ข่าว
แม่-ลูกวิญญาณเฮี้ยน บอกไม่ได้ถูกไฟดูดตาย

จากรณี น.ส.ชนิตา ทรงโฉม อายุ 29 ปี ถูกไฟฟ้าดูดขณะกำลังตากผ้าจนเสียชีวิตคาห้องเช่าเลขที่ 2/58 ซ.สัตหีบสุขุมวิท 25 ก ม.4 ต.สัตหีบ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี โดย ด.ญ.ณาดา สานุสันติ์ หรือ น้องมิ้ง บุตรสาววัย 5 ขวบ เห็นแม่ถูกไฟดูดจึงพยายามเข้าไปช่วย แต่ก็ถูกกระแสไฟดูดจนเสียชีวิตไปอีกรายนั้น ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คดีดังนี้ทำท่าจะไม่ได้เป็นเพียงคดีอุบัติเหตุธรรมดาเสียแล้ว และมีความเป็นไปได้ที่จะกลายเป็นคดีฆาตกรรมขึ้นมา

ทั้งนี้สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 6 เมษายนที่ผ่านมา ครอบครัวของผู้ตาย ประกอบด้วย นายทรายทอง สานุสันติ์ อายุ 29 ปี สามี น.ส.ชนิตา และ นางสมรักษ์ กิมโสม อายุ 56 ปี มารดาของ น.ส.ชนิตา และญาติอีกราว 20 คน ได้นิมนต์พระจำนวน 4 รูปมายังห้องเช่าที่เกิดเหตุ เพื่อทำพิธีเชิญดวงวิญญาณผู้เสียชีวิตทั้ง 2 คน ออกจากที่เกิดเหตุ

แต่ปรากฏว่า ขณะทำพิธีได้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น โดยจู่ๆ นางสมรักษ์ ก็ร่ำไห้โผเข้ากอด นายทรายทอง และอ้างเป็นวิญญาณของ น.ส.ชนิตา พร้อมกับบอกว่า ไม่ได้ตายด้วยอุบัติเหตุแต่ถูกฆาตกรรม โดยตอนเที่ยงของวันเกิดเหตุ มีปากเสียงกับชายคนหนึ่งซึ่งอยู่ห้องใกล้กัน ระหว่างนั้นได้นำมือไปแตะที่เส้นลวดราวตากผ้าก็ถูกกระแสไฟดูดพร้อมทำท่าขณะถูกไฟดูดก่อนตายให้ญาติดู และพูดด้วยความโกรธแค้นว่า “คนร้ายมันไปไหนไม่ได้ เขากับลูกขี่มันไว้ จะไม่ยอมให้มันไปไหน มันทำกับลูกถึงขนาดนี้” จากนั้นญาติๆ จึงบอกให้ดวงวิญญาณไม่ต้องห่วง ให้ไปสู่สุขคติ เมื่อพระสงฆ์สวดบังสุกุล ได้ทิ้งท้ายด้วยคำว่า "หนูรักแม่" และออกจากร่างไป

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ นายทรายทอง เชื่อว่าภรรยาพยายามจะบอกเงื่อนงำการตายให้รู้ โดย นายทรายทอง ระบุว่า หลังภรรยาและลูกเสียชีวิต เจ้าหน้าที่การไฟฟ้าสัตหีบก็เข้ามาตรวจ พบว่าภายในบ้านไม่มีการรั่วของกระแสไฟฟ้า ถึงแม้จะมีกระแสไฟรั่วอยู่เล็กน้อย แต่ความแรงก็ไม่ทำให้ถึงขนาดบาดแผลมีรอยไหม้ได้ จึงทำให้รู้สึกสงสัยมาก่อนอยู่แล้ว ขณะเดียวกันที่ผ่านมา ภรรยาก็เคยมีปากเสียงทะเลาะเบาะแว้งกับคนที่อยู่ห้องใกล้เคียงกันมาก่อน จึงอยากขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจช่วยติดตามสืบสวนหาข้อเท็จจริงให้ด้วย

จากการที่เจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบห้องบริเวณใกล้เคียง พบว่าที่ห้องพักหมายเลข 3 ซึ่งอยู่ติดกับห้องผู้ตาย มี นายวุฒิชัย เคนโคก อายุ 35 ปี คนขับรถรับ-ส่ง พนักงานบริษัท THAITTAFFETA และน.ส.ทิพย์ธารทอง สืบสวน อายุ 32 ปี สองสามีภรรยาชาวจังหวัดขอนแก่น เป็นผู้เช่าพักอาศัย เจ้าหน้าที่ตรวจสอบภายในห้องพักพบสายไฟสภาพใหม่ ยาวประมาณ 3 เมตร ปอกสายหัวท้าย เมื่อนำไปจำลองต่อจากปลั๊กมุมบ้านหลังห้องที่อยู่ใกล้สุด ไปยังราวตากผ้าที่ยาวเชื่อมต่อจากห้องผู้ตาย พบว่ามีความยาวพอดี จึงได้ลงเก็บไว้เป็นหลักฐาน พร้อมเชิญตัวไปสอบปากคำ โดยทั้งคู่ให้การปฏิเสธไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง และบอกว่าสายไฟที่พบมีไว้ต่อพ่วงเครื่องเสียงในรถบัส จึงได้ลงบันทึกไว้เป็นหลักฐาน ก่อนอนุญาตให้กลับบ้าน แต่ทั้งนี้ ผกก.สภ.สัตหีบ ได้สั่งการให้ส่งชุดสืบสวนลงตรวจสอบที่เกิดเหตุให้แน่ชัด และออกหาข่าวโดยเรียกผู้พักอาศัยบ้านใกล้เรือนเคียง มาสอบปากคำเพื่อหาข้อมูลวันเกิดเหตุให้มากที่สุด ในการคลี่คลายคดีแล้ว

อาจารย์ศิลปากรห่องพระพุทธรูปปางเม็คโดนัลด์

กรณีข่าวรูปปั้นเลียนแบบพระพุทธรูป โดยศิลปินผู้สร้างจงใจทำสีสันให้เหมือนกับ "โรนัลด์" สัญลักษณ์ของแมคโดนัลด์ และมีการนำมาเผยแพร่ผ่านทางสังคมออนไลน์ ทำให้เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวางถึงความไม่เหมาะสม ขณะเดียวกัน ได้มีมุมมองว่าเป็นงานศิลปะ และไม่ได้มีการกราบไหว้จึงไม่น่าเป็นการลบหลู่พระพุทธเจ้า อย่างไรก็ตาม กระทรวงการต่างประเทศ ได้สั่งการให้สถานทูตไทยทุกแห่ง สืบหาที่มาและต้นตอของรูปปั้นแมคโดนัลด์รูปนี้ เพราะเห็นว่าสร้างความมัวหมองให้พระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง ตามข่าวที่นำเสนอไปแล้วนั้น

ความคืบหน้า วันนี้ (11 เม.ย. ) ผศ.ชัยณรงค์ อริยะประเสริฐ คณะมัณฑณศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ให้ความเห็นถึงเรื่องดังกล่าวว่า การขาดความรู้ที่เท่าทัน ท่ามกลางการมีข้อมูลข่าวสารวนเวียนอยู่หลากหลายรอบตัวเต็มไปหมดนั้นน่ากังวลมาก เพราะคนจำนวนมากต่างรับรู้ข้อมูลและทำการตีความและตอบโต้ไปตามทัศนะเฉพาะตน ผลกระทบในวงกว้างนั้นมีมากหาก ทักษะ ประสบการณ์ รวมถึงความรู้และความคิด ที่มีนั้นไม่มากและไม่เท่าทันกับความแปลกแยก ความแตกต่าง ความรู้สึกใหม่ ความเด่น ความน่าสนใจ ที่มีมาอย่างรวดเร็วและรุนแรง ในช่วงหัวค่ำที่คนส่วนใหญ่มุ่งค้นเข้าไปในระบบไซเบอร์สเปซ พร้อมๆกัน และค้นหาข้อมูลแทบจะพร้อมๆกัน บางครั้งเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องก็อาจจะกลายเป็นเรื่องที่ใหญ่โตไปมากกว่าเรื่องที่เกิดปัญหากันอยู่ ดังเช่นกรณีเรื่องถึงครูอังคณา ก็ถือเป็นอีกหนึ่งกรณีตัวอย่าง

ขณะเดียวกัน ผู้เชี่ยวชาญวิจารณ์งานศิลป์ท่านหนึ่ง ได้ให้ความเห็นว่า สำหรับมุมมองเรื่องการยึดติด ยึดมั่นถือมั่น ยึดติดกับรูปลักษณ์ ทำให้นึกถึงภาพ “เว่ยหล่างฉีกพระไตรปิฎก” น่าจะนำมาเปรียบเทียบระหว่างความเหมือนความต่าง โดยสิ่งแรกคือ impact และ reaction ของสังคมต่องานทั้งสองนั้นแตกต่างกันแบบตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง ถ้าหากมองอย่างผิวเผินงานทั้งสองมีเนื้อหาของการ ดูหมิ่นสิ่งเคารพของศาสนิกชนเหมือนกันทั้งคู่ แต่ถ้าหากมองอย่างละเอียดแล้ว เว่ยหล่างฉีกพระไตรปิฎก โดยเนื้อหาคือเจ้าของความคิดนี้เขามุ่งแสดงปริศนาธรรมว่า พระไตรปิฎกทั้ง 84,000 พระธรรมขันธ์นั้นอยู่ในใจ อยู่ที่ใจ ไม่ใช่ตำราใน ขณะที่ งานปั้นหลวงพ่อแมคโดนัลด์ นี้ เป็นการสื่อให้ละรูปแบบเดิมๆ ไปสู่รูปแบบอื่น หากมองว่า แมคโดนัลด์เป็นสัญลักษณ์ของทุนนิยม จะเห็นได้ชัดเลยว่า เนื้อหาของหลวงพ่อแมคโดนัลด์ นั้นไม่ใช่สื่อไปถึงการละความยึดมั่นถือมั่นอย่างที่คิดกันเลยแม้แต่น้อย แต่งานนี้มีเนื้อหาที่มุ่งวิพากษ์สังคมพุทธว่า เป็นพุทธพาณิชย์ ดังนั้นเนื้อหาที่แท้จริงนั้นเองที่เป็นสาเหตุที่ทำให้งานหลวงพ่อแมคโดนัลด์ถูกวิจารณ์ในแง่ลบ เพราะไม่มีความลึกซึ้ง ความเข้าใจในพระพุทธศาสนาอย่างเพียงพอ

"อนุดิษฐ์" โชว์แท็บแล็ตป.1 สีแดงสดใส

วันที่ 11 เม.ย. ที่ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร(ไอซีที) กล่าวถึงความคืบหน้าโครงการจัดหาแท็บเล็ตป.1 ซึ่งนำเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) เป็นวาระจรที่ 18 วานนี้ว่า ที่ประชุมครม.เห็นชอบใน 3 เรื่องที่มีการแก้ไขในสัญญา คือ ให้ปลัดกระทรวงไอซีทีเป็นผู้ลงนามในสัญญาจัดซื้อจัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์แบบพกพาหรือแทบเล็ตจากประเทศจีน ซึ่งเป็นไปตามคำแนะนำของสำนักอัยการสูงสุดที่ระบุให้ทำตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุ พ.ศ.2535 ซึ่งกำหนดให้หัวหน้าส่วนราชการเป็นผู้ลงนามสัญญาจัดซื้อจัดจ้าง จำนวนการจัดซื้อแท็บเล็ตที่เพิ่มขึ้นจาก 9 แสนเครื่อง เป็น 1 ล้านเครื่อง และงบประมาณที่ใช้ในการจัดซื้อจากเดิม 1,900 ล้านบาท เป็นไม่เกินวงเงินในการจัดซื้อ 3,000 ล้านบาท ซึ่งตามสัญญาแท็บเล็ตราคาเครื่องละ 82 เหรียญ หรือประมาณ 2,400-2,600 บาท โดย 1 ล้านเครื่องจะใช้งบประมาณราว 2,400-2,600 ล้านบาท

น.อ.อนุดิษฐ์ กล่าวต่อว่า ขณะนี้ร่างสัญญาจัดซื้อแท็บเล็ตป.1 ขณะนี้กระทรวงไอซีทีได้ส่งให้สำนักงานอัยการสูงสุดตรวจสอบแล้ว ซึ่งในร่างสัญญามีการแก้ไขเนื้อหาใน 3 ส่วนตามที่ครม.เห็นชอบ รวมทั้งจะมีข้อกำหนดไว้ในร่างสัญญาว่ากระทรวงไอซีทีสามารถสั่งซื้อเพิ่มเติมได้ตามราคาที่ได้ตกลงในสัญญาหรือถูกกว่าที่ระบุไว้ในสัญญา สำหรับเรื่องงบประมาณการจัดซื้อแท็บเล็ตตามโครงการนี้ กรมบัญชีกลางให้ความเห็นว่าหน่วยงานที่จะจัดซื้อแท็บเล็ตจะต้องโอนเงินมายังกระทรวงไอซีทีให้แล้วเสร็จก่อนดำเนินการ

“การเซ็นสัญญาจัดซื้อแท็บเล็ตป.1 วันนี้ที่ยังไม่สามารถเซ็นได้เนื่องจากมีเงื่อนไข คือ รอสำนักงานอัยการสูงสุดส่งร่างสัญญาจัดซื้อแท็บเล็ตที่กระทรวงไอซีทีส่งให้ตรวจสอบด้านกฎหมายกลับมาให้กระทรวงไอซีที รวมทั้งเรื่องหนังสือรับรองด้านการเงิน(แบงก์การันตี) ของบริษัท สโคป ถ้าไม่มีก็ไม่สามารถเซ็นสัญญาได้ และเมื่อเซ็นสัญญาจัดซื้อแล้วนับไปอีก 60 วันสโคปจะต้องจัดส่งเครื่องแท็บเล็ตล็อตแรกมาให้กับกระทรวงไอซีที ซึ่งขณะนี้ไอซีทียังไม่ได้ตั้งคณะกรรมการตรวจรับ แต่คาดว่าจะตั้งเร็วๆนี้”