเลข 23 บรบือ-มหาสารคาม ท้องที่อ.บรบือ ช่วงกม.ที่ 52-53 และ กม.55-56 ระดับน้ำสูง 15 ซม.,ทางหลวงหมายเลข 208 หนองสระพัง-มหาสารคาม ท้องที่อำเภอเมือง ช่วงกม.ที่ 12 คอสะพานขาดเบี่ยงการจราจร, ทางหลวงหมายเลข 208 หนองสระพัง-มหาสารคาม ท้องที่อำเภอเมือง ช่วงกม.ที่ 17 คอสะพานขาดเบี่ยงการจราจร และช่วงกม.ที่ 29 ระดับน้ำสูง 5-10 ซม. ,ทางหลวงหมายเลข 213 มหาสารคาม-หนองขอน ท้องที่อำเภอเมือง ช่วงกม.ที่ 0 ระดับน้ำสูง 20 -30 ซม.

ขณะที่ จ.ขอนแก่น ทางหลวงหมายเลข 2 บ้านไผ่-ท่าพระ ท้องที่อ.เมืองขอนแก่น ช่วงกม.ที่ 330 ระดับน้ำสูง 10 ซม.,ทางหลวงหมายเลข 12 พรหมนิมิตร - ห้วยสีดา ท้องที่อ.เชียงยืน ช่วงกม.ที่ 581 ระดับน้ำสูง 20 ซม., ทางหลวงหมายเลข 230 ถนนวงแหวนรอบเมืองขอนแก่นด้านทิศตะวันตก ท้องที่ อ.เมืองขอนแก่น ช่วงกม.ที่ 0-2 กม.3-4 ระดับน้ำสูง10-20 ซม., ทางหลวงหมายเลข 229 บ้านไผ่-มัญจาคีรี ท้องที่อ.มัญจาคีรี ช่วงกม.ที่ 24 ระดับน้ำสูง 20 ซม.,ทางหลวงหมายเลข 2301 หินตั้ง-หนองสองห้อง ท้องที่อ.หนองสองห้อง ช่วงกม.ที่ 25 ระดับน้ำสูง 50 ซม. ให้ไปเส้นทางเลี่ยง ทางหลวงหมายเลข 23 ถ.แจ้งสนิท ต่อ ทางหลวงหมายเลข 2 ถ.มิตรภาพ และทางหลวงหมายเลข 2301 ที่ กม. 21+300 เลี่ยงไปถนนทางหลวงชนบท หมายเลข 3018

จ.นครราชสีมา ทางหลวงหมายเลข 2 ตาลาด-หนองแวงโสกพระระหว่าง ท้องที่อ.บัวลาย ช่วงกม.ที่ 235 ระดับน้ำสูง 5 ซม. ส่วน ท้องที่อ.สีดาและอ.บัวลาย ช่วงกม.ที่ 241-242 ระดับน้ำสูง 15 ซม. ด้านเส้นทางจ.ยโสธร ทางหลวงหมายเลข 23 บ้านย่อ-บ้านสวน ท้องที่อ.คำเขื่อนแก้ว ช่วงกม.ที่ 195 ระดับน้ำสูง 10-15 ซม.,ทางหลวงหมายเลข 23 บ้านย่อ-บ้านสวน ท้องที่อ.คำเขื่อนแก้ว ช่วงกม.ที่ 201 ระดับน้ำสูง 10-15 ซม.,ทางหลวงหมายเลข 2116 ห้วยคล้อ-เลิงนกทา ท้องที่อ.เลิงนกทา ช่วงกม.ที่ 139 ระดับน้ำสูง 40 ซม. การจราจรผ่านได้ไม่สะดวก

จ.สกลนคร ทางหลวงหมายเลข 213 สร้างค้อ-สกลนคร ท้องที่อ.สร้างค้อ ช่วงกม.ที่ 156-159 ระดับน้ำสูง 20 ซม.,ทางหลวงหมายเลข 12 สี่แยกสมเด็จ-คำพอก ท้องที่อ.ห้วยผึ้ง ช่วงกม.ที่ 696 ทางเบี่ยงงานก่อสร้างสะพานขาด ไม่มีทางเลี่ยง

นอกจากนี้ช่วงก่อนเข้าตัวเมืองสกลนคร 7 กิโลเมตรที่มาจากจ.อุดรธานี พบว่ามีน้ำท่วมตลอดทางบนทางหลวงหมายเลข 213 กาฬสินธุ์-สกลนคร กม.165-กม.167 น้ำท่วมสูง 80 ซม. ส่วนทางหลวงหมายเลข 22 ที่มาจากจ.นครพนม น้ำท่วมสูง 80 ซม. ตลอด 10 กิโลเมตรในเขตเทศบาลนครสกลนคร รถไม่สามารถผ่านได้.


สกลนครอ่วม! จมบาดาลทั้งเมือง เก๋งมิดหลังคา อ่างเก็บน้ำทะลัก

เมื่อเวลา 14.30 น.วันที่ 28 ก.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศสถานการณ์ น้ำท่วมจังหวัดสกลนคร ว่า จากพิษพายุ”เซินกา”ฝนตกหนักตลอดทั้งคืนจนขณะนี้ยังไม่หยุดทำให้น้ำท่วม เขตเทศบาลนครสกลนครหลายจุดรวมทั้งหมู่บ้านรอบตัวเมือง

ล่าสุดอ่างเก็บน้ำห้วยทราย ตั้งอยู่ที่ริมเทือกเขาภูพาน บ้านห้วยทราย ต.ขมิ้น อ.เมืองสกลนคร รับการสะสมน้ำไม่ไหว ทำให้คันอ่างแตกน้ำทะลักลงพื้นนา และหมู่บ้านอยู่ด้านล่างลงสู่หนองหาร ส่งผลให้รวมมวลน้ำกับเขื่อนน้ำอูนที่ปล่อยระบายออกมา ท่วมหลายพื้นที่ ทำให้ต้องมีการอพยพชาวบ้านออกจากพื้นที่เสี่ยงหลายแห่ง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่ามีการแจ้งเตือนหากฝนไม่หยุดตก อีก 5 ชม.ข้างหน้าให้ประชาชน ที่อยู่ริมหนองหารหรือไต้อ่างเก็บน้ำ เขื่อนน้ำอูนให้ระวังน้ำหลากจากเทือกเขาภูพาน ใหลสมทบลงสู่หนองหารอาจทำให้น้ำท่วมสูงได้

ส่วนในเขตเทศบาลนครสกลนคร มีบางจุดไฟฟ้าดับ และกิจการร้าน ห้าง ต่างๆ ปิดชั่วคราว พร้อมทั้งสนามบินสกลนคร เตรียมที่จะปิดตัวชั่วคราวเนื่องจากมีน้ำท่วมขัง หลายจุดเกรงไม่ปลอดภัย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นอนกจากนี้มีโรงแรมบางแห่ง น้ำทะลักเข้าท่วมห้องพักที่ชั้นล่างจนได้รับความเสียหาย


รีพับลิกัน’เสียงแตก วุฒิสภาครองเกรสสหรัฐฯ ล้มร่างกฎหมายยกเลิก‘โอบามาแคร์’หนที่3

เมื่อวันที่ 28 ก.ค. บีบีซีรายงานว่า ความพยายามของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐอเมริกา เพื่อผลักดันร่างกฎหมายใหม่ในการยกเลิกโครงการประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่ริเริ่มในสมัยอดีตประธานาธานาธิบดีบารัก โอบามา หรือโอบามาแคร์ ล้มเหลวต่อเนื่องเป็นรอบที่สาม ภายหลังวุฒิสภาคองเกรสมีมติเสียงข้างมาก 51 ต่อ 49 เสียง ไม่รับรองร่างกฎหมายดังกล่าวที่นำเสนอโดยพรรครีพับลิกัน ทั้งที่พรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมากในวุฒิสภา 52 ที่นั่ง โดยนายจอห์น แม็คเคน ส.ว.สายเหยี่ยว จากพรรครีพับลิกัน ที่แพทย์เพิ่งตรวจพบว่าป่วยเป็นมะเร็งสมอง เป็นส.ว.คนสุดท้ายที่ลงคะแนนตัดสินร่างกฎหมายดังกล่าว ขณะที่ส.ว.ของพรรครีพับลิกันอีก 2 คน ที่ลงคะแนนไม่รับรอง ได้แก่ นางซูซาน คอลลินส์ และนางลิซา มูร์คอฟสกี ล้วนเป็นสมาชิกอาวุโสของพรรคทั้งสิ้น

ความพยายามรอบที่สามของประธานาธิบดีทรัมป์ตกเป็นเป้าวิพากษ์วิจารณ์จากสื่อมวลชนของสหรัฐอย่างกว้างขวาง หลังบรรดาวุฒิสมาชิกจากทั้งพรรครีพับลิกันและเดโมเครติก หรือเดโมแครต หลายคนออกมาระบุว่าไม่ได้รับแจ้งถึงรายละเอียดของเนื้อหากฎหมายดังกล่าว ขณะที่รายงานระบุว่า หากโอบามาแคร์ถูกยกเลิกจะส่งผลให้มีชาวอเมริกันกว่า 16 ล้านคน ต้องสูญเสียสวัสดิการคุ้มครองสุขภาพพื้นฐานภายในปี 2569

“ทรัมป์” ถวายพระพรชัยมงคล ขอ “ในหลวง” ทรงพระเกษมสำราญ

วันที่ 28 ก.ค. เว็บไซต์สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย เผยแพร่สารถวายพระพรชัยมงคล แด่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา โดยนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา

สารถวายพระพรชัยมงคล แด่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร

ขอพระราชทานกราบบังคมทูลพระกรุณาทราบฝ่าละอองธุลีพระบาท

ในนามของประชาชนชาวอเมริกัน ข้าพระพุทธเจ้า นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาและภริยา ขอพระราชทานพระราชวโรกาสถวายพระพรชัยมงคลเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 65 พรรษา

มิตรภาพระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกาดำรงสืบมาจนถึงปัจจุบันเป็นเวลาใกล้ครบ ๒๐๐ ปี โดยเริ่มในต้นยุครัตนโกสินทร์ เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงมีพระราชสาส์นไปยังประธานาธิบดีเจมส์ มอนโร สหรัฐอเมริกาให้ความสำคัญแก่พันธไมตรีกับราชอาณาจักรไทยเป็นอย่างยิ่ง และหวังว่า สัมพันธภาพที่ได้เจริญมานี้จะเป็นพื้นฐานสู่การเสริมสร้างความมั่นคงของประเทศเราทั้งสอง ตลอดจนสายสัมพันธ์ที่แนบแน่นระหว่างประชาชน และความสัมพันธ์ด้านการค้าการลงทุนให้งอกงามยิ่งขึ้น

ในวาระอันเป็นมงคลนี้ ข้าพระพุทธเจ้าขอพระราชทานพระราชวโรกาสถวายพระพรชัยมงคล ขอใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทและพระราชวงศ์ ทรงพระเกษมสำราญยิ่งยืนนาน

ควรมิควรแล้วแต่จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม

ข้าพระพุทธเจ้า

นายโดนัลด์ ทรัมป์

ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา