ข่าว
เอลนีโญ นำทัพปูแดง บุกหาดแคลิฟอร์เนีย

นักท่องเที่ยวที่ตั้งใจมาพักผ่อนหย่อนใจในวันอาทิตย์สบายๆ ที่หาดสแตรนด์ ซอล์ท ครีก ซาน คลีเมนเต้ เซาท์ ลากูนา นิวพอร์ท บีช และ ฮันติงตั้น ในรัฐแคลิฟอร์เนีย เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ต้องเผชิญกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด เมื่อเห็นฝูงปูประหลาดสีแดง เกลื่อนหาดเหล่านี้เต็มไปหมด ราวกับมีผู้เตรียมพรมแดงไว้รับดาราดังของฮอลลีวู้ด

นักท่องเที่ยวรายหนึ่งเล่าว่า ปูพวกนี้บางตัวยังไม่ตาย มีหลายตัวที่พยายามว่ายกระเสือกกระสนขึ้นมาจากทะเล เมื่อเข้ามาใกล้ชายหาดก็หมดแรงและว่ายไปที่อื่นต่อไม่ได้ ทิ้งชะตาไว้กับกระแสคลื่นที่จะซัดพวกมันขึ้นมาบนฝั่งนอนรอความตาย เพราะขาดอากาศหายใจเท่านั้น ก่อนหน้านี้ก็มีรายงานการพบฝูงปูประหลาดชนิดนี้ ถูกซัดขึ้นเกยฝั่งชายหาดซานดิเอโก เคานท์ตี และออเรนจ์ เคานท์ตี ในรัฐแคลิฟอร์เนียมาแล้ว

ปูเหล่านี้มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Pleuroncodes planipes และมีชื่อสามัญว่า ปูทูน่า หรือ ปูแดง มีขนาดลำตัวยาวระหว่าง 1-3 นิ้ว รูปร่างคล้ายกุ้งหรือกั้งมากกว่าปู มีก้ามยาว แต่ไม่เป็นพิษเป็นภัยต่อคน มีรายงานการพบเห็นเป็นประจำในช่วงเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ ที่เกาะบัลโบ รัฐแคลิฟอร์เนีย โดยมีถิ่นอาศัยหลักอยู่บริเวณนอกชายฝั่งเมืองบาฮา ในรัฐเดียวกันนี้

ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ก็มีรายงานการพบสัตว์หน้าตาประหลาด อย่าง "บาย เดอะ วินด์ เซลเลอร์" หรือสัตว์คล้ายแมงกะพรุน ถูกซัดมายังชายฝั่งรัฐแคลิฟอร์เนียเป็นจำนวนมาก เช่นเดียวกับการพบเห็นปลาทูน่าหางเหลือง และทูน่าครีบน้ำเงิน เข้ามาในบริเวณชายฝั่งแคลิฟอร์เนียเร็วกว่าฤดูกาลที่ควรจะเป็น

นักวิทยาศาสตร์ตั้งสันนิษฐานว่า จำเลยของคดีที่ทำให้ปูและสัตว์คล้ายแมงกะพรุนถูกซัดเข้าชายฝั่งครั้งนี้ คือ ปรากฏการณ์ "เอลนีโญ" ที่ทำให้กระแสน้ำอุ่นเคลื่อนตัวเข้าสู่ชายฝั่งแคลิฟอร์เนีย ส่งผลให้น้ำทะเลในบริเวณมีอุณหภูมิสูงขึ้น ยิ่งเมื่อตรวจสอบด้วยภาพอินฟราเรดแสดงอุณหภูมิน้ำทะเลแล้วจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า มีจุดร้อนของน้ำทะเลชายฝั่งแคลิฟอร์เนียเกิดขึ้นเป็นด่างเป็นดวงเต็มไปหมด

นายเจสัน ยัง หัวหน้าไลฟ์การ์ด ชายฝั่งเมืองออเรนจ์ เคานท์ตี เล่าว่า ปรากฏการณ์เช่นนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วเมื่อครั้งเกิดปรากฏการณ์เอลนีโญ เมื่อปี 2540 เมื่อน้ำทะเลอุ่นขึ้นและมีปูประหลาดสีแดงลอยตายเกยชายฝั่งออเรนจ์ เคานท์ตี เต็มไปหมด ราวกับมีพรมแดงมาปูลาดไว้

แม้จะเจอเรื่องประหลาดที่ไม่คาดคิด เหล่านักท่องเที่ยวชายหาดในช่วงวันหยุดก็ไม่รู้สึกกลัว แต่กลับรู้สึกสนุก เพราะได้ถ่ายรูปคู่กับปูประหลาดที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน

แต่สำหรับนักวิทยาศาสตร์และนักสิ่งแวดล้อมแล้ว ปรากฏการณ์เช่นนี้ เป็นสัญญาณเตือนถึงภัยจากปรากฏการณ์ธรรมชาติที่บ่งบอกถึงสิ่งเลวร้ายที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้เป็นอย่างดี

"ชูวิทย์"สอนมวย"ผบ.ตร." จะเร่งเปิด"บ่อน"ไปไหน!

สืบเนื่องจาก พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร. กล่าวถึงกรณีที่สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) กลุ่มรักชาติ เสนอให้รัฐบาลเปิดบ่อนกาสิโนเสรีว่า เรื่องนี้ตนเห็นด้วย และพูดมาตั้งนานแล้วว่าควรจะมีบ่อนกาสิโนถูกต้องตามกฎหมายเสียที เพราะถึงเวลาที่คนไทยต้องยอมรับความจริงแล้วว่า อย่างไรเสียประเทศไทยก็ต้องมีบ่อน พร้อมวลีเด็ดที่ว่า "มันหนีไม่พ้นอยู่แล้ว เชื่อเถิดว่าการพนันอยู่ในสายเลือดของคนไทยอยู่แล้ว เพียงแต่เราจะบริหารจัดการอย่างไร ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด เพราะในเมื่อคนมันจะเล่น ก็จัดพื้นที่ให้เล่นแบบถูกกฎหมายไปเลย"

ล่าสุด เมื่อวันที่ 18 มิ.ย. นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตผู้สมัคร ผู้ว่าฯ กทม. ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวถึงกรณีข้างต้น โดยระบุ

ผบ.ตร. หนุนเปิดบ่อนเสรี

ยัน ไม่กลัวกลุ่มต้าน เพราะ "ไม่ใช่พ่อ"

โถ...ยุคนี้ต่อให้เป็นพ่อก็ทำอะไรไม่ได้ "ต้องทหารเท่านั้น"

อย่าเอาไทยไปเปรียบเทียบ "สิงคโปร์-สวิสเซอร์แลนด์" เลย

ความซื่อสัตย์ โปร่งใส ของเราห่างชั้นกับเขาเยอะ

โดยเฉพาะ "ตำรวจ"

อยากเปิดบ่อนก็เรื่องของท่านเถอะ

แต่เป็น "ผบ.ตร" ยังต้องปฏิบัติตามกฎหมาย

จะรีบร้อนลุกลนไปทำไม?

ตุลาฯ นี้ก็เกษียณพ้นตำแหน่งแล้ว

มีเวลาเข้าบ่อน ไปตลอดชีวิต


"สมยศ"หนุนกาสิโนในไทย วลีเด็ด"เอ็นจีโอ...ไม่ใช่พ่อ"

"ผบ.ตร." ประกาศเสียงดังฟังชัด ผลักดันเปิดบ่อนเสรีในเมืองไทย เสนอตัวเป็นแม่งาน ไม่สนเสียงต้าน "เอ็นจีโอ" ปล่อยวลีเด็ด "เอ็นจีโอ..ไม่ใช่พ่อ" เชื่อดึงเงินเข้ารัฐได้อื้อ

วันที่ 17 มิ.ย. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร.กล่าวถึงกรณีที่สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) กลุ่มรักชาติ เสนอให้รัฐบาลเปิดบ่อนกาสิโนเสรีว่า เรื่องนี้ตนเห็นด้วย และพูดมาตั้งนานแล้วว่าควรจะมีบ่อนกาสิโนถูกต้องตามกฎหมายเสียที เพราะถึงเวลาที่คนไทยต้องยอมรับความจริงแล้วว่า อย่างไรเสียประเทศไทยก็ต้องมีบ่อน "มันหนีไม่พ้นอยู่แล้ว เชื่อเถิดว่าการพนันอยู่ในสายเลือดของคนไทยอยู่แล้ว เพียงแต่เราจะบริหารจัดการอย่างไร ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด เพราะในเมื่อคนมันจะเล่น ก็จัดพื้นที่ให้เล่นแบบถูกกฎหมายไปเลย" ผบ.ตร. กล่าว

พล.ต.อ.สมยศ กล่าวว่า อยากให้ดูประเทศสิงคโปร์ หรือประเทศแถบยุโรป โดยเฉพาะสวิสเซอร์แลนด์เป็นตัวอย่าง ประเทศเหล่านั้น มีสภาพภูมิศาสตร์ติดต่อประเทศเพื่อนบ้านคล้ายบ้านเรา โดยก่อนหน้านี้สวิสเซอร์แลนด์ก็คัดค้านบ่อนเสรี แต่สุดท้ายเวลาผ่านไป 20 ปี ก็ได้รับเสียงสนับสนุนจากประชาชนผ่านการทำประชามติกว่า 30 ครั้งให้เปิดบ่อนอยู่ใจกลางประเทศ ดังนั้นอยากฝากไปถึงผู้ที่เข้ามาทำเรื่องนี้ว่าควรไปถามประชาชนว่า ประเทศของเราควรมีบ่อนการพนันเสรีหรือยัง

"ผมไปศึกษาดูงานมาทั่วโลก และได้เข้าบ่อนหลายแห่ง ผมเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนี้ จนมีแนวคิดให้เปิดบ่อนเสรีในเมืองไทย เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้เงินหมุนเวียนอยู่ในประเทศ เพราะที่ผ่านมา คนไทยนำเงินไปเล่นพนันนอกประเทศจนเม็ดเงินหลุดออกไปมหาศาล เช่น กัมพูชาและมาเก๊า ทั้งที่ควรนำเงินรายได้เหล่านั้นมาพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และระบบการศึกษาในประเทศได้ด้วย นอกจากนี้ประเทศไทยยังมีปัจจัยเกื้อหนุนที่ได้เปรียบประเทศอื่น ๆ ทั้งเรื่องอาหารการกิน สถานที่ท่องเที่ยว สถานบันเทิงรวมทั้งแหล่งช๊อปปิ้งต่าง ๆ จึงควรสร้างได้แล้ว ผมแนะนำให้สร้างที่ จ.ภูเก็ต เชียงใหม่ อุบลราชธานี และเกาะล้าน ต้องกำหนดด้วยว่าห้ามคนในพื้นที่เล่นการพนันในเขตพื้นที่ของตัวเอง ต้องข้ามพื้นที่ไปเล่นต่างจังหวัดเพื่อเป็นการคัดกรองผู้มีรายได้สูงให้เข้าบ่อนนำรายได้เข้ารัฐ อย่ามัวแต่ห่วงเรื่องศักดิ์ศรีว่าเราเป็นเมืองพุทธ ให้คิดถึงเรื่องเศรษฐกิจปากท้องเป็นหลัก เพราะเงินไปต่างประเทศหมดแล้ว" ผบ.ตร. กล่าว

พล.ต.อ.สมยศ กล่าวอีกว่า ต้องยอมรับว่าตอนไม่มีบ่อนเสรี คนจะเล่น มันก็เล่น แต่พอมีบ่อนถูกกฎหมายแล้ว พวกเขาก็ยังแอบไปเล่นในบ่อนกระจอก ๆ อยู่ดี แต่เมื่อมีบ่อนเสรี รัฐจะมีรายได้เพิ่มขึ้นจากคนที่มีศักยภาพพอที่จะจ่าย ส่วนปัญหาอาชญากรรมนั้น แก้ได้ด้วยการจัดระบบให้มีประสิทธิภาพ มีการเก็บประวัติ คิดค่าใช้บริการ แสดงบัตรประชาชน หรือถ่ายภาพเก็บไว้ จึงอยากถามคนไทยว่าอยากให้มีบ่อนเสรีหรือไม่ เรื่องนี้หากจะทำจริง ๆ ให้ตั้งตนเป็นคณะทำงานได้เลย ตนจะแนะนำให้ว่าควรทำอย่างไร และพร้อมชี้แจงได้ทุกประเด็น

"ผมตั้งใจไว้แล้วว่าจะพูดเรื่องนี้ 1 เดือนก่อนเกษียณอายุราชการ ว่าผมคือ ผบ.ตร.คนแรกที่กล้าพูดว่า เมืองไทยควรมีบ่อนการพนันเสียที อย่าห่วงศักดิ์ศรีว่าเป็นเมืองพุทธอยู่เลย ห่วงเรื่องท้องนี่ เงินออกไปกัมพูชา และมาเก๊าเท่าไหร่แล้ว แม้แต่ประเทศที่ประชาชนเป็นชาวมุสลิม ยังมีบ่อนกาสิโนเปิดอยู่ทั่วประเทศ แม้กระทั่งในโรงแรม ผมเชื่อว่าวิธีคิดของผมสุดยอด หากรัฐบาลไม่ทำประชามติในเรื่องนี้ ผมจะเปิดเว็บไซต์ขึ้นมาเองชื่อว่า 'สมยศ ฟอร์ กาสิโน' เพื่อถามความคิดเห็นประชาชนเลยว่าควรเปิดหรือไม่ แต่ถ้ารัฐบาลจะทำก็ต้องกำหนดมาว่าจะนำรายได้ 30 เปอร์เซ็นต์ จากบ่อนกาสิโน มาใช้ในเรื่องของการศึกษา ช่วยเหลือคนจน และทะนุบำรุงโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ"

ผบ.ตร. กล่าวอีกว่า เรื่องการทำประชามตินี้ ตนไม่ได้พูดเล่น ได้สั่งการให้ พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วย ผบ.ตร. ไปดำเนินการแล้ว โดยไปศึกษาในเรื่องของระบบการเปิดให้ทำประชามติออนไลน์ว่าจะทำได้อย่างไร เบื้องต้นคิดว่าต้องให้มีการเข้ารหัสผ่านโดยใช้เลข 13 หลักของบัตรประชาชน เพื่อไม่ให้ซ้ำกันในการแสดงความเห็นหรือโหวตลงคะแนน "ยืนยันว่าถึงเวลาแล้วที่เมืองไทยต้องมี และผมก็ได้ไปพูดคุยหารือกับผู้หลักผู้ใหญ่ ว่าจะเปิดบ่อนเสรี ท่านก็ติงว่าอยากเปิดจังเลยนะ บ่อนการพนันเนี่ย แต่เพราะว่ามันสร้างปัญหาให้ผมและผู้บริหาร รวมถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ปฏิบัติงานไง คือผมต้องไปไล่กระทืบลูกน้องผม เมื่อมีการพนันเกิดขึ้น จากคนที่อยากเล่น ดังนั้นควรตั้งบ่อนให้มันเล่นกันไปเลยแบบถูกกฎหมาย หรือตั้งไว้ก่อน 3 ปี โดยประกาศว่าคนไทยห้ามเข้าไปเล่น ค่อยๆทำไปทีละขั้นตอนก็ได้"

ผู้สื่อข่าวถามว่า กลัวถูกกลุ่มเอ็นจีโอต่อต้านหรือไม่ พล.ต.อ.สมยศ ตอบว่า "ผมพูดอย่างนี้ผมกลัวหรอ เขาไม่ใช่พ่อผมนี่!! ผมพร้อมถูกโจมตีจากกลุ่มต่าง ๆ ที่จะมาต่อต้าน ผมไม่กลัวอยู่แล้ว ผมกล้าพูด เพราะคนส่วนหนึ่ง ก็คิดแบบผม ผมพูดแล้วอธิบายว่าเป็นอย่างไรทำอย่างไร พร้อมหาทางออกให้ แต่คนส่วนหนึ่งกลับไม่กล้าพูด ผมจึงขอพูดให้ประชาชนฟังและยอมรับเสียทีว่าประเทศของเราควรมีบ่อนการพนันถูกกฎหมายได้แล้ว"

ผบ.ตร. กล่าวอีกว่า วิธีจับหรือไม่ให้นักพนันพวกนี้กลับไปเล่นการพนันอีกง่ายนิดเดียว คือไม่ต้องไปสนใจว่านาย ก. นาย ข. มีรายได้เท่านั้น เสียภาษีเท่านั้น แล้วจึงค่อยให้บัตรไปเล่นการพนันในกาสิโน มันเพ้อเจ้อ เพราะถึงมีกาสิโนถูกต้องคนไทยก็ลักลอบเล่นอยู่ดี ในกรณีที่ไม่มีที่ให้เล่น อย่างเรื่องเด็กแว้นในเมื่อเด็กมันชอบเล่นนัก ทำไมถึงไม่จัดหาที่ให้เล่นไปเสียเลย เรื่องบ่อนก็เหมือนกัน ยืนยันว่าเรื่องนี้จะให้ผมไปดีเบตเวทีไหนก็ได้ ผมสู้ได้ทุกประเด็นเลย.“


"ณัฐวุฒิ" สิ้นสงสัย "บวรศักดิ์" ดูแคลนคนเหมือนบางฝ่าย

เมื่อวันที่ 19 มิ.ย. นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวถึงกรณีที่นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานกมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ ระบุถึงการต่อสู้ของคนเสื้อแดง เสื้อเหลือง หรือกปปส. เป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็งของความขัดแย้งในไทย ว่าตนเห็นด้วยในประเด็นนี้ แต่การบอกว่าไปตระเวนกินอาหารตามเวทีกลุ่มพันธมิตรฯกับกปปส. ขณะที่สรุปเอาเองว่าคนเสื้อแดงมาชุมนุมต้องใช้ค่าจ้างนั้น เป็นใบเสร็จยืนยันว่าได้เลือกข้างชัดเจนตั้งแต่ต้น

"ผมสิ้นสงสัยเรื่องนายบวรศักดิ์ เป็นเนื้อเดียวกันกับบางฝ่าย แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมคนที่นั่งหัวโต๊ะร่างรัฐธรรมนูญถึงใช้วิธีหมิ่นแคลนคนอีกกลุ่มโดยปราศจากข้อเท็จจริงเช่นนี้ ผมไม่ปฏิเสธว่าคนเสื้อแดงจำนวนไม่น้อยยากไร้ ขาดโอกาส แต่ยืนยันว่าศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์มิได้ด้อยกว่าคนกลุ่มใด เคยสบตาพวกเขาจริงๆ หรือเปล่า เคยตั้งใจฟังเรื่องราวของพวกเขาอย่างจริงจังหรือไม่

ถ้าประธานกมธ.ยกร่างฯ มีทัศนคติเช่นนี้ จะคาดหวังความเที่ยงธรรมและเป็นประชาธิปไตยในรัฐธรรมนูญได้อย่างไร ผมไม่ประสงค์จะให้เกิดความขัดแย้ง แต่อยากให้ทุกฝ่ายตระหนักว่าสถานการณ์แบบนี้ใครมีหน้าที่ทำตามโรดแม็ปก็ว่าไป ไม่มีใครไปขัดขวาง แต่ไม่ใช่นึกจะพูดอะไรก็ได้ ถ้ามีความรู้สึกก็ต้องทราบว่าคนอื่นก็มีหัวใจ" นายณัฐวุฒิกล่าว


‘พินัยกรรมชีวิต-สิทธิการตายโดยชอบ ก.ม.’

เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ศาลปกครองสูงสุด ได้มีคำพิพากษาคดีสำคัญที่ประชาชนคนไทยควรรู้เป็นอย่างยิ่ง เพราะเป็นเรื่องสิทธิในชีวิตและร่างกายของทุกคน

คดีดังกล่าว เป็นคดีที่กลุ่มแพทย์กลุ่มหนึ่ง นำโดย นพ. ฐาปนวงศ์ ตั้งอุไรวรรณ เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในขณะนั้น และ นายวิทยา บุรณศิริ รมว.สาธารณสุข ในขณะนั้น เป็นจำเลย ต่อศาลปกครองสูงสุด ขอให้ศาลพิพากษาให้ยกเลิกกฎกระทรวงที่ออกตามมาตรา 12 วรรคสอง ของ พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2550 ที่ว่าด้วยการให้สิทธิการตายกับผู้ป่วย หรือการขอละเว้นการรักษาในช่วงวาระสุดท้ายของชีวิต

ทั้งนี้ สาเหตุที่แพทย์กลุ่มดังกล่าวยื่นฟ้อง เพราะเห็นว่า กฎกระทรวงที่ให้สิทธิกับผู้ป่วยในการปฏิเสธการรักษาของแพทย์ในช่วงวาระสุดท้ายของชีวิตนั้น เป็นการขัดต่อจรรยาบรรณของแพทย์ ที่ห้ามแพทย์หยุดการรักษาผู้ป่วย

สำหรับ มาตรา 12 ของ พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2550 บัญญัติว่า บุคคลมีสิทธิทำหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขที่เป็นไปเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิตตน หรือเพื่อยุติการทรมานจากการเจ็บป่วยได้

วรรคสอง บัญญัติว่า การดำเนินการตามหนังสือเพื่อแสดงเจตนาตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง

วรรคสาม บัญญัติว่า เมื่อผู้ประกอบวิชาชีพด้านสาธารณสุขได้ปฏิบัติตามเจตนาของบุคคลตามวรรคหนึ่งแล้ว มิให้ถือว่าการกระทำนั้นเป็นความผิดและให้พ้นจากความรับผิดทั้งปวง

แต่ศาลปกครองสูงสุดพิพากษา "ยกฟ้อง" โดยประเด็นสำคัญในคำพิพากษา คือ ศาลเห็นว่า 1.กระบวนการร่างกฎหมายเป็นไปตามขั้นตอนครบถ้วน 2.มีการรับฟังความคิดเห็นจากสภาวิชาชีพและองค์กรต่างๆ 3.สอดคล้องตามมาตรา 38 ของรัฐธรรมนูญปี 50 ที่ว่าด้วยสิทธิและเสรีภาพและประกาศสิทธิผู้ป่วยของแพทยสภา รวมทั้งข้อตกลงระหว่างประเทศของแพทยสมาคมโลก 4.การทำหนังสือแสดงเจตนาปฏิเสธการรักษาพยาบาลนั้น เป็นการแสดงสิทธิในชีวิตและร่างกาย โดยเป็นการยื่นความประสงค์ไว้ล่วงหน้าเพื่อประกาศให้สาธารณชนทราบความประสงค์ของตนว่าจะใช้สิทธิเช่นใด จึงไม่ขัดต่อศีลธรรมอันดีและความสงบเรียบร้อยของประชาชน

นั่นเท่ากับว่า คำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด ได้รับรองว่า กฎกระทรวงว่าด้วยการให้สิทธิการตายกับผู้ป่วยที่จะปฏิเสธการรักษาจากแพทย์ในช่วงระยะสุดท้าย ชอบแล้ว

สิทธินี้มีมาตั้งแต่ ปี 2550 แล้ว แต่ผ่านมา 8 ปี ปรากฏว่าคนไทยใช้สิทธินี้ไม่ถึง 1 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากไม่รู้ถึงสิทธิดังกล่าว

แต่ต้องเข้าใจให้ถูกต้องด้วยว่า 1.การที่บุคคลแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับการรักษาซึ่งมีผลทำให้แพทย์ต้องเคารพการตัดสินใจดังกล่าวนั้น ไม่ใช่สิทธิเลือกที่จะไม่มีชีวิตอยู่ แต่เป็นสิทธิในการเลือกที่จะปฏิเสธการรักษาพยาบาลเพื่อที่จะได้ตายตามธรรมชาติ 2.แพทย์ไม่มีหน้าที่ทำให้ผู้ทำหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับการรักษา ถึงแก่ความตาย เพราะหากทำจะมีความผิดตามกฎหมายฐานฆ่าคนตายโดยเจตนา จะเห็นได้ว่ากรณีสิทธิการตายของผู้ป่วยในวาระสุดท้ายของชีวิต ไม่ใช่การการุณยฆาต หรือปรานีฆาต ที่ภาษาอังกฤษ เรียกว่า “euthanasia” หรือ “mercy killing” ที่สามารถทำให้บุคคลตายโดยเจตนาด้วยวิธีการที่ทำให้ตายอย่างสะดวก เช่น การใช้ยาหรืออุปกรณ์ทางการแพทย์บางอย่างเพื่อยุติชีวิตผู้ป่วยเพื่อระงับความเจ็บปวดอย่างสาหัสของบุคคลนั้นหรือในกรณีที่บุคคลนั้นป่วยเป็นโรคอันไร้หนทางเยียวยา

3.ผู้ทำหนังสือแสดงเจตนา ยังคงได้รับการดูแลจากแพทย์แบบประคับประคองจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต จึงไม่ใช่การปล่อยให้ผู้ป่วยเสียชีวิตโดยงดเว้นไม่ให้การรักษา 4.หากผู้ทำหนังสือแสดงเจตนาระบุในหนังสือแสดงเจตนาให้งดเว้นการรักษาหรือใช้ยาและเครื่องมืออุปกรณ์ทางการแพทย์บางอย่างเพื่อยุติชีวิตที่ไม่ใช่วาระสุดท้าย ซึ่งเป็นการเร่งการตาย แพทย์ก็ไม่สามารถปฏิบัติตามได้ หากปฏิบัติตามหนังสือแสดงเจตนาดังกล่าว แพทย์จะใช้มาตรา 12 วรรคสอง แห่ง พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2550 มายกเว้นความผิดของตนเองไม่ได้

และในเรื่องทำหนังสือแสดงเจตนารมณ์ปฏิเสธการรักษา มีตัวอย่างให้เห็นซึ่งเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงด้วย คือ นพ.อำพล จินดาวัฒนะ เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ ได้ทำหนังสือแสดงเจตนารมณ์ปฏิเสธการรักษาพยาบาลในวาระสุดท้ายของชีวิต ลงวันที่ 1 พฤศจิกายน 2551

มีใจความว่า “ในขณะที่่เขียนหนังสือแสดงเจตนารมณ์นี้ ผมมีสติสัมปชัญญะเป็นปกติดีทุกประการ โดยมีญาติของผมเป็นพยาน ผมขอใช้สิทธิตามมาตรา 12 ของ พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2550 โดยขอยืนยันสิทธิของผมดังนี้ ในกรณีที่ผมป่วยด้วยสาเหตุใดก็ตาม จนตกอยู่ในสภาวะที่ไม่อาจรักษาให้หายกลับมามีชีวิตได้อีก และผมไม่มีสติสัมปชัญญะ ที่จะพิจารณาเกี่ยวกับแผนการรักษาของผมได้แล้ว หากหัวใจผมหยุดเต้น ผมขอไม่รับการกระตุ้นหัวใจด้วยวิธีการต่างๆ หากการหายใจผมล้มเหลวลง ผมขอไม่รับการเจาะคอหรือใช้เครื่องช่วยหายใจ ผมขอรับการรักษาเพียงเพื่อบรรเทาอาการเจ็บป่วยทุกข์ทรมาน ไม่ขอรับการรักษาหรือรับการกระทำใดที่จะยืดการตายของผมออกไปโดยไม่จำเป็น ทั้งนี้เพื่อให้ผมเสียชีวิตไปโดยธรรมชาติ”

‘นศ.ดาวดิน’รอให้จับที่เหมืองแร่เลย เผยเป็นจุดเริ่มต้นสู้ความอยุติธรรม

เมื่อวันที่ 19 มิ.ย. 7 นักศึกษาดาวดิน ที่ปฏิเสธไม่ไปรายงานตัวตามหมายเรียกของเจ้าหน้าที่ ในเหตุการณ์ชุมนุมรำลึกครบรอบ 1 ปีรัฐประหาร โพสต์เฟซบุ๊ก คำประกาศจากใจ 7 ดาวดิน ระบุว่า เหตุที่เลือกมาเมืองเลย เพราะ พวกผมรู้ตัวว่ายังไงก็จะถูกจับแน่ๆ พื้นที่แห่งนี่เป็นพื้นที่แรกที่พวกผมทั้ง 7คนได้เริ่มเรียนรู้ในเรื่องเหมืองแร่ทองคำ (เหมืองแร่เมืองเลย) หากพวกเรา 7 คน ต้องเลือกว่าจะถูกจับที่ไหน พวกเราก็เลือกจะถูกจับที่นี่ ที่ที่พวกเราเรียนรู้ ต่อสู้ร่วมกับชาวบ้าน และเป็นจุดเริ่มต้นของพวกเรา 7 คน ในการขับเคลื่อนการต่อสู้กับความอยุติธรรม ความไม่เท่าเทียมกันในสังคม แต่เพียงพวกเราเป็นเเค่ตัวเเทนของชาวบ้านในการเคลื่อนไหว เป็นกระบอกเสียงในการที่จะป่าวประกาศให้สังคมรู้ว่าที่นี่มีการกดขี่

หากพวกเราจะถูกจับเพียงเพราะการชูป้ายแล้วพูดถึงสิ่งที่ชาวบ้านถูกละเมิด พวกเราก็ยินดีจะถูกจับ ถ้าเราไม่ถูกจับ ก็ไม่มีใครได้ยินเสียงของชาวบ้าน โลกใบนี้คงลืมไปแล้วว่ายังมีชาวบ้านอีกหลายพื้นที่ที่ถูกกดขี่และเหยียบย่ำศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ โดยกฎหมายและอำนาจของรัฐบาลเผด็จการ ที่พวกเราแลกกับอิสรภาพครั้งนี้ เพื่อจะทำให้เห็นว่าสังคมไทยไร้ซึ่งสิทธิเสรีภาพไม่ว่าจะอยู่ในคุกหรือนอกคุก เราคือสามัญชนคนธรรมดาที่จะทำการเปลี่ยนแปลง โค่นล้มเผด็จการทหารและเราหวังว่าสักวันหนึ่งจะต้องมีสามัญชนที่ตระหนักว่า แค่มีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ก็พอแล้ว ที่จะออกมาประกาศว่า ประสาอะไรกับพวกสามัญชนดาวดิน ฉันก็ทำได้เหมือนกับไอ้เด็กกะเฬวกะรากพวกนี้แหละ นี้คือความจริง

เราจะไม่อ้อนวอนให้รัฐบาล คสช. มอบเสรีภาพให้เเก่เรา เราจะไม่ขอร้องพวกนายทุนสามานย์ด้วย เราจะรับประกันเสรีภาพ สิทธิมนุษยชน ประชาธิปไตย การมีส่วนร่วม ความยุติธรรม สันติวิธี ของเราด้วยตัวเราเอง

ประกาศจาก 7 ปีศาจแห่งดาวดินที่ถูกหมายจับในข้อหาชูป้ายผ้า หากพวกคุณอยากจะจับตัวพวกผม มาหาพวกผมแล้วเอาตัวไป พวกผมไม่ขัดขืนคุณแม้แต่น้อย

7 ดาวดิน

19 มิถุนายน 2558