พระเณรคำ หลวงปู่เณรคำ หรือ นายวิระพล สุขผล ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษในเมืองไทยกล่าวหาด้วยข้อหาร้ายแรงหลายคดีนั้น ขณะนี้เขาได้มาเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ยังคงรูปแบบความเป็นพระสงฆ์เหมือนเดิม อยู่ในสหรัฐอเมริกา และได้เปลี่ยนชื่อตัวเองจากหลวงปู่เณรคำ เป็น พระวิมุตติญาณ แห่งวัดป่าขันติบารมี ซึ่งตั้งอยู่เมืองซานดิเอโก้ รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกาโดยมีสถานภาพ เป็นผู้ลี้ภัยที่ได้รับการรับรองสถานะอย่างถูกต้อง ตามกฎหมายของอเมริกา
และเมื่อวันที่ 20 กันยายนที่ผ่านมา ที่ วัดป่าขันติบารมี ซึ่งตั้งอยู่ที่ Lake Elsinore San Diego รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา มีการทำพิธีวางศิลาฤกษ์สร้างศาลาใหม่ของวัด พร้อม ๆ ไปกับการ ทำบุญเนื่องในวันคล้ายวันเกิดของ พระวิมุติญาณ หรือเณรคำ ซึ่งเกิดเมื่อวันที่ 18 กันยายน 2522
วัดป่าขันติบารมี นี้ ตั้งอยู่บนเนินเขาสูง มีเนื้อที่ประมาณ 2 เอเคอร์ เป็นสำนักสงฆ์ที่ พระเณรคำ กำลังจะพัฒนาให้เป็นสำนักสงฆ์ของพุทธศาสนาแห่งใหม่ เป็นนิกายใหม่ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับคณะสงฆ์ไทย แต่อย่างใด คาดว่า ภายในปีหน้า ก็จะมีการเปิดตัวนิกายใหม่ ซึ่งจะจดทะเบียนในรูปของมูลนิธิ เป็นองค์กรใหม่ ที่จะได้รับการรับรองทางกฎหมาย จากรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ซึ่งขณะนี้ อยู่ระหว่างการประสานงานจัดตั้ง และการสร้างมวลชน ผู้มีจิตศรัทธา ซึ่งเณรคำ บอกว่า มีอยู่หลายรัฐ ในยุโรป ก็มี รวมทั้งในประเทศไทยดัวย
เณรคำยังอ้างว่าคดีที่ดีเอสไอฟ้อง 7-8 คดี เป็นเพียงส่วนประกอบหนึ่งเท่านั้น ข้อกล่าวหาสำคัญที่สุดนั้นน่าเป็นข้อกล่าวหาว่าเป็นบุคคลที่เป็นภัยต่อความมั่นคง และที่ต้องมาเป็นผู้ลี้ภัยทางการเมือง เพราะไม่ยอมจ่ายเงิน 50 ล้านให้มาเฟียในเมืองไทย
เมื่อวันที่ 30 กันยายน นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำนปช. กล่าวว่า ยิ่งมีความพยายามอธิบายตัวตนของนายอ๊อดให้เชื่อมโยงกับนปช.ก็ยิ่งเพิ่มประเด็นคำถามขึ้นในสังคม เพราะเชื่อยากว่าคนมีพฤติการณ์ถูกจับกุมคดีเล็กน้อยหลายครั้งต่างกรรมต่างวาระ เช่น ดมสารระเหย เล่นพนันฟุตบอล จะไปเกี่ยวข้องกับขบวนการใหญ่โตที่ก่อเหตุนี้ โดยปกติคนประเภทนี้มักอยู่ในสายตาของเจ้าหน้าที่ หรือบางกรณีอาจถูกใช้เป็นสายด้วยซ้ำ ไม่น่าจะกลายเป็นบุคคลลึกลับได้
นายณัฐวุฒิ กล่าวอีกว่า หากนายอ๊อดเป็นกุญแจสำคัญของคดีจริง ตำรวจก็ควรมีข้อมูลในมือครบถ้วนอยู่ก่อน ไม่ใช่แถลงไป หาข้อมูลไป หรือใครถามประเด็นไหนก็ไปหาข้อมูลมาตอบไปวันๆ ทั้งนี้ ส่วนตัวเชื่อว่า สาเหตุเรื่องนี้น่าจะมาจากการส่งชาวอุยกูร์กลับประเทศจีน และเป็นไปได้ว่าเจ้าหน้าที่ก็รับรู้จากพยานหลักฐาน แต่เพื่อเบี่ยงเบนไม่ให้เป็นความรับผิดชอบโดยตรงของรัฐบาลหรือไม่
เรื่องที่ควรจบได้จึงบานปลายจนขาดความน่าเชื่อถือซึ่งส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศโดยตรง นอกจากนี้ ยังสร้างบรรยากาศความขัดแย้งในหมู่คนเห็นต่างที่เริ่มตอบโต้กันไปมาตามความเชื่อของตัวเอง ทั้งในโซเชียลเน็ตเวิร์คและสังคมทั่วไป แทนที่คนไทยจะได้สามัคคีกันรับมือ กลับต้องอยู่แบบไม่ไว้วางใจกัน สุ่มเสี่ยงจะเป็นช่องว่างให้กลุ่มผู้ก่อเหตุฉวยโอกาสได้
"สำหรับนปช. ไม่คิดว่าต้องชี้แจงอะไรเป็นพิเศษ เพราะยืนยันความบริสุทธิ์ได้ 100 % แต่เห็นว่าเป็นหน้าที่ของฝ่ายรัฐที่ต้องชี้แจงให้สิ้นสงสัย และเร่งติดตามผู้กระทำความผิดมาลงโทษให้ได้ ไม่ใช่เปิดประเด็นไว้แล้วไร้ความคืบหน้า ผมไม่ได้ท้าทาย แต่ถ้าต้องการชี้บางกลุ่มเป็นผู้ร้ายให้ได้ ก็ควรใช้มาตรา 44 ตัดสินคดีไปเลย อยากให้ใครเกี่ยวบ้างก็ใส่ไป ไม่ต้องเอากลไกรัฐมาใช้อย่างนี้" นายณัฐวุฒิ กล่าว
คณะจิตวิทยามหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียของสหรัฐฯ ได้ศึกษาพบว่า ผู้ชายที่ต้องอาศัยเงินเพื่อซื้อความรักจากโสเภณี มีโอกาสอาจจะตกเป็นผู้ต้องหาในคดีข่มขืน และความก้าวร้าวทางเพศอื่นๆเข้าสักวันหนึ่ง ยิ่งกว่าผู้ที่ไม่ไปเที่ยวโสเภณีเลย
ศาสตราจารย์วิชาสื่อสารมวลชน ผู้เป็นหัวหน้านักวิจัย ได้แจ้งว่า “การค้นพบของเราส่อว่า ผู้ชายที่ต้องใช้เงินซื้อความรัก พวกนี้มีลักษณะบางอย่าง เช่นเดียวกับผู้ชายซึ่งชอบก่อความก้าวร้าวทางเพศ” บุรุษทั้งสองพวกเหล่านี้ มักจะชอบหว่านเงินเพื่อให้ได้ความรักใคร่ เพราะกลัวว่าจะถูกฝ่ายหญิงปฏิเสธ
นอกจากนี้ นักวิจัยยังพบว่าคนเหล่านี้จะไม่มีความเห็นอกเห็นใจในผู้หญิงเหล่านี้ และมองว่าเป็นละพวกกับสตรีทั่วไป
ทางคณะนักวิจัยได้ให้ความเห็นว่า เชื่อว่าผลงานครั้งนี้ จะทำลายความเชื่อถือกันผิดๆว่า ผู้ชายคนที่ซื้อกามารมณ์เป็นผู้ชายธรรมดาๆ เพียงแต่ว่ารู้สึกผิดหวังอย่างแรง เมื่อตอนไม่สมหวังเท่านั้น
(30 ก.ย.58) เกิดความเคลื่อนไหวขึ้นอย่างฉับพลันบนโลกโซเชียลในช่วงบ่ายที่ผ่านมา เมื่อชาวโซเชียลตามร่วมใจปฏิบัติการถล่มเว็บไซต์กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารหรือไอซีที จนทำให้เว็บไซต์ไม่สามารถใช้งานได้ โดยมีข้อความระบุในโลกออนไลน์ว่า ปฏิบัติการครั้งนี้ มีขึ้นเพื่อแสดงพลังคัดค้านการเดินหน้าระบบ Single Gateway ซึ่งไอซีทีเป็นหัวเรือใหญ่ร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติในการศึกษาแนวทางเพื่อติดตั้งระบบดังกล่าว
ปฏิบัติการสายฟ้าแลบนี้สืบเนื่องจากที่รัฐบาลไทยมีท่าทีจะวางระบบ Single Gateway เพื่อควบคุมการจราจรข้อมูลทางอินเตอร์เน็ตจากเว็บไซต์ต่างประเทศเข้ามาในไทย ซึ่งหลายฝ่ายโดยเฉพาะประชาชนผู้ใช้อินเตอร์เน็ตและผู้ประกอบการไอทีรวมถึงชาวเกมเมอร์ต่างแสดงความกังวลต่อการใช้ระบบ Single Gateway ว่าจะส่งผลต่อความเร็วในการใช้อินเตอร์เน็ตที่ช้าลงเนื่องจากทางเข้า-ออกของข้อมูลถูกจำกัดเหลือเพียงช่องทางเดียว และการกลั่นกรองข้อมูลโดยหน่วยงานภาครัฐที่รับผิดชอบจนมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันมากขึ้น แม้ทางรัฐบาลจะออกมากล่าวว่าระบบดังกล่าวยังอยู่ในช่วงศึกษาแนวทางและความเป็นไปได้และยืนยันว่าทำเพื่อส่งเสริมการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและไม่ล่วงละเมิดสิทธิส่วนบุคคล แต่ก็ไม่อาจลดแรงต่อต้านที่ค่อยๆ มากขึ้น เพราะหลายคนเชื่อว่า ที่สุดแล้วรัฐบาลจะเดินหน้าโครงการดังกล่าวจนสำเร็จ
จนเมื่อช่วงบ่ายมีข้อความส่งต่อกันในโซเชียลก่อนจะถูกโพสต์บนเฟซบุ๊กแฟนเพจหลายกลุ่มโดยเนื้อหาระบุว่า "กลุ่มผู้ที่รวมตัวกันเพื่อต่อต้านระบบซิงเกิลเกตเวย์จะทำการถล่มเว็บไซต์เชิงสัญลักษณ์ด้วยวิธีการ DdoS เนื่องจากเป็นวิธีการเชิงสัญลักษณ์เพราะเป็นวิธีที่ทุกคนที่มีโทรศัพท์และอินเตอร์เน็ตสามารถทำได้ เป็นการแสดงให้เห็นถึงพลังของประชาชนอยากขอเชิญมาร่วมมือกันกับประชาชนผู้รักในความยุติธรรมของกฏหมาย โดยในวันที่30กันยายนหลัง 4 ทุ่มเป็นต้นไป เป้าหมายแรกของพวกเรา คือเว็บไซต์ของกระทรวงเทคโนโลยีและสารสนเทศ http://www.mict.go.th/view/1/home
อย่างไรก็ตาม ทันทีที่ข้อความดังกล่าวเผยแพร่ออกไป ได้มีกระแสก่อตัวแนวร่วมขึ้นอย่างรวดเร็ว และประเดิมโจมตีเว็บไอซีทีตามวิธีดังกล่าว ก่อนจะถึงเวลาปฏิบัติอย่างเป็นทางการ ที่มีการนัดหมายกันไว้ จนเมื่อเวลาประมาณ 18.00 น. หากใครคลิกเข้าไปที่เว็บไซต์ของกระทรวงไอซีที จะพบข้อความ ไม่พบหน้าที่คุณต้องการหรือหน้าดังกล่าวได้ถูกลบไปแล้ว
ล่าสุดเมื่อเวลาประมาณ 20.24 น. ได้มีข้อความเผยแพร่ในโลกออนไลน์อีกครั้ง โดยระบุว่า
"ขอขอบคุณมวลชนผู้กล้าแกร่งทุกท่าน ณ ตอนนี้เราได้สำแดงพลังของมวลชนให้รู้ไว้แล้วว่าเสรีชนจะไม่ทนก้มหน้าฝืนจากอำนาจที่ได้มาจากกระบอกปืนเพื่อปิดหูปิดตาอิสรชนเยี่ยงเรา
เราขอฝากคำนี้แก่รัฐพวกคุณไม่สามารถแม้กระทั่งจะปกป้องตัวเองได้ พวกคุณไม่สามารถแม้กระทั่งจะรักษาไว้ซึ่งความมั่นคงของพวกคุณเองได้ แล้วพวกคุณจะปกป้องพวกเราได้อย่างไร
เราขอประกาศสงครามแห่งอิสรภาพสงครามเพื่อปลดปล่อยซึ่งเจตจำนงค์ของประชาชน ณ บัดนี้ เป็นต้นไป เป้าหมายของพวกเราคือการให้รัฐบาลประกาศยกเลิกด้วยคำสั่งให้หยุดยั้งกระบวนการซิงเกิ้ลเกตเวย์ทั้งมวลทันที
มิเช่นนั้นพลังของมวลชนจักสำแดงอีกครั้ง"
ทั้งนี้ยังมีข้อความระบุอีกว่า
"ขอขอบคุณมวลชนผู้กล้าแกร่งทุกท่านเป้าหมายต่อไปของเราคือเว็บไซต์ของบริษัท กสท โทรคมนาคม หรือ CAT
เราขอฝากคำนี้แก่รัฐพวกคุณไม่สามารถแม้กระทั่งจะปกป้องตัวเองได้ พวกคุณไม่สามารถแม้กระทั่งจะรักษาไว้ซึ่งความมั่นคงของพวกคุณเองได้ แล้วพวกคุณจะปกป้องพวกเราได้อย่างไร
เราจะเริ่มกันที่เวลา 3 ทุ่ม
ต่อมาเมื่อประมาณ20.53น. ได้ตรวจสอบไปที่หน้าเว็บไซต์ของ กสท.โทรคมนาคม ปรากฏว่าจากเดิมจะปรากฏหน้า ประกาศก่อนเข้าสู่เว็บไซต์ กลายเป็นไม่มีข้อมูลของหน้าเว็บไซต์ดังกล่าว
ขณะที่ น.อ.สมศักดิ์ ขาวสุวรรณ์ ปลัดกระทรวงไอซีทีออกมากล่าวว่า จากการที่นัดแนะเข้าโจมตีเว็บไซต์เพื่อต่อต้านนโยบายซิงเกิลเกตเวย์นั้น จากตรวจสอบแล้วพบว่าเว็บไซต์ของกระทรวงไม่ได้ล่มเพียงแต่มีปริมาณผู้ใช้งานจำนวนมาก จำนวนทำให้การทำงานช้าลงเท่านั้น
น.อ.สมศักดิ์ยังกล่าวอีกว่า ตนขอถามกับคนที่ทำเรื่องนี้ว่าทำเพื่ออะไร กระทรวงยังไม่ได้ดำเนินการอย่างใด ทำไมไม่มาร่วมพูดคุยหารือเพื่อแก้ไขปัญหาร่วมมือกัน ดีกว่าใช้วิธีชักชวนกันทำให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ นอกจากนี้ เมื่อเว็บไซต์ล้ช้าใช้งานไม่ได้ ก็จะส่งผลเสียต่อประชาชนที่ต้องการเข้าไปดูข้อมูลข่าวสารจากกระทรวง การใช้โซเชียลปั่นกระแสจะมีแต่ทำให้สังคมสับสน ทุกวันนี้รู้หรือไม่ว่าไอซีทีทำอะไรไปถึงไหน เรายังไม่ได้ทำอะไรเลย มีอะไรก็มาคุยหารือกัน ขอให้เห็นแก่รัฐเห็นแก่สังคม เอาความรู้ความสามารถช่วยกันให้สังคมเกิดความปลอดภัยดีกว่า ทำแบบนี้เกิดประโยชน์กับสังคมตรงไหน
ต่อมาเมื่อเวลาประมาณ 21.30 น. เว็บไซต์ของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ก็ไม่สามารถเข้าดูได้ โดยคาดการณ์ว่า น่าจะถูกโจมตีในลักษณะเดียวกัน กับที่เกิดขึ้นกับเว็บกระทรวงไอซีทีและกสท.โทรคมนาคม
จากนั้นเมื่อเวลา 22.20 เว็บไซต์ของทำเนียบรัฐบาล ไม่สามารถเข้าชมได้แล้ว โดยคาดว่าเกิดจากอาการเว็บล่มด้วยสาเหตุเดียวกัน
นอกจากนี้ ภายในคืนวันที่ 30 กันยายน ยังมีเว็บไซต์หน่วยงานรัฐบาลอีกหลายแห่งที่ประสบปัญหาเข้าดูไม่ได้ ในลักษณะเดียวกันกับเว็บไซต์ 4 แห่งข้างต้น
เว็บไซต์ข่าวบันเทิง 'ทีเอ็มแซด' (TMZ) รายงานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจนครลอสแอนเจลิส ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ของสหรัฐอเมริกา พบศพน.ส. แคธริโอนา ไวท์ ช่างแต่งหน้าชาวไอร์แลนด์วัย 28 ปี ผู้เป็นแฟนสาวของ จิม แคร์รี นักแสดงชื่อดังวัย 53 ปี ที่บ้านหลังหนึ่งเมื่อคืนวันจันทร์ที่ผ่านมา (28 ก.ย.) และเชื่อว่าเธอฆ่าตัวตาย
ตำรวจแอลเอพบศพของน.ส.ไวท์ หลังได้รับแจ้งเหตุจากเพื่อน 2 คนที่เดินทางไปเยี่ยมน.ส.ไวท์ โดยในที่เกิดเหตุ ตำรวจพบยาเม็ดจำนวนหนึ่งตกอยู่ข้างศพ ทำให้เชื่อว่าผู้เสียชีวิตฆ่าตัวตายด้วยการกินยาเกินขนาด ขณะที่แหล่งข่าวเปิดเผยต่อ ทีเอ็มแซด ว่า น.ส.ไวท์ ทิ้งจดหมายลาตายเขียนถึง จิม แคร์รี เอาไว้ด้วย โดยจดหมายระบุถึงการเลิกรากันระหว่างทั้งคู่เมื่อวันที่ 24 ก.ย. ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่เธอทวีตข้อความบนเว็บไซต์ทวิตเตอร์ว่า เธออยากเป็นแสงสว่างแก่ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดและเป็นที่รักที่สุดของเธอ
ล่าสุด จิม แคร์รี ได้ออกแถลงการณ์แสดงความเสียใจต่อการเสียชีวิตของน.ส.ไวท์แล้ว โดยระบุว่า เขารู้สึกตกใจและเสียใจอย่างที่สุดต่อการจากไปของแคธริโอนา และขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัวและเพื่อนๆของเธอ รวมถึงทุกคนที่รักและเป็นห่วงเธอ ทุกคนรู้สึกเหมือนโดนสายฟ้าฟาด
ทั้งนี้ น.ส.ไวท์ มีความสัมพันธ์แบบรักๆเลิกๆกับ จิม แคร์รี โดยทั้งคู่พบกันในปี 2012 และเริ่มคบหากัน แต่ไม่กี่เดือนต่อมาก็เลิกกัน ก่อนจะกลับมาคบกันใหม่เมื่อเดือนพ.ค.ที่ผ่านมานี้เอง