ข่าว
‘เบส-อรพิมพ์’สอื้น ขอโทษ คนอีสาน

เมื่อเวลา 18.30น. วันที่ 18 พฤศจิกายน เบส-อรพิมพ์ รักษาผล นักพูดสาวให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ ถามตรงๆ ทางช่องไทยรัฐทีวี ตอนหนึ่งระบุถึงคลิปที่มีการพาดพิงคนภาคอีสานว่า คลิปดังกล่าวเป็นเหตุการณ์ที่จังหวัดมหาสารคาม เกิดขึ้นเมื่อต้นปี 2559 เบสได้รับความไว้วางใจพูดเรื่องการสร้างแรงบันดาลใจและปิดท้ายด้วยเรื่องของพระองค์ท่าน ผู้ใหญ่เห็นว่าเราน่าจะพูดเรื่องการสร้างจิตสำนึกพลเมืองได้ เลยได้ไปงานของกองรักษาความสงบเรียบร้อย ซึ่งไม่ใช่แค่ที่เดียว เบสไปหลายจังหวัด หลายภาค แล้ววิธีการสื่อสารของแต่ละภาคก็จะเป็นแบบนั้น จะเรียกคนภาคนั้นเป็นแบบนั้น เช่นคนภาคอีสาน คนภาคใต้ คนภาคเหนือ คนกรุงเทพฯ แต่กลุ่มก้อนของการพูดทั้งหมดจะเป็นกลุ่มก้อนของการรู้หน้าที่พลเมืองและการพูดเรื่องรักสถาบันชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์ ซึ่งต้องยอมรับว่าในพื้นที่ที่เราไปอาจจะมีการเข้าใจผิดบ้าง หรือน้องๆ ไม่ได้รับข้อมูล หรือไม่ดด้รู้เรื่องอะไรที่เกี่ยวกับพระราชกรณียกิจบ้าง

“วิธีการสื่อสารของเบสถ้าเป็นผู้ใหญ่จะสื่อสารอีกแบบ แต่วิธีการสื่อสารกับเด็กจะใช้ภาษาเป็นกันเอง ภาษาแบบวัยรุ่นแบบเด็ก ถ้าผู้ใหญ่ฟังอาจจะสงสัยว่าทำไมเป็นภาษาง่ายๆ แต่เบสพยายามสื่อสารกับเด็ก ซึ่งวันนั้นคนฟังเป็นเยาวชนระดับมหาวิทยาลัย ที่รับฟังเกี่ยวกับหน้าที่พลเมือง เป้าหมายของงานอยากให้น้องๆ รู้หน้าที่ของการเป็นพลเมือง รักชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์เพื่อให้เดินหน้าประเทศไทยต่อไป”

เบส-อรพิมพ์ กล่าวอีกว่า สิ่งที่ต้องการสื่อ ถ้าฟังทั้งหมด 1 ชั่วโมง 30 นาทีของการบรรยายจะเข้าใจ แต่ถ้าตัดออกเป็นก้อนๆ ตอนๆ ส่วนๆ ท่านจะไม่เข้าใจบริบทก่อนหน้าและหลังจากนั้นคืออะไร ก่อนหน้าเราโยงเรื่องพลเมือง จากนั้นโยงให้ทุกคนรักชาติศาสนาพระมหากษัตริย์ กลุ่มก้อนตรงกลางเป็นการปลุกใจในภาษาของเบส ให้ฮึกเหิมให้หวนกลับมาคิดถึงสิ่งที่ลืมไป ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ในการล่วงเกินหรือหยามหมิ่นเลย ถ้าเป็นภาคอื่นเบสก็พูดแบบนี้

“เบสอยากจะบอกว่าทุกที่ที่ไปเน้นแบบนี้หมดไม่ใช่แค่ภาคใดแต่ทุกที่มีคนที่เข้าใจถูกเข้าใจผิดหมด เพราะฉะนั้นทุกที่ที่มีการบรรยาย ถ้าจะบรรยายราบเรียบจะไม่ครอบคลุมบางส่วนที่อาจจะได้รับข้อมูลคลาดเคลื่อน เพราะฉะนั้นทุกที่ที่ไปจะหาข้อมูลก่อนว่าเราสมควรจะพูดอย่างไรให้กลุ่มคนตรงนั้น จึงมีการหาข้อมูลแล้วว่าภาคต่างๆทีไปจะเน้นเรื่องอะไรอย่างไร แต่ไม่ได้หมายความว่าคนที่นั่นไม่รักในหลวง เพราะทุกๆที่ที่ไปเบสก็พูดอย่างนี้ แต่คลิปที่ออกมาเป็นของภาคอีสานก็แค่นั้นเอง แต่เบสยืนยันว่าไม่ได้มีความหมายที่จะล่วงเกินแม้แต่นิดเดียว”

เบส-อรพิมพ์ กล่าวอีกว่า ประโยควันนั้นต้องการสื่อว่าวันนี้เราน่าจะหันกลับมาศึกษาเรียนรู้ มองภาพรวมของประเทศชาติบ้านเมือง อยากให้หันกลับมามองความเหน็ดเหนื่อยของสถาบันกษัตริย์ อยากให้หันกลับมามองการเดินหน้าของประเทศไทยที่จะเดินต่อไปได้ถ้าทุกคนหันมามองสิ่งที่มีความหมายร่วมกัน สิ่งที่เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิดตใจ ถ้าเรารักประเทศชาติเหมือนกันและมีในหลวงที่เรารักเหมือนกัน ถึงเวลาที่เราจะมามองสิ่งเดียวกันและรักสามัคคีกัน ไม่แตกแยก

เบส-อรพิมพ์ ยังได้กล่าวขอโทษประชาชนด้วยว่า “เบสอยากขอโทษ ไม่ได้ขอโทษเพื่อให้เรื่องจบ แต่ขอโทษจากหัวใจจริงๆ เบสทำงานด้านนี้มา 10 กว่าปี เพราะอย่างเดียวคือวันหนึ่งเบสอยากจะมีส่วนในการใช้เสียงของเบสในการช่วยสร้างสิ่งดีๆ ในประเทศชาติ วันนี้คำพูดตอนหนึ่งที่ถูกตัดออกมามันกลายเป็นการจุดชนวนบางอย่างของความแตกแยก

“เบสอยากขอโทษที่คำพูดของเบสไปทำให้พี่น้องชาวอีสานรู้สึกไม่ดี ตลอดระยะเวลา 10 กว่าปีที่ทำงานภาคที่เบสไปเยอะที่สุดคือภาคอีสาน และภาคที่เบสผูกพันมากที่สุดในการทำงาน ตั้งแต่เริ่มต้นฝึกพูดมาก็คือ ภาคอีสาน เบสไม่มีทางที่จะคิดกับพี่น้องคนอีสานไม่ดี เพราะเบสเติบโตมาจากสายหน้าที่การเป็นนักพูดจากภาคอีสานก็ว่าได้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่เบสอยากจะพูดกับพี่น้องชาวอีสานมากที่สุดคือเบสขอโทษนะคะ ถ้าสิ่งที่เบสทำจากความตั้งใจในการทำงานมันไปกระทบความรู้สึกของท่าน เบสขอโทษด้วยหัวใจ ถึงเบสจะไม่ใช่คนอีสาน อยากขอโทษด้วยใจจริง ให้อภัยหรือไม่ให้อภัยก็ไม่เป็นไร แต่เบสไม่อยากให้สิ่งที่พูดออกมาจากความตั้งใจในการทำงานจุดชนวนให้เราไม่รักกันหรือแตกแยกกัน หรือมาทะเลาะกันในประเด็นที่เปราะบางมาก เบสไม่โทษใครเลยมันเป็นเพราะสิ่งที่เบสพูดไป ถ้าท่านได้ฟังทั้งหมดจะเข้าใจ ว่าเบสไม่มีเจตนาที่ไม่ดีเลยกับพี่น้องคนอีสาน”

ทั้งนี้ เบส-อรพิมพ์ ยังทิ้งท้ายด้วยว่า ขอให้สบายใจด้วยว่าจะนำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาปรับปรุงการทำงาน เพื่อให้ท่านได้รู้ว่าเบสบริสุทธิ์ใจและยินดีจะทำงานให้กับพี่น้องทุกภาคต่อไป

ทูลกระหม่อมฯ ทรงบำเพ็ญพระกุศล “นำลูกพลับจากอเมริกามาถวายพ่อ”

เมื่อเวลา 13.00 น. ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ทรงโพสต์ภาพทรงบำเพ็ญพระกุศลขณะทรงทอดผ้าไตรแด่พระสงฆ์ และทรงหลั่งทักษิโณทก ในการบำเพ็ญพระกุศลสวดพระอภิธรรมพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง พร้อมข้อความผ่าน “อินสตาแกรม” ส่วนพระองค์ Nichax ว่า วันนี้จะเอาลูกพลับจากอเมริกาไปถวาย #พ่อของเรา #ไม่แจกของนะ #เจอกันพรุ่งนี้ Nov1916 (19 พฤศจิกายน 2016)

จากนั้นเวลา 15.00 น. ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี เสด็จบำเพ็ญพระกุศลสวดพระอภิธรรมพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ในการนี้ ทรงนำลูกพลับจากสหรัฐอเมริกา มาถวายแด่พระบรมศพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช


20พ.ย.คนไทยทั่วโลก ถวายสัตย์ปฎิญาณ “ประยุทธ”ชวนชาวไทยรวมตัวร้องเพลงสรรเสริญฯ

"ประยุทธ์" ลั่นคนทำผิดกฎหมายต้องไม่มีที่ยืนในสังคม แต่ถ้าเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ได้รับโทษแล้ว ก็สมควรได้รับโอกาส พร้อมชวนคนไทยทั่วประเทศรวมตัวตามสถานที่ต่างๆ ที่เหมาะสม วันที่ 22 พ.ย. หลังเคารพธงชาติ เวลา 08.00 น. เพื่อถวายสัตย์ปฏิญาณ - ร้องเพลงสรรเสริญฯ ส่วนต่างประเทศนัด 20 พ.ย. เพื่อให้ชาวโลกได้รับรู้ว่า คนไทยจงรักภักดีแด่ "ในหลวง" ไม่มีวันเสื่อมคลาย

(18 พ.ย.) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน ” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย วันศุกร์ที่ 18 พฤศจิกายน 2559 ใจความตอนหนึ่งว่า การสร้างประเทศไทยให้เข้มแข็ง มีวัฒนธรรม เป็นระบบนิติรัฐ เราพูดกันมานานแล้ว มันจะเป็นที่มาของความภาคภูมิใจ และมีความเป็นหนึ่งเดียว เราจะต้องช่วยกันสร้างกระบวนการยุติธรรมที่เชื่อถือ ไว้วางใจได้ทั้งระบบอย่างครบวงจร ต้องขจัดกระบวนการทุจริต ผู้มีอิทธิพลเอารัดเอาเปรียบให้ได้โดยเร็วที่สุด ขจัดการทุจริตคอร์รัปชัน ต้องทั้งสองฝ่ายทั้งเจ้าหน้าที่และประชาชนที่อะลุ่มอล่วยซึ่งกันและกัน ด้วยผลประโยชน์ต่างตอบแทนกันต้องช่วยกันแก้ทั้งคู่ เรามีการดำเนินการทั้งมาตรการทางกฎหมาย มาตรการทางสังคม

"คนที่ไม่ดี ไม่มีคุณธรรม ทำผิดกฎหมายต้องไม่มีที่ยืนในสังคมอีกต่อไปช่วยกัน สังคมช่วยกันดูแล ใช้กฎหมายอย่างเดียวอาจจะไม่ทันการณ์เพียงพอ แต่จะต้องไม่ทะเลาะเบาะแว้งกัน นำเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมให้ได้ เว้นแต่หากว่าเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมแล้ว ได้รับการปรับปรุงแก้ไข กระบวนการยุติธรรมตัดสินจนได้ข้อยุติ รับโทษทัณฑ์มาแล้ว มันก็จบ ทุกคนก็สมควรได้รับโอกาสตามหลักการสากลของโลก" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

นายกฯ ยังอีกว่า ประชาชนเรามีเกือบ 70 ล้านคนแล้ว เราต้องรวมพลังกันด้วยความพยายามอย่างยิ่งยวด ในการที่จะร่วมกันปฏิรูปประเทศ เราต้องทำด้วยความเข้าใจ ปรับเปลี่ยนวิธีคิด ด้วยวิสัยทัศน์ ศึกษายุทธศาสตร์ชาติ สร้างทัศนคติที่ดีต่อกัน ทำความเข้าใจร่วมกัน ทั้งกิจกรรม วิธีการ ผลสัมฤทธิ์ที่ต้องการ และความร่วมมือ สำคัญอยู่ที่ความร่วมมือ จะต้องทำอย่างครบวงจร มันจะเป็นความต่อเนื่องเชื่อมโยงเป็นห่วงโซ่เดียวกัน จากการที่เรามีประชาชนเป็นศูนย์กลาง หากเราไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรเลย ไม่ว่าจะคิดไม่ว่าจะทำ มีการศึกษาที่ไม่เพียงพอ มีการศึกษาที่ไม่ดีพอ การปฏิรูปไม่มีวันจะสำเร็จขึ้นได้อย่างแน่นอน ทุกอย่างล้วนเกิดขึ้นจากตนเอง ครอบครัว สังคม ชุมชน ตำบล หมู่บ้าน ซึ่งเล็กที่สุด แล้วไปสู่กลุ่มจังหวัด ภูมิภาคในอนาคต ก็ขอให้ทำวันนี้เปรียบเสมือนเรากำลังสร้างเศรษฐกิจฐานราก สร้างรากแก้ว ให้เข้มแข็ง อะไรที่อ่อนแอ ถ้าหากว่าอยู่เป็นเล็กๆเป็นครอบครัว เป็นกลุ่มเล็กๆ มันก็ไม่แข็งแรง เปรียบเสมือนเราเอากิ่งไม้เล็กๆ อ่อนแอมามัดรวมกลุ่มกันด้วยเชือกแห่งความรัก ความสามัคคี ความเชื่อมั่นและศรัทธา ทุกอย่าง ความสำเร็จอยู่ไม่ไกลเกินฝันของคนไทยทุกคน รัฐบาลและ คสช.จะปฏิบัติหน้าที่เต็มกำลังและความสามารถ ทั้งนี้เพื่อนำพาประเทศชาติและประชาชนฟันฝ่าอุปสรรคไปให้ได้

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวปิดท้ายว่า วันอังคารที่ 22 พฤศจิกายนนี้ เวลา 08.00 น. หลังเคารพธงชาติ รัฐบาลขอเชิญชวนพสกนิกรชาวไทยทุกหมู่เหล่า ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ได้ร่วมกันแสดงความอาลัยถวายและรวมพลังแห่งความภักดี ถวายแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และพระบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้าทุกพระองค์ ในพระบรมราชจักรีวงศ์ อย่างพร้อมเพรียงกัน ด้วยการร่วมกันถวายสัตย์ปฏิญาณ และร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี ณ ศาลาว่าการจังหวัด ที่ว่าการอำเภอ หรือ ณ สถานที่บริเวณหน้าสำนักงานที่ต้นสังกัด รวมทั้งสถานประกอบการธุรกิจเอกชน และอื่นๆ

สำหรับต่างประเทศ พร้อมกัน ณ สถานเอกอัครราชทูต หรือสถานที่ที่เหมาะสม ในวันอาทิตย์ที่ 20 พฤศจิกายน 2559 โดยให้มีการเคลื่อนย้ายน้อยที่สุด ทั้งนี้เพื่อให้ชาวโลกได้รับรู้ว่า คนไทย ประเทศไทย มีความจงรักภักดีแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ และสถาบันพระมหากษัตริย์ อย่างไม่มีวันเสื่อมคลาย

ไทยแอลเอ.ได้สอบถามทางสถานกงสุลไทย ลอส แอนเจลิส ได้รับคำตอบว่าที่แอลเอ.ไม่ได้จัด แต่จะร่วมกันแสดงความอาลัยและความจงรักภักดี ถวายแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในวันที่ 3 ธันวาคม เวลา 15.00น. ที่บริเวณวัดป่าธรรมชาติ ขอเชิญชวนชาวไทยทุกคนไปร่วมพิธีในวันนั้น


จำคุกกิมเอ็ง 150 ปี ฉ้อโกง-หมิ่นเบื้องสูง

ศาลตัดสินเลย คดีกิมเอ็งกับพวกรวม 4 คน หมิ่นเบื้องสูง ฉ้อโกง เนื่องจากจำเลยที่ 1 และ 4 รับสารภาพ ให้จำคุกกิมเอ็ง ทุกกระทงความผิด รวมแล้ว 150 ปี แต่ติดคุกจริง 50 ปี ส่วนเพื่อนร่วมแก๊งอีก 2 คน สู้คดี แยกฟ้องภายใน 7 วัน...

วันที่ 18 พ.ย. ศาลนัดสอบคำให้การจำเลยคดีดำ อ.3766/2559 ที่พนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 9 เป็นโจทก์ฟ้อง นางกมนทรรศน์ ธนธรณ์โฆษิตจิร หรือ นางกิมเอ็ง อายุ 62 ปี พ.ต.ท.เอกศิษฐ์ ธนธรณ์โฆษิตจิร อายุ 68 ปี นายถาวร พวงประทุม อายุ 66 ปี และ นายศักดิ์ สิริยาคม อายุ 50 ปี ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-4 ในความผิดฐานร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ฯ, ร่วมกันฉ้อโกงปลอมเอกสารราชการและใช้เอกสารราชการปลอม

คดีนี้ อัยการโจทก์ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 17 พ.ย.2559 ระบุพฤติการณ์ความผิดสรุปว่า เมื่อระหว่างวันที่ 1 พ.ย.2553 - 16 มี.ค.2557 จำเลยทั้งสี่ได้ร่วมกันหลอกลวงบริษัท ฮุ่ยเหลียง สกรีน พริ้นติ้ง จำกัด โดยมี น.ส.นิธิกุล ทวีโชติธนกุล กรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทน ผู้เสียหายที่ 1, นางอรวรรณ กงกุล ผู้เสียหายที่ 2, นายธีระ ตัณฑรังสี ผู้เสียหายที่ 3 และ น.ส.ขวัญเรือน อินทร์เขียว ผู้เสียหายที่ 4 หลายครั้ง หลายหน ด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จอ้างว่า ถ้าหากทำบุญกับเบื้องสูงจะได้บุญมากกว่าการทำบุญด้วยวิธีการอื่นๆ โดยเฉพาะผลไม้ เมื่อเอาผลไม้เข้าไปถวายแล้ว ท่านจะนำผลไม้ส่วนหนึ่งไปทำบุญกับพระสมเด็จ (พระราชาคณะชั้นสมเด็จขึ้นไป) ตามวัดต่างๆ และอีกส่วนหนึ่งจะนำไปแจกให้กับเบื้องสูง

นอกจากนี้ จำเลยยังหลอกลวงว่า จะช่วยวิ่งเต้นให้เพื่อนของผู้เสียหายที่ 1 ได้รับงบประมาณขุดลอกคูคลองทางภาคอีสานจากหน่วยงานราชการ และอ้างว่า จำเลยที่ 1 เป็นบุตรบุญธรรมของคุณหญิงท่านหนึ่ง ให้ผู้เสียหายที่ 1 เอาเงินไปซื้อแหวนเพชรและเอาเงินสดไปดูแลและรับรองคุณหญิงคนดังกล่าว รวมทั้งยังได้หลอกลวง ผู้เสียหายที่ 1 และผู้เสียหายอื่นหลายครั้ง เช่น การจัดงานเลี้ยงฉลองวันเกิดให้แก่ จำเลยที่ 1 ที่โรงแรมแห่งหนึ่ง แล้วอ้างประกาศต่อหน้าผู้มาร่วมงานว่า เจ้าหน้าที่จากสำนักพระราชวังนำของขวัญมามอบให้

ยังมีเรื่องที่พวกจำเลยหลอกลวงให้ร่วมทำบุญทอดกฐินพระราชทาน รวมทั้งให้ตัดเสื้อผ้าจำนวนหลายชุด อ้างว่าจะนำไปสวมใส่ในงานกฐินพระราชทานที่วัดในจังหวัดสมุทรสาคร และจำเลยที่ 1 ยังได้ปลอมหนังสือของสำนักราชเลขาธิการด้วย รวมเงินที่พวกจำเลยหลอกลวงผู้เสียหายจำนวนทั้งสิ้น 5,140,880 บาท โจทก์จึงขอให้ศาลลงโทษตามกฎหมาย และขอให้ศาลสั่งพวกจำเลย คืนเงินหรือชดใช้เงินแก่ผู้เสียหายจำนวนดังกล่าวด้วย

ศาลได้สอบคำให้การจำเลยแล้วปรากฏว่า จำเลยที่ 1 และ 4 สารภาพ ส่วนจำเลยที่ 2 และ 3 ให้การปฏิเสธ ต่อสู้คดี โดยให้แยกฟ้องจำเลยที่ 2 และ 3 ภายใน 7 วัน ตามกฎหมาย ศาลจึงพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 และ 4 กระทำผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ดังนี้

ฐานดูหมิ่นเบื้องสูง 5 กระทง จำคุกกระทงละ 2 ปี เป็น 10 ปี ฐานฉ้อโกง 2 กระทง กระทงละ 7 ปี เป็น 14 ปี และฐานฉ้อโกง และฐานหมิ่นประมาทเบื้องสูงอีก 24 กระทง กระทงละ 5 ปี เป็นจำคุกคนละ 120 ปี รวมโทษจำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 144 ปี นอกจากนี้จำเลยที่ 1 ยังผิดฐานใช้เอกสารราชการปลอมอีก 2 กระทง กระทงละ 3 ปี เป็นจำคุกจำเลยที่ 1 ไว้ 150 ปี

ส่วนจำเลยที่ 2 จำคุก 144 ปี คำรับเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง เหลือจำคุกจำเลยที่ 1 ไว้ 75 ปี ส่วนจำเลยที่ 4 จำคุก 72 ปี อย่างไรก็ตาม ตามกฎหมายบัญญัติไว้ให้จำคุกได้ไม่เกิน 50 ปี จึงให้จำคุกจำเลยทั้งสองไว้คนละ 50 ปี และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้เงินแก่ผู้เสียหายตามฟ้องด้วย.


‘โปรเม’ เสี่ยงวืดรางวัล นักกอล์ฟยอดเยี่ยม

สถานการณ์การลุ้นรางวัลนักกอล์ฟยอดเยี่ยมแห่งปีของ “โปรเม” เอรียา จุฑานุกาล นักกอล์ฟสาวมือ 2 ของโลกเริ่มสั่นคลอน หลังจากลิเดีย โค โปรกอล์ฟหมายเลข 1 ของโลกชาวนิวซีแลนด์ คู่แข่งแย่งรางวัลเพียงหนึ่งเดียวของโปรเม ระเบิดฟอร์มสุดยอดในการแข่งขันรอบสองของศึก “ทัวร์ แชมเปี้ยนชิพ” รายการส่งท้ายปีของแอลพีจีเอ ที่รัฐฟลอริดา สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน

โดยโคทำวันเดียว 11 เบอร์ดี้ 1 โบกี้ รวม 10 อันเดอร์พาร์ 62 และสกอร์รวม 2 วัน เป็น 12 อันเดอร์พาร์ 132 ทะยานขึ้นนำเดี่ยว ทิ้งห่างอันดับ 2 ร่วม รยู โซยอน จากเกาหลีใต้ และรีแอนน์ โอทูล จากสหรัฐ ที่มี 9 อันเดอร์พาร์ 135 เท่ากัน ถึง 3 สโตรก

ด้านโปรเมซึ่งทำได้แค่อีเว่นพาร์ในวันแรก ผลงานกระเตื้องในรอบสอง ทำ 5 เบอร์ดี้ 1 โบกี้ ทำให้สกอร์รวมเป็น 4 อันเดอร์พาร์ 140 ขยับจากอันดับ 32 ร่วม ขึ้นไปที่ 19 ร่วม แต่ตามหลังโคถึง 8 สโตรก

ทั้งนี้ โปรเมนำคะแนนสะสมลุ้นรางวัลนักกอล์ฟยอดเยี่ยมแห่งปีเป็นอันดับ 1 ที่ 261 คะแนน โดยมีโคตามอยู่ 14 คะแนน อย่างไรก็ตาม ถ้าโคซึ่งเป็นแชมป์เก่า 2 สมัยซ้อนของรายการนี้ป้องกันแชมป์ได้สำเร็จ ก็จะทำแต้มแซงโปรเมคว้ารางวัลดังกล่าวไปครองทันที รวมถึงคว้าโบนัส 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (35 ล้านบาท) สำหรับผู้ที่ทำคะแนนสะสม “เรซ ทู ซีเอ็มอี โกลบ” สูงที่สุดอีกด้วย

สำหรับผลงานของนักกอล์ฟสาวไทยอีก 2 คน “โปรโม” โมรียา จุฑานุกาล อันดับ 16 ร่วม สกอร์ 5 อันเดอร์พาร์ 139 และ “โปรแหวน” พรอนงค์ เพชรล้ำ อันดับ 66 ตีเกิน 7 โอเวอร์พาร์ 151

สงฆ์อีสาน 20 จว.มีมติ ไม่ต้าน ‘เบสท์ อรพิมพ์’

เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน พระเมธีธรรมาจารย์ (ประสาร จนฺทสาโร) เลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งชาติ (ศพศ) เปิดเผยถึงกรณีที่เบสท์ อรพิมพ์ รักษาผล นักพูดได้พูดพาดพิงถึงคนอีสานทั้ง 20 จังหวัดในทางให้ร้ายเสียหายและดูหมิ่นดูแคลนนั้นว่า คณะสงฆ์ในนามศูนย์รวมสงฆ์ชาวอีสาน 20 จังหวัดได้มีการพูดคุยกันในเรื่องดังกล่าวว่าจะมีการเคลื่อนไหวอย่างไรในกรณีนี้และได้ปรึกษาหารือร่วมกับอาตมาและทีมงานทั้งหมด คณะเรามีความเห็นร่วมกันว่าเนื่องจากเวลานี้ เป็นช่วงระยะเวลาที่อยู่ในภาวะที่คนทั้งประเทศรวมทั้งพี่น้องชาวอีสานด้วยกำลังถวายความไว้อาลัยเป็นอย่างยิ่งที่ได้สูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ และกำลังครบปัญญาสมวาส จึงได้มีการเตรียมการอุปสมบทถวายพระราชกุศลพระองค์ท่าน จึงเห็นว่าช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสมโดยประการทั้งปวงในการเคลื่อนไหวใดๆ ทั้งสิ้นทั้งที่เราคนอีสานกำลังถูกประณามหยามเหยียดอย่างรุนแรง จากใครก็ไม่รู้ เพราะพวกเราก็เพิ่งมารู้จักเขาจากกรณีที่เขาพูดพาดพิงมาถึงพวกเรานี้เอง จึงมีเพียงข้อเสนอแนะเล็กๆ น้อยๆ ไปยังคนที่พูดดูถูกพวกเรา ดังนี้

1.ถ้าอยากจะดังจะต้องมีวุฒิภาวะ ไม่ใช่จะดังด้วยวิธีเรียนลัดฉบับย่อโดยไร้หิริโอตตัปปะและความรับผิดชอบใดๆแบบนี้

2.โลกใบนี้ เป็นโลกใบใหม่ทุกเวลานาทีที่คุณลืมตาขึ้นมาในแต่ละวัน โลกได้หมุนเวียนเปลี่ยนไป ผู้คนสมัยใหม่เรียนรู้และแยกแยะได้ว่าอะไรผิดอะไรถูกอะไรชั่วอะไรดีรวมทั้งคนอีสานที่เธอกำลังพูดดูถูกเหยียดหยามอยู่นี้ด้วย เขามีการศึกษา เรียนรู้และมีวิจารณญาณพอในการคิด พูดและแสดงออก การพูดดูหมิ่นดูแคลนชาติพันธุ์เพื่อยกตัวเองให้สูงขึ้น ดีขึ้น ในทางจิตวิทยามีแต่จะทำให้ตัวคนพูดตกต่ำลงโดยเฉพาะภาวะทางจิตใจ

3.คนในสังคมปัจจุบันป่วยทางจิตมากขึ้นๆ โดยเฉพาะโรคที่กำลังระบาดอย่างหนักในบางกลุ่ม บางพวกสังคมไทย คือโรคตัวเองวิเศษวิโสกว่าคนอื่น ดีเลิศบริสุทธิผุดผ่องกว่าคนอื่น ในทางกลับกันมันกลับทำให้จิตใจของคนๆ นั้นตกต่ำลง จิตใจที่ตกต่ำนี้จึงนำไปสู่การคิดและพูดในทางให้ร้ายเหยียบย่ำคนอื่น โรคนี้เป็นโรคที่รักษายากในยุคสมัยปัจจุบันจะต้องแก้ด้วยการเจริญวิปัสสนากรรมฐานในทางพระพุทธศาสนาเท่านั้นจึงจะดึงจิตให้สูงขึ้นได้

4.ขอเรียกร้องให้โรงเรียน สถานศึกษา องค์กรเอกชนและวัดวาอารามศาสนา จงงดเชิญผู้ที่มีวุฒิภาวะทางจิตใจทำนองนี้ไปบรรยายหรือให้ความรู้ใดๆอีกต่อไป เพราะไม่ได้เป็นแบบอย่างที่ดีของเยาวชนและพระศาสนา การรับรองเขา ให้เกียรติเขา จะทำให้เขาเหลิง ได้ใจ นำเอาความเกลียดชัง แตกแยก เย่อหยิ่ง และภาวะทางจิตใจเช่นนี้ไปขยายผลในสังคมไทยในขณะที่สังคมเราวันนี้กำลังต้องการความปรองดองและสามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และคิดดูให้ดีถ้าเด็ก เยาวชน วัดวาอารามศาสนาเรารับเอาแนวคิดเยี่ยงนี้ไป หรือปลูกฝังในจิตใจเด็กและเยาวชน รวมทั้งประเทศชาติพระศาสนาผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร บ้านเมืองจะอยู่ในสภาพไหน ลองคิดใคร่ครวญกันดู จงตรองให้หนัก

“วันนี้ขอให้พี่น้องชาวอีสานเราทุกท่าน ทุกคนคนจงอดทนอดกลั้น และอย่าทำอะไรที่จะเป็นเครื่องมือของคนที่อยากดังในทางไม่ถูกไม่ควร ยิ่งทำยิ่งทำให้เขาดัง เข้าทางเขา การพูดการแสดงออกที่ไร้การศึกษารังแต่จะนำพาความเดือดร้อนและหายนะมาสู่ตัวเขาเอง ขอให้กำลังใจทุกท่าน ทุกคนพวกเราคนอีสานยังคงทำดีถวายพ่อต่อไป แม้จะมีใครกล่าวให้ร้ายอย่างรุนแรงและไม่ให้เกียรติก็ตาม” พระเมธีธรรมาจารย์ กล่าว