ข่าว
‘ทรัมป์’ เซ็นคำสั่งตั้ง กองทุนสำรองบิตคอยน์ ก่อนประชุมสุดยอด ผู้บริหารวงการคริปโทฯ

วันที่ 7 มีนาคม 2568 : สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐอเมริกา ได้ลงนามในคำสั่งเพื่อจัดตั้งกองทุนสำรองบิตคอยน์เชิงยุทธศาสตร์แล้วเมื่อวันที่ 6 มีนาคม หนึ่งวันก่อนที่ทรัมป์จะจัดการประชุมร่วมกับผู้บริหารจากอุตสาหกรรมคริปโทเคอร์เรนซีที่ทำเนียบขาวในวันศุกร์ (7 มี.ค.) ตามเวลาท้องถิ่น

นายเดวิด แซคส์ มหาเศรษฐี ซึ่งทำหน้าที่กำกับดูแลคริปโททำเนียบขาว โพสต์ลงแพลตฟอร์ม X ว่ากองทุนสำรองเชิงยุทธศาสตร์ดังกล่าวจะประกอบด้วยบิตคอยน์ราว 200,000 บิตคอยน์ ซึ่งเป็นเงินคริปโทฯที่รัฐบาลกลางยึดมาได้จากกระบวนการริบทรัพย์สินทั้งทางอาญาและทางแพ่ง

อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีความชัดเจนว่ากองทุนสำรองใหม่นี้จะทำงานอย่างไรและจะเป็นประโยชน์ต่อผู้เสียภาษีอย่างไร โดยนายแซคส์ระบุว่า รัฐบาลกลางจะมียุทธศาสตร์ในการเพิ่มมูลค่าของสินทรัพย์ในกองทุนสำรองนี้ แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติม

“สหรัฐจะไม่ขายบิตคอยน์ที่ฝากอยู่ในกองทุนสำรอง มันจะถูกเก็บรักษาเป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่า กองทุนสำรองนี้เหมือนกับฟอร์ทน็อกซ์สำหรับคริปโทเคอร์เรนซีที่มักถูกเรียกว่า ทองคำดิจิทัล” แซคส์ระบุในโพสต์

เป็นความเคลื่อนไหวที่มีขึ้นในขณะที่การประชุมสุดยอดคริปโทฯที่ทำเนียบขาวจะเริ่มต้นขึ้นในวันศุกร์นี้ ซึ่งเป็นที่คาดหมายว่าทรัมป์จะใช้เวทีนี้ในการประกาศแผนการสร้างกองทุนสำรองเชิงยุทธศาสตร์ของเขาที่รวมเอาบิตคอยน์และอีก 4 สกุลเงินดิจิทัลอยู่ในกองทุนสำรองใหม่ดังกล่าว หลังจากเมื่อสุดสัปดาห์ก่อน ทรัมป์ได้เผย 5 สกุลเงินดิจิทัลที่เขาคาดว่าจะกำหนดให้อยู่ในกองทุนสำรองเชิงยุทธศาสตร์ใหม่นี้ อันได้แก่ บิตคอยน์(bitcoin) อีเทอร์ (ether) เอ็กซ์พีอาร์ (XRP) โซลานา (solana) และคาร์ดาโน (cardano)

ความเคลื่อนไหวนี้ของทรัมป์ในการสนับสนุนอุตสาหกรรมคริปโทฯ ซึ่งใช้เงินหลายล้านดอลลาร์ในการสนับสนุนเขาและสมาชิกพรรครีพับลิกันในการเลือกตั้งเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่ผ่านมานั้น ได้ก่อให้เกิดความกังวลในกลุ่มหัวอนุรักษนิยมและผู้สนับสนุนวงการคริปโทฯ เกี่ยวกับการตอบแทนของทรัมป์ที่ให้กับกลุ่มคนร่ำรวยอยู่แล้วและจะทำให้อุตสาหกรรมสกุลเงินดิจิทัลสูญเสียความน่าเชื่อถือ...

อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศนำทีม โปรโมทข้าวหอมมะลิไทยที่แอลเอ

@เมื่อวันจันทร์ที่ 3 มีนาคม 2568 เวลา11.00 am-1.30 pm ที่ร้าน Subhannahong Royal Thai Cuisine เมือง Redondo Beach นครลอส แอนเจลิส นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ Department of Foreign Trade(DFT) กระทรวงพาณิชย์ ซึ่งนำทีมเดินทางมาโปรโมทข้าวหอมมะลิออร์แกนิคของไทยที่สหรัฐอเมริกา เป็นประธานเปิดงานโปรโมทข้าวไทย “Healthy Life by Thai Organic Rice” โดยมี นางสาวจิตติมา ศรีถาพร รองอธิบดี นายวรวิทย์ หมื่นทอง ผู้อำนวยการกองมาตรฐานสินค้านำเข้าส่งออก ทีมงานจากเมืองไทย และ นายนิวัฒน์ หาญสวัสดิ์ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครลอส แอนเจลิส ร่วมให้การต้อนรับผู้เข้าร่วมงาน ซึ่งประกอบด้วย ผู้นำชุมชนไทยในแอลเอ นักธุรกิจเจ้าของร้านอาหารไทย ผู้นำเข้า สื่อมวลชนไทย และ อินฟลูเอนเซอร์ ให้ความสนใจเข้าร่วมสัมผัสงานและชิมข้าวออร์แกนิคหอมมะลิของเมืองไทยที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวกันอย่างมากมาย

@อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ ได้กล่าวว่า ตลาดสหรัฐอเมริกา เป็นตลาดใหญ่ที่สุดสำหรับการส่งออกข้าวออร์แกนิคของไทย เลยอยากมาจัดกิจกรรมโปรโมทข้าวหอมมะลิเกษตรอินทรีย์ให้เป็นที่รู้จักแพร่หลายมากยิ่งขึ้น โดยทางกรมการค้าต่างประเทศกระทรวงพาณิชย์ ได้จดลิขสิทธิ์ ตราสัญลักษณ์ ข้าวหอมมะลิออร์แกนิคของไทย เป็นตรารวงข้าวในวงกลมสีเขียว หรือที่เรียกว่า “ตราเขียว” ไว้ทั้งหมด 38 ประเทศ เพื่อนชาวไทยในทุกแห่งที่เห็นสัญลักษณ์ ตรานี้ให้มั่นใจได้เลยว่าเป็นข้าวที่ได้ผ่านการรับรองมาตรฐานจากกรมการค้าต่างประเทศเป็นที่เรียบร้อย

@กิจกรรมในงานได้มีการสาธิตการทำอาหารต้มยำกุ้ง ให้ผู้ไปร่วมงานได้ทานคู่กับข้าวหอมมะลิไทยซึ่งเข้ากันได้อย่างดีมาก รวมทั้งมีการสาธิตทำข้าวเหนียวมะม่วง ให้ได้ชิมกัน ก่อนเชิญผู้เข้าร่วมงานทุกคนรับประทานกลางวันร่วมกันภายในร้าน

@ผู้สื่อข่าวได้ถามถึงความแตกต่างของข้าวหอมมะลิไทยทั้งแบบธรรมดาและแบบออร์แกนิคว่าแตกต่างกับของประเทศเพื่อนบ้านของเราอย่างไร ได้รับคำตอบจาก นายวรวิทย์ หมื่นทอง ผู้อำนวยการกองมาตรฐานสินค้านำเข้า ส่งออก ตอบว่า “ข้าวหอมมะลิของประเทศไทยเวลาหุงเสร็จแล้วจะหอมและเม็ดสวยกว่าของประเทศอื่นๆ”

@นอกจากกิจกรรมสาธิตการทำอาหารแล้ว ยังมีกิจกรรมสนุกๆในเรื่องการตอบคำถามให้ทุกคนได้เข้าร่วม เป็นที่สนุกสนานเพลิดเพลิน และมีรางวัลมอบให้ด้วย นอกจากนี้ยังมีการจัดกิจกรรมมอบเครื่องหมายรับรองข้าวหอมมะลิไทย (ตราเขียว) ให้กับร้านอาหารไทยที่ได้รับตรา Thai SELECT ที่ขออนุญาตใช้เครื่องหมายดังกล่าว เพื่อเป็นการส่งเสริมและประชาสัมพันธ์เครื่องหมายรับรองข้าวหอมมะลิไทย รวมถึงกระตุ้นการบริโภคข้าวหอมมะลิไทยควบคู่กับอาหารไทยในตลาดต่างประเทศอีกด้วย

@นายนิวัฒน์ หาญสวัสดิ์ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณนครลอสแอนเจลิส ได้กล่าวเสริมว่า ปรกติแล้วข้าวหอมมะลิออร์แกนิคของประเทศไทยมีขายอยู่แล้วในตลาดระดับที่คนดูแลรักษาสุขภาพเป็นลูกค้าหลักอย่างเช่นWhole food และ Erewhon แต่ยังไม่เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง การที่กรมการค้าต่างประเทศ ได้นำทีมออกมาโปรโมทในตลาดใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกา จะทำให้ข้าวหอมมะลิออร์แกนิคของไทยเป็นที่รู้จักแพร่หลายยิ่งขึ้น และจะเป็นการต่อยอดเพิ่มมูลค่าให้กับร้านอาหารไทยที่ได้รับตรารับรองมาตรฐาน Thai SELECT จากกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ( DITP) และหากได้รับตรารับรองข้าวหอมมะลิไทย (ตราเขียว)จากกรมการค้าต่างประเทศ(DFT) คู่กันอีกหนึ่งอย่าง จะเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้บริโภคที่เป็นลูกค้าที่ใส่ใจเรื่องสุขภาพได้มากยิ่งขึ้น รวมทั้งเป็นการส่งเสริมการทานข้าวหอมมะลิไทยกับอาหารไทยในต่างแดน ควบคู่กันไปด้วย

@นอกจากการจัดกิจกรรมโปรโมทข้าวหอมมะลิออร์แกนิคไทยในงาน “Healthy Life by Thai Organic Rice” แล้ว อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ และคณะ ร่วมกับสำนักงานไทยเทรดแอลเอ ได้ไปร่วมออกบูทโปรโมทข้าวหอมมะลิออร์แกนิคไทยในงานแสดงสินค้า Natural Products Expo West (NPEW) 2025 ที่เมือง Anaheim รัฐแคลิฟอร์เนีย ระหว่างวันที่ 4 – 7 มีนาคม 2568โดยก่อนหน้านี้ กรมการค้าต่างประเทศได้พาผู้ประกอบการที่เป็นวิสาหกิจชุมชนและ SMEs รวมกว่า 10 ราย เข้าร่วมงานแสดงสินค้า BIOFACH 2025 ณ เมือง Nuremberg สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี เมื่อวันที่ 11 – 14 กุมภาพันธ์ 2568 ซึ่งทั้งสองงานถือได้ว่าเป็นงานแสดงสินค้าเกษตรอินทรีย์นานาชาติชั้นนำที่มีการรวบรวม ผู้จัดแสดงสินค้าและผู้เข้าชมจากทุกภาคส่วนของอุตสาหกรรมเกษตรอินทรีย์ทั่วโลก เพื่อเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ที่ดีของข้าวไทยให้เป็นที่รู้จักแพร่หลายในวงกว้างมากขึ้น และช่วยสร้างเครือข่ายการค้าให้ธุรกิจ SMEs สามารถเข้าถึงและขยายตลาดใหม่ๆ ในต่างประเทศได้ด้วยตนเอง

@“การเข้าร่วมงานแสดงสินค้าสำคัญระดับโลกทั้งสองงานดังกล่าวจะเป็นโอกาสสำคัญในการเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของข้าวอินทรีย์ไทยในเวทีโลก และสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ในการเชื่อมโยงผู้ประกอบการข้าวอินทรีย์รายเล็กของไทยกับคู่ค้าในตลาดต่างประเทศโดยเฉพาะในตลาดที่มีความต้องการสินค้าธรรมชาติและปลอดสารเคมีซึ่งเป็นการดำเนินการที่สำคัญสอดคล้องกับนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายพิชัย นริพทะพันธุ์)” นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศกล่าว พร้อมให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ทั้งตลาดสหรัฐฯ และยุโรป มีบทบาทสำคัญในการเป็นผู้นำและศูนย์กลางการบริโภคสินค้าเกษตรอินทรีย์ รวมถึงข้าวอินทรีย์ของโลก ซึ่งมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง สำหรับสถิติการส่งออกข้าวอินทรีย์ของไทยในปี 2567 (ม.ค. – พ.ย.) ไทยส่งออกข้าวอินทรีย์ ปริมาณ 20,104 ตัน มูลค่า 979 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 ที่มีปริมาณส่งออก 15,870 ตัน มูลค่า 760 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 26.68 และ 28.82 ตามลำดับ โดยตลาดส่งออกหลักเป็นกลุ่มประเทศที่มีรายได้สูงที่ผู้บริโภคใส่ใจในสุขภาพและให้ความสำคัญกับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น สหรัฐฯ อิตาลี สวิตเซอร์แลนด์ เนเธอร์แลนด์ เบลเยียม และเยอรมนี เป็นต้น


ด่วน! คณะกรรมการเสนอแนะการลงโทษ มีมติไล่ออก "บิ๊กโจ๊ก" งดบำเหน็จบำนาญ

7 มี.ค. 2568 : ด่วน! คณะกรรมการเสนอแนะการลงโทษ มีมติเอกฉันท์ไล่ “บิ๊กโจ๊ก” ออกจากราชการ งดบำเหน็จบำนาญ ชงเสนอ ผบ.ตร.ลงนาม

เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 7 มี.ค.68 ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีรายงานว่า พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง รอง ผบ.ตร.อาวุโสสูงสุด เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการเสนอแนะการลงโทษที่มีรองผบ.ตร.ทุกคน เป็นกรรมการ เพื่อพิจารณาโทษวินัยร้ายแรงของ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล อดีตรอง ผบ.ตร. โดย พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ไม่ได้เข้าร่วมประชุม

มีรายงานว่าที่ประชุมมติเอกฉันท์ไล่ออก พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ก่อนเสนอ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร.เพื่อพิจารณาลงนามคำสั่งต่อไป

ผู้สื่อข่าวรายงานต่อว่า ตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2565 มาตรา 125 บัญญัติไว้ว่าข้าราชการตำรวจที่กระทำผิดวินัยร้ายแรงเมื่อผู้มีอำนาจในที่นี้คือ ผบ.ตร.จะสั่งลงโทษทางวินัยร้ายแรง ซึ่งมี 2 สถานคือ ปลดออก ไล่ออก และคณะกรรมการเสนอแนะการลงโทษ เสนองดบำเหน็จบำนาญด้วย

ทั้งนี้ ตามขั้นตอน ผบ.ตร.จะสั่งเลยไม่ได้ จะต้องตั้งคณะกรรมการ เพื่อเสนอแนะว่าต้องลงโทษสถานใด ซึ่งคณะกรรมการดังกล่าวประกอบด้วยรองผบ.ตร.ทั้งหมด ประกอบด้วย พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง, พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์, พล.ต.อ.ประจวบ วงศ์สุข, พล.ต.อ.นิรันดร เหลื่อมศรี, พล.ต.อ.กรไชย คล้ายคลึง ร่วมกันพิจารณาความผิดวินัยร้ายแรงในเรื่องดังกล่าวว่าควรจะลงโทษในสถานใด ระหว่างปลดออก ไล่ออก เมื่อพิจารณาแล้วได้ความว่าอย่างไรจะต้องเสนอแนะ ผบ.ตร.ในฐานะผู้มีคำสั่งแต่งตั้ง จากนั้น ผบ.ตร.จะต้องออกคำสั่งตามที่คณะกรรมการพิจารณาได้เสนอแนะไป

อนึ่ง พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ สามารถอุทธรณ์คำสั่ง ต่อคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ (ก.พ.ค.ตร.) ได้ หาก ก.พ.ค.ตร.ยืนตามคณะกรรมการวินัย พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ ยังสามารถใช้สิทธิฟ้องต่อศาลปกครองสูงสุดต่อไป ซึ่งหากศาลปกครองสูงสุดยืนตาม ก.พ.ค.ตร. ก็จะทำให้คดีวินัยถึงที่สุดก็จะเข้าสู่ขั้นตอนของการพิจารณาถอดยศตำรวจต่อไป

ด้าน พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ กล่าวว่า ยังไม่ทราบเรื่อง ต้องรอให้คณะกรรมการชุดนี้ส่งผลมาให้ก่อน จากนั้นตนจะร้องคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ (ก.พ.ค.ตร.) ต่อไป...


ทูตจีนย้ำ สหรัฐฯ-รัสเซีย เจรจาสันติภาพโดยไม่มี ยูเครน-สหภาพยุโรปไม่ได้

ทูตพิเศษของจีนย้ำว่า การเจรจาสันติภาพในยูเครนควรให้ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายมีส่วนร่วม ไม่ใช่แค่สหรัฐฯ กับรัสเซียคุยกันเอง

เมื่อวันที่ 5 มี.ค. 2568 นายหลู่ ซาเหย่ ทูตพิเศษฝ่ายกิจการยุโรปของประเทศจีน กล่าวว่า เขารู้สึกตกใจกับวิธีที่โดนัลด์ ทรัมป์ ปฏิบัติต่อพันธมิตรของสหรัฐอเมริกาในยุโรป พร้อมเสริมว่า ข้อตกลงสันติภาพในยูเครนไม่ควรถูกกำหนดโดยแค่สหรัฐฯ กับรัสเซียเท่านั้น

“เมื่อคุณดูวิธีที่รัฐบาลทรัมป์บังคับใช้นโยบายครอบงำอย่างน่าไม่อายต่อยุโรป ปฏิบัติต่อพันธมิตรของพวกเขาแบบนี้ พูดตามตรง จากมุมมองของยุโรป นี่เป็นเรื่องที่ค่อนข้างน่าตกใจ” นายหลู่กล่าว

“ผมเชื่อว่าเหล่าสหายในยุโรปควรไตร่ตรองเรื่องนี้ และเปรียบเทียบนโยบายของรัฐบาลทรัมป์กับนโยบายของรัฐบาลจีน และเมื่อทำแบบนั้น พวกเขาก็จะเห็นว่าแนวทางทางการทูตของจีนนั้นเน้นย้ำเรื่องสันติภาพ, มิตรภาพ, ความปรารถนาดี และความร่วมมือโดยชนะทั้งสองฝ่าย”

ทั้งนี้ นายหลู่แสดงความเห็นดังกล่าวนอกรอบการประชุมคณะกรรมการร่วมกับนักการทูตอาวุโสคนอื่นๆ ระหว่างการประชุมประจำปีของสภาที่ปรึกษาการเมืองประชาชนจีน “CPPCC”

นายหลู่แสดงการยอมรับที่สหรัฐฯ กับรัสเซียโดยมีเป้าหมายเพื่อแก้ไขวิกฤติ แต่ย้ำว่า กระบวนการสันติภาพใดๆ ได้รับการยอมรับและให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องมีส่วนร่วม รวมถึงชาติยุโรปด้วย “ข้อเสนอแก้ปัญหาต่างๆ ควรเกิดขึ้นด้วยการหารืออย่างเท่าเทียม ไม่ใช่การคุยกันระหว่างผู้ที่ถูกเลือกเพียงไม่กี่ฝ่าย”

“มันไม่ควรถูกตัดสินโดยแค่สหรัฐฯ กับรัสเซีย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อยุโรปแสดงความกังวลอย่างมีนัยสำคัญ ด้วยความรู้สึกว่า ทิศทางทางการทูตเช่นนี้ ละเลยจุดยืนของพวกเขา”

อนึ่ง ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับยุโรปย่ำแย่ลง นับตั้งแต่สงครามในยูเครนปะทุขึ้นเมื่อ 3 ปีก่อน เนื่องจากฝ่ายยุโรปกังวลเรื่องความใกล้ชิดระหว่างปักกิ่งกับมอสโก และการผลิตสินค้ามากจนล้นตลาดของจีน แต่ความสั่นคลอนในความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับยุโรป นับตั้งแต่นายทรัมป์กลับมาเป็นประธานาธิบดี อาจเปิดช่องให้จีนฟื้นสัมพันธ์กับยุโรป

อย่างไรก็ตาม นายหลู่ยืนยันว่า จีนไม่ได้คิดจะฉวยโอกาสนี้เพื่อประโยชน์ของตัวเองหรือสร้างรอยร้าวระหว่างประเทศอื่นๆ พร้อมระบุว่า ความสัมพันธ์ต่างประเทศของจีนไม่ได้พึ่งพาการดึงพันธมิตรของสหรัฐฯ ให้ออกห่างจากรัฐบาลวอชิงตัน แต่เป็นการบ่มเพาะความเป็นหุ้นส่วนอย่างแท้จริงบนพื้นฐานของการมีผลประโยชน์ร่วมกัน

ที่มา : yahoo

ยานสเปซเอ็กซ์ระเบิดกลางเวหา

ระทึกผู้ชม! ยานสตาร์ชิปของสเปซเอ็กซ์ ระเบิดกลางท้องฟ้า หลังยิงขึ้นจากฐานที่รัฐเทกซัส ได้ไม่กี่นาที

เมื่อวันที่ 7 มี.ค.68 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า “สตาร์ชิป” ยานอวกาศของบริษัทสเปซเอ็กซ์ของนายอีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีอันดับ 1 ของโลก ชาวสหรัฐฯ ได้ระเบิดกลางอากาศ หลังถูกปล่อยขึ้นจากฐานปล่อยจรวดของสเปซเอ็กซ์ได้ไม่กี่นาที ที่เมืองโบกาชิกา รัฐเทกซัส ประเทศสหรั,ฯ เมื่อเวลาประมาณ 18.30 น. ของวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ตามวันเวลาท้องถิ่น หรือตรงกับเวลา 06.30 น. ของวันศุกร์ ตามวันเวลาในไทย

รายงานข่าวแจ้งว่า ถือเป็นความล้มเหลวในการทดสอบปล่อยยานสตาร์ชิปลำที่ 8 ครั้งนี้ มีขึ้นหลังจากเมื่อช่วง 1 เดือนเศษก่อนหน้า ทางสเปซเอ็กซ์สูญเสียยานสตาร์ชิปลำที่ 7 จากการทดสอบการปล่อยที่ล้มเหลว

โดยเหล่าบรรดาผู้ชม เปิดเผยว่า ยานที่ระเบิดออกมาเหมือนกับการจุดพลุบนท้องฟ้า

ยานอวกาศสตาร์ชิป ของบริษัทสเปซเอ็กซ์ เกิดการขัดข้องและระเบิดในอวกาศ ไม่กี่นาทีหลังจากทะยานขึ้นจากฐานปล่อยในรัฐเท็กซัส โดยพบเศษซากกระจายเป็นทางยาวบนท้องฟ้าเหนือทะเลแคริบเบียน ส่งผลให้ความพยายามในการส่งดาวเทียมจำลอง ประสบความล้มเหลวเป็นครั้งที่สองติดต่อกันในปีนี้ สำหรับโครงการส่งจรวดไปดาวอังคารของนายอีลอน มัสก์

คลิปวิดีโอที่เผยแหร่บนโซเชียลมีเดีย แสดงให้เห็นเศษซากยานอวกาศลุกโชนบนท้องฟ้ายามพลบค่ำใกล้รัฐฟลอริดาและหมู่เกาะบาฮามาส หลังจากที่ยานอวกาศสตาร์ชิปเกิดการระเบิดในอวกาศ ซึ่งเกิดขึ้นไม่นานหลังจากที่ยานเริ่มหมุนอย่างควบคุมไม่ได้ หลังจากสเปซเอ็กซ์ขาดการติดต่อกับยาน ในระหว่างการถ่ายทอดสดภารกิจดังกล่าว

ความล้มเหลวดังกล่าวเกิดขึ้นเพียงหนึ่งเดือนเศษหลังจากยานอวกาศสตาร์ชิปลำที่ 7 ของสเปซเอ็กซ์ ต้องเผชิญความล้มเหลวจากเหตุระเบิดเช่นกัน อุบัติเหตุสองเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในช่วงแรกของภารกิจ ซึ่งสเปซเอ็กซ์เคยประสบความสำเร็จได้อย่างง่ายดาย

ระบบจรวดขนาด 123 เมตร ถูกปล่อยขึ้นเมื่อเวลาประมาณ 18.30 น. วานนี้ (6 มี.ค.) ตามเวลาท้องถิ่น จากฐานปล่อยจรวดโบกาชิกา รัฐเท็กซัส ของสเปซเอ็กซ์ อย่างไรก็ตาม ยานบูสเตอร์ "ซูเปอร์เฮฟวี" ซึ่งเป็นจรวดเสริมขั้นที่ 1 รุ่น สามารถกลับมาลงจอดได้ตามแผนเดิม

แต่ไม่กี่นาทีต่อมา การถ่ายทอดสดของสเปซเอ็กซ์ เผยให้เห็นท่อนบนของยานสตาร์ชิป เกิดหมุนอย่างควบคุมไม่ได้ในอวกาศ ขณะที่ภาพเครื่องยนต์ของจรวดก็แสดงให้เห็นเครื่องยนต์หลายเครื่องดับลง ก่อนที่บริษัทจะยืนยันว่าขาดการติดต่อกับยานอวกาศ

ยังไม่แน่ชัดว่าการระเบิดดังกล่าวเกิดจากระบบหยุดการบินอัตโนมัติของสเปซเอ็กซ์หรือไม่ ซึ่งจะทำงานเมื่อมีเกิดความผิดปกติบางอย่างบนยานอวกาศ ซึ่งแสดงสัญญาณของความล้มเหลวก่อนที่จะเกิดการระเบิด

สำนักงานการบินแห่งชาติสหรัฐฯ ได้ออกคำสั่งระงับการบินที่สนามบินไมอามี, ฟอร์ตลอเดอร์เดล, ปาล์มบีช และออร์แลนโด เนื่องจากพบ "เศษซากจากการปล่อยยานอวกาศ" จนถึงอย่างน้อย 20.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น

สเปซเอ็กซ์ระบุในแถลงการณ์ว่า "ระหว่างที่ยานอวกาศกำลังขึ้นสู่อวกาศ ยานอวกาศได้เกิดไฟไหม้และขาดการติดต่ออย่างรวดเร็ว ทีมของเราได้เริ่มประสานงานกับเจ้าหน้าที่ด้านความปลอดภัยทันทีเพื่อดำเนินการตอบสนองฉุกเฉินที่วางแผนไว้ล่วงหน้า"

ยานอวกาศสตาร์ชิป เคยประสบเหตุขัดข้องเมื่อเดือนมกราคม หลังจากทะยานขึ้นเพียง 8 นาที โดยจรวดได้เกิดการระเบิดในอวกาศ ส่งผลให้เศษซากต่างๆ ตกลงมาเหนือหมู่เกาะในทะเลแคริบเบียน และทำให้รถยนต์ในหมู่เกาะเติกส์และเคคอส ได้รับความเสียหายเล็กน้อย.

ที่มา Reuters