ข่าว
ลงแพตกไอ้เข้กระฉ่อนเน็ต ททท.ห่วงความปลอดภัย

ฮือฮากระฉ่อนโซเชียล! ภาพนักท่องเที่ยวลอยแพให้อาหารไอ้เข้กลางบ่อ เผยเป็นสถานท่องท่องเที่ยวชื่อ “อาณาจักรช้างพัทยา” ในพื้นที่เชื่อมต่อเมืองพัทยา และอำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี ผอ.ททท.พัทยา ห่วงความปลอดภัย วอนหน่วยงานเกี่ยวข้องตรวจสอบ

(14 ก.ค.) ในสังคมออนไลน์ได้มีการแชร์ภาพกิจกรรมการท่องเที่ยวแนวแปลกเป็นภาพนักท่องเที่ยวนั่งอยู่บนแพกลางบ่อจระเข้ พร้อมให้อาหารจระเข้ที่อยู่ในน้ำเป็นจำนวนมาก ซึ่งสร้างความฮือฮาให้กระแสโซเชียล เน็ตเวิร์กเป็นอย่างมากอยู่ในขณะนี้

ผู้สื่อข่าวได้ทำการตรวจสอบหลังจากได้รับข้อมูลว่า กิจกรรมการท่องเที่ยวสุดแปลก และแหวกแนวดังกล่าวเกิดขึ้นที่สถานที่ท่องเที่ยวแห่งหนึ่ง ชื่อว่า “อาณาจักรช้างพัทยา” อยู่ในเขตอำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี ซึ่งเป็นพื้นที่เชื่อมต่อกับเมืองพัทยาแหล่งท่องเที่ยวระดับโลก

น.ส.สุลัดดา ศรุติลาวัณย์ ผู้อำนวยการ ททท.สำนักงานพัทยา กล่าวว่า เพิ่งได้เห็นภาพดังกล่าวทางโซเชียลมีเดีย ถือว่าเป็นกิจกรรมการท่องเที่ยวที่มีความเสี่ยง และน่าเป็นห่วงในเรื่องของความปลอดภัยเป็นอย่างมาก ทั้งนี้ หน่วยงานในพื้นที่ควรตรวจสอบเนื่องจากมีความเสี่ยงสูง เช่นเดียวกับที่ตรวจสอบกิจกรรมอื่นๆ ที่มีความเสี่ยง เช่น Jungle Ride และอื่นๆ เช่นกัน

รถบรรทุกขยี้ฝูงชน84 ศพ งานฉลองวันชาติฝรั่งเศส

ยอดผู้เสียชีวิตจากเหตุรถบรรทุกพุ่งชนกลางงานวันชาติฝรั่งเศสที่เมืองนีซ (Nice) เพิ่มเป็นอย่างน้อย 84 ราย และมีผู้บาดเจ็บอีกจำนวนมาก โดยล่าสุดตำรวจพบเอกสารที่ระบุชื่อชายชาวฝรั่งเศสเชื้อสายตูนิเซีย วัย 31 ปี อยู่ภายในรถคันก่อเหตุ ขณะที่ประธานาธิบดีฝรั่งเศสออกมายืนยันว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเข้าข่าย “ก่อการร้าย” และจะขยายเวลาบังคับใช้ภาวะฉุกเฉินต่อไปอีก 3 เดือน

คนขับรถบรรทุกรายนี้ถูกยิงเสียชีวิต หลังนำรถขับตะลุยฝ่าฝูงชนที่มาร่วมฉลองวันชาติบนเส้นทางเลียบชายหาด โพรเมอนาด เดซ็องเกลส์ (Promenade des Anglais) เป็นระยะทางกว่า 2 กิโลเมตร จนทำให้ผู้คนหลายร้อยต้องวิ่งหนีตายอลหม่าน ส่วนผู้เคราะห์ร้ายที่หนีไม่ทันก็ต้องกลายเป็นศพเกลื่อนถนน

“ชายคนหนึ่งขับรถบรรทุกพุ่งเข้าใส่ฝูงชน แต่เขาถูกตำรวจสังหารแล้ว” ปิแอร์-อ็องรี บร็องเดต์ โฆษกกระทรวงมหาดไทยฝรั่งเศสแถลง

ตำรวจพบเอกสารระบุชื่อชายชาวฝรั่งเศสเชื้อสายตูนิเซีย อายุ 31 ปี อยู่ภายในรถบรรทุกคันก่อเหตุ รวมถึง “ปืน” และ “อาวุธที่ร้ายแรงยิ่งกว่านั้น” อีกจำนวนหนึ่ง

เหตุนองเลือดครั้งนี้เกิดขึ้นในวันบาสตีย์ (Bastille Day) ซึ่งเป็นวันที่ชาวฝรั่งเศสจะร่วมกันเฉลิมฉลองความเป็นสาธารณรัฐ ตลอดจนคำขวัญ “เสรีภาพ เสมอภาค ภราดรภาพ” ที่พวกเขาเชิดชู

เหตุโจมตีที่เมืองนีซเกิดขึ้นเพียง 1 วัน หลังจากที่ฝรั่งเศสได้จัดพิธีสวนสนามกองทัพอย่างยิ่งใหญ่บนถนนฌองส์-เอลิเซ ในกรุงปารีส

สื่อมวลชนแพร่ภาพด้านหน้ารถบรรทุกที่ถูกกระสุนปืนตำรวจยิงใส่จนพรุน และรถอยู่ในสภาพยางแตก เสียหายอย่างหนัก

แบร์นาร์ด คาเซเนิร์ฟ รัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยฝรั่งเศส แถลงยอดผู้เสียชีวิตล่าสุดไม่ต่ำกว่า 84 ราย และมีผู้บาดเจ็บอีกหลายคน ในจำนวนนี้มีอยู่ 18 คนที่อาการอยู่ในขั้นวิกฤต

ประธานาธิบดีบารัค โอบามา แห่งสหรัฐฯ ได้แถลงประณาม “การก่อการร้ายที่เหี้ยมโหดที่สุด” แม้จะยังไม่มีกลุ่มใดออกมาแสดงความรับผิดชอบก็ตาม

ทั้งนี้ หากได้รับการยืนยันว่าเป็นการก่อการร้าย โศกนาฏกรรมที่เมืองนีซจะถือเป็นการโจมตีฝรั่งเศสครั้งที่ 3 ที่เกิดขึ้นในระยะเวลาไม่ถึง 18 เดือน และพนักงานสอบสวนคดีก่อการร้ายจะต้องเข้ามาตรวจสอบเรื่องนี้

“เจ้าหน้าที่กำลังตรวจสอบว่าคนขับรถบรรทุกรายนี้กระทำการคนเดียว หรือมีผู้ร่วมสมคบคิดที่อาจจะหลบหนีไปแล้ว” โฆษกกระทรวงมหาดไทยฝรั่งเศส แถลง


ไกล่เกลี่ยมรดก”แม่ประนอม”เหลว ยื่นคำขาดห้ามใช้ชื่อ”แม่ประนอม”

เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 13 กรกฎาคม ที่ศาลจังหวัดตลิ่งชัน ถนนทุ่งมังกร ศาลนัดไต่สวนคำร้องคดีที่นางประนอม แดงสุภา อายุ 78 ปี ผู้ก่อตั้งกิจการน้ำพริกเผาแม่ประนอม ยื่นคำร้อง ขอเพิกถอนคำสั่งอนุญาตให้ถอนฟ้องในคดีแพ่งที่นางประนอมและน.ส.ศิริวัลย์ แดงสุภา อายุ 53 ปี บุตรสาวคนที่ 2 ร่วมกันเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นางศิริพร แดงสุภา อายุ 55 ปี บุตรสาวคนโตของนางประนอม และนายสุชาติ ภาษาต่างประเทศ อายุ 62 ปี สามีของนางศิริพร เป็นจำเลยที่ 1-2 เรื่องเพิกถอนนิติกรรม ถือกรรมสิทธิ์แทน โดยขอให้เพิกถอนการโอนที่ดิน เป็นที่ตั้งโรงงานบริษัทพิบูลย์ชัย น้ำพริกเผาแม่ประนอม จำกัด เป็นกรรมสิทธิ์ร่วมของนางประนอมและนายศิริชัย สามี โดยให้จำเลยที่ 1-2 โอนหุ้นบริษัทดังกล่าว 38,550 หุ้น คืนให้โจทก์ที่ 1-2 และกองมรดกของนายศิริชัย พร้อมค่าเสียหายรวม 561,950,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี

โดยวันนี้โจทก์และจำเลยทั้งหมดพร้อมทนายความเดินทางมาศาล เมื่อถึงเวลานัดไต่สวน ศาลเชิญผู้ไม่เกี่ยวข้องออกจากห้องพิจารณาคดี เพื่อไกล่เกลี่ยคู่ความ ขณะที่นางประนอมยกมือไหว้ทักทายสื่อมวลชน ก่อนกล่าวเพียงสั้นๆว่า วันนี้ตั้งใจมาขอความเป็นธรรมจากศาล เรื่องเรียกทรัพย์สินของตัวเองกลับคืน และมั่นใจว่าศาลจะให้ความเป็นธรรมในการไต่สวนคดีต่อไป

จากนั้นเวลา 12.00 น. นางประนอม เดินออกมาจากศาล พร้อมน.ส.ศิริวัลย์ แดงสุภา บุตรสาวคนรอง โดยนางประนอม เปิดเผยหลังการไกล่เกลี่ยคดีว่า เมื่อศาลท่านเมตตาไกล่เกลี่ยให้อีกครั้ง แต่นางศิริพรยังยืนกรานไม่คืนทรัพย์สินให้ตามที่ขอคืน คือ 1.ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างบ้านเขาใหญ่ ต.หมูสี อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา จำนวน1แปลง 2. ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างในหมู่บ้านเศรษฐกิจ เขตภาษีเจริญ34แปลง 3.หุ้นบริษัทพิบูลย์ชัยน้ำพริกเผาไทยแม่ประนอม จำกัด ของนางประนอม หุ้นหมายเลข20001-38200 จำนวน18,200หุ้น 4.เงินปันผลของบริษัทพิบูลย์ชัยน้ำพริกเผาไทยแม่ประนอมจำกัด เดือนละ 1ล้านบาท 5.เงินสด300ล้านบาท แลกกับกรรมสิทธิ์หุ้นในบริษัทที่เป็นของนายศิริชัย จำนวน20,000หุ้น และผลกำไรจากผลประกอบการบริษัทตั้งแต่ปี 2556 ถึงปัจจุบัน และ6.ที่ดินกองมรดก ที่อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม 9แปลง โดยอ้างว่าต้องเก็บไว้เลี้ยงหลายครอบครัว แต่ไม่คิดเลี้ยงแม่ ตนจะสู้คดีจนถึงที่สุด และจะไม่ยอมให้นางศิริพรเอาชื่อแม่ประนอม และใบหน้าของตนไปขายเป็นตราสัญลักษณ์สินค้าของบริษัทต่อไปอีก ให้ไปสร้างชื่อและตราผลิตภัณฑ์ใหม่ขายเอาเอง ถึงตรงนี้เมื่อต้องพังก็ต้องพัง

นายพิสิทธ์ ชุติพรพงษ์ชัย ทนายความของนางประนอม กล่าวว่า เบื้องต้นทราบว่าเมื่อเช้าศาลไกล่เกลี่ยแต่ยังตกลงกันไม่ได้ เนื่องจากติดขัดเรื่องทรัพย์สินบางอย่าง จึงเจรจากันไม่สำเร็จ ตอนนี้ถือว่าการไกล่เกลี่ยจบไปแล้ว ทั้งนี้ ในช่วงบ่ายวันนี้ ศาลได้นัดสืบพยานโจทก์ คือฝ่ายนางประนอม โดยตนเตรียมพยานไว้2ปาก คือ นางประนอมและคนขับรถ ส่วนฝ่ายคู่กรณีทราบว่าเตรียมพยานไว้ 9 ปาก คาดว่าจะใช้เวลาถึงช่วงเย็น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าวันนี้ไต่สวนแม่ประนอม พยานโจทก์เสร็จ 1 ปาก ส่วนพยานโจทก์อีกปาก คือคนขับรถ ศาลเลื่อนให้ไปไต่สวนในวันที่ 11 ส.ค. เวลา 09.00 น.


เนติวิทย์ ไม่ถวายบังคม พิธีถวายสัตย์ฯนิสิตจุฬา

"เนติวิทย์" เดินออกจากพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณตนเข้าเป็นนิสิตจุฬาฯ ระหว่างกำลังมีการถวายบังคมต่อหน้าพระบรมราชานุสาวรีย์ 2 รัชกาล อ้าง ร.5 ยกเลิกธรรมเนียมดังกล่าวแล้ว ทำไมยังต้องทำต่อหน้าพระบรมรูปของท่านอีก ชาวเน็ตที่อยู่ในเหตุการณ์แฉไม่มีการบังคับให้มา หรือเดินออกตอนก่อนเริ่มพิธีก็ได้ แต่นี่เดินออกระหว่างพิธี เป็นการจงใจป่วน - ไร้มารยาท

(15 ก.ค.) นายเนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล ได้โพสต์เฟซบุ๊กชี้แจงกรณีถูกถ่ายคลิปแฉไม่ยอมถวายบังคมต่อหน้าพระบรมราชานุสาวรีย์ 2 รัชกาล ในระหว่างพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณตนเข้าเป็นนิสิตจุฬาฯ

โดยระบุว่า สวัสดีครับทุกคนท่ามกลางแดดร้อนแรงระอุ นิสิตบางคนหมดสติไป ผมและเพื่อนรัฐศาสตร์ นิสิตจุฬาลงกรณ์ได้พูดคุยและถกเถียงกันเรื่องการถวายบังคม ในพิธีถวายสัตย์เข้าเป็นนิสิต ซึ่งเราต่างก็ประหลาดใจกันว่าเหตุไฉน? การหมอบกราบดังกล่าวจึงยังได้รับการปฏิบัติมาอีก ทั้งที่ในหลวงรัชกาลที่ 5 ทรงประกาศยกเลิกธรรมเนียมเก่าดังกล่าวแล้ว เหตุไฉนจึงมาสิ่งที่พระองค์ทรงยกเลิกต่อหน้าพระบรมรูปของพระมหากษัตริย์ผู้ไม่ต้องการสิ่งดังกล่าว

ธรรมเนียมเป็นเรื่องไม่เสียหาย หากไม่มีหลักวิชาก็เป็นแค่การนำอย่างมืดบอด โดยพิธีดังกล่าวถ้าศึกษา ก็เพิ่งกลับมาไม่นานมานี้เอง ผมและเพื่อนเมื่อคุยกันบนหลักฐานและต้องการสนองพระราชประสงค์ให้กลับมาอีกครั้ง ผมและเพื่อนอีกคนจึงกล่าวถวายสัตย์เสร็จแล้วยืนขึ้น มาเบื้องหน้าโค้งคำนับต่อพระบรมรูปพระมหากษัตริย์ทั้งสอง (เราดูงานวันพ่อวันแม่สิ ธรรมเนียมการโค้งคำนับใช้ แต่ทำไมไม่หมอบคลานล่ะ ดูลักลั่นไหม) ขณะที่บางคนเห็นด้วยแต่ไม่อยากแสดงออกก็ช่วยสนับสนุนโดยให้กำลังใจ

ที่เขียนมานี้ก็เพื่อชี้แจงให้เข้าใจวัตถุประสงค์ในการทำ มิฉะนั้นก็จะใส่ไคล้กันไปโดยไม่ได้เจตนา มีหลายคนไม่มางานนี้ก็เพราะเห็นว่าพิธีนี้ไม่สมสมัย ขัดกับพระผู้ทรงนำความเจริญทั้งสองพระองค์ เรื่องนี้ไม่ใช่มีแค่สองคนหรือแค่นิสิตรัฐศาสตร์ปี 1 ที่สนใจห่วงใย มีมากมายแต่ไม่มีคนแสดงออกชัดเจน วันนี้เราทำให้ดู พวกเราทำ ไม่ใช่อยากดัง แต่ที่ทำก็เพราะไม่อยากให้เงียบ

หลักวิชา หลักประวัติศาสตร์ ควรจะคุยกันในเรื่องนี้ จุฬาฯ จึงภาคภูมิได้เต็มที่ในความละเอียดของการรักษา ธรรมเนียมดีๆที่เข้ากับคนรุ่นใหม่ สังคมสมัยใหม่ ในโอกาส 100 ปีจุฬาฯ เสาหลักของแผ่นดิน

ทั้งนี้จากโพสต์ดังกล่าว ได้มีผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อว่า "Shayakorn Supasatit" มาคอมเม้นท์ ว่า อยู่ในเหตุการณ์ ความจริงที่เกิดขึ้น คุณเดินออกไประหว่างพิธีย้ำระหว่างพิธี ซึ่งก่อนหน้านี้คุณสามารถเลือกที่จะไม่เข้าร่วม หรือเดินออกก่อนพิธีจะเริ่มได้โดยที่ไม่มีใครว่าหรือบังคับใดๆทั้งสิ้น (มีเวลาเดินออกก่อนพิธีเริ่มนานมาก) สิ่งที่คุณทำคือการจงใจป่วนเเละไม่ให้เกียรติในสิ่งที่คนอื่นทำอยู่ หากอ้างว่านั่นเป็นสิทธิของคุณก็ใช่ เเต่คุณไม่มีสิทธิที่จะไปลบหลู่ในสิ่งที่คนอื่นเชื่อ เเละสิ่งที่ทำนี้เป็นการกระทำที่เสียมารยาทมาก


แถลงการณ์ 5 องค์กรสื่อ จี้ คสช. ทบทวนคำสั่งเพิ่มอำนาจ กสทช.

5 องค์กรวิชาชีพสื่อออกแถลงการณ์ถึงคำสั่ง คสช.เพิ่มอำนาจ กสทช.ปิดสื่อ ชี้จำกัดเสรีภาพอาจทำให้ประชามติไม่ชอบธรรม ทำให้สื่อหวาดกลัว ส่งผลให้ ปชช.รับข้อมูลไม่ครบ จี้ทบทวนคำสั่ง หากสื่อทำผิด ใช้อำนาจ กม.เดิมจัดการได้ ย้ำไม่สบายใจใช้อำนาจจำกัดเสรีภาพ แถมมีสัญญาณออก กม.แทรกแซงสื่ออีก ขอสื่อยึดจริยธรรมเคร่งครัด

(15 ก.ค.) องค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนออกแถลงการณ์เรื่อง การจำกัดเสรีภาพสื่อมวลชนโดยประกาศหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ มีเนื้อหาระบุ ดังนี้ “ตามที่หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติได้ออกคำสั่งที่ ๔๑/๒๕๕๙ เรื่อง การกำกับดูแลการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารต่อสาธารณะ โดยมีเจตนาในการขยายอำนาจตามมาตรา ๓๗ แห่งพระราชบัญญัติการประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ.๒๕๕๑ ของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ให้ครอบคลุมไปถึงประกาศของคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (คสช.) ฉบับที่ ๙๗/๒๕๕๗ และฉบับที่ ๑๐๓/๒๕๕๗ รวมทั้งคุ้มครองการใช้อำนาจของ กสทช.ตามประกาศดังกล่าว องค์กรวิชาชีพสื่อมวลชน ๕ องค์กรประกอบด้วย สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ สภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย และสมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ได้ประชุมหารือกันแล้ว มีความเห็นและข้อเสนอแนะดังต่อไปนี้

๑) คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ ๔๑/๒๕๕๙ ออกมาในสถานการณ์ที่ประเทศกำลังเดินหน้าตามแผนกลับสู่ประชาธิปไตยด้วยการลงประชามติต่อร่างรัฐธรรมนูญในวันอาทิตย์ที่ ๗ สิงหาคมนี้ โดยอาจทำให้เกิดการจำกัดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของประชาชนและสื่อมวลชนต่อสถานการณ์บ้านเมือง โดยเฉพาะเนื้อหาของรัฐธรรมนูญมากขึ้น จนอาจส่งผลให้การลงประชามติไม่ชอบธรรมและไม่ได้รับยอมรับจากประชาชนและนานาอารยประเทศ

๒) การขยายอำนาจตามมาตรา ๓๗ แห่งพระราชบัญญัติการประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ.๒๕๕๑ ของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ให้ครอบคลุมไปถึงประกาศของคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (คสช.) ฉบับที่ ๙๗/๒๕๕๗ และฉบับที่ ๑๐๓/๒๕๕๗ ดังกล่าว ถือเป็นการขยายอำนาจในการจำกัดเสรีภาพของสื่อมวลชนและประชาชนจนเกินขอบเขต โดยใช้ กสทช.เป็นเครื่องมือ ซึ่งจะทำให้สื่อมวลชนทำหน้าที่นำเสนอข่าวสารด้วยความหวาดกลัว และส่งผลให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารที่ไม่ครบถ้วนรอบด้าน

๓) องค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนทั้ง ๕ องค์กรข้างต้นจึงขอเรียกร้องให้หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติทบทวนการออกคำสั่งดังกล่าว เพื่อไม่ให้เกิดการใช้อำนาจจำกัดเสรีภาพในการนำเสนอข้อมูลข่าวสารจนเกินขอบเขตต่อสื่อมวลชนส่วนใหญ่ที่ปฏิบัติหน้าที่ตามกรอบของกฎหมายและจริยธรรม ส่วนสื่อมวลชนใดที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายที่มีอยู่ กสทช.ก็สามารถใช้อำนาจตามกฎหมายที่มีอยู่เดิมดำเนินการตามขั้นตอนตามกฎหมายได้อยู่แล้ว

๔) ในระหว่างที่คำสั่งนี้ใช้บังคับ องค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนขอเรียกร้องให้ กสทช.ใช้อำนาจด้วยความระมัดระวังตามเจตนารมณ์ของการเป็นองค์กรของรัฐที่เป็นอิสระ ไม่ตกอยู่ใต้อำนาจทางการเมืองใดๆ แม้ว่าจะมีการออกคำสั่งให้ กสทช.ใช้อำนาจโดยได้รับการคุ้มครองว่าไม่ต้องรับผิดทั้งทางแพ่ง อาญาและวินัยก็ตาม

องค์กรวิชาชีพสื่อมวลชน ๕ องค์กรมีความไม่สบายใจต่อการใช้อำนาจออกกฎหมายมาจำกัดเสรีภาพในการนำเสนอในการนำเสนอข่าวสารดังกล่าว เพราะขณะนี้สัญญาณว่า มีความพยายามที่จะออกกฎหมายอื่นๆ ที่มีลักษณะในการแทรกแซงและจำกัดเสรีภาพของสื่อมวลชนอีกหลายฉบับ

อนึ่ง ในสถานการณ์การเมืองที่ยังคงมีความขัดแย้งแตกแยกของของประชาชนกลุ่มต่างๆ ในขณะนี้ องค์กรวิชาชีพสื่อขอเรียกร้องมายังสื่อมวลชนต่างๆ ให้ปฏิบัติหน้าที่นำเสนอข้อมูลข่าวสารและแสดงความคิดเห็นโดยยึดหลักจริยธรรมวิชาชีพสื่อมวลชนโดยเคร่งครัด เพื่อสร้างหลักประกันในการนำเสนอข่าวสารอย่างมีเสรีภาพและความรับผิดชอบต่อสังคมต่อไป”

“พระธัมมชโย” อ้างอาพาธ ให้ปากคำได้ แต่ไม่มอบตัว

รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ เผยคุยกับเจ้าคณะใหญ่หนกลาง และเจ้าคณะภาค 1 ปม “ธัมมชโย” แล้ว หาแนวทางให้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม สรุปคืออาพาธให้ปากคำได้แต่ไม่มอบตัว บอกพระผู้ใหญ่ทำเต็มที่แล้ว นายกฯ สั่งไปประสาน “ไพบูลย์” จัดการต่อ ไม่รู้ผู้อำนวยการสำนักพระพุทธฯ ขอพบเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย แต่เป็นไปได้ ป้อง “พระเมธี” ก่อม็อบ แค่ประชุมสงฆ์ ส่วนรุกป่าที่ จ.เลย ต้องดูเจตนา

(15 ก.ค.) ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อเวลา 08.30 น. นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ได้พบและหารือกับสมเด็จพระพุทธชินวงศ์ เจ้าอาวาสวัดพิชยญาติการาม เจ้าคณะใหญ่หนกลาง พระราชวิสุทธิเวที เจ้าคณะภาค 1 ถึงกรณีการดำเนินคดีต่อพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายแล้วเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา เป็นการหารือถึงแนวทางที่จะให้ทุกอย่างเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม แต่ก็ได้ข้อสรุปว่าพระธัมมชโยยังไม่พร้อมที่จะมอบตัว โดยให้เหตุผลว่ายังอยู่ในอาการอาพาธ แต่พร้อมให้ข้อมูลในการสอบสวนในคดีเพิ่มเติมต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ ดังนั้น ในประเด็นพระธัมมชโยจึงยังไม่มีใครสามารถตอบได้ว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร แต่ทั้งนี้ทางคณะสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่ได้มีความพยายามทำงานอย่างเต็มที่แล้ว

นายสุวพันธุ์กล่าวด้วยว่า ได้นำเรื่องนี้รายงานให้นายกรัฐมนตรีรับทราบแล้ว โดยนายกรัฐมนตรีมอบหมายให้ตนไปประสานการทำงานกับ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เพื่อดำเนินการต่อไป โดยรัฐบาลจะดำเนินการตามกฎหมายเป็นหลัก

นายสุวพันธุ์ยังระบุว่า สมเด็จพระพุทธชินวงศ์ได้บอกกับทางวัดพระธรรมกายให้ยึดหลักกระบวนการยุติธรรมที่ถูกต้อง เพราะคณะสงฆ์ก็ต้องการให้ดำเนินการในทางที่ถูกต้องและเหมาะสม ดังนั้น คณะสงฆ์จะต้องหารือกับทางวัดพระธรรมกายต่อไป ขณะเดียวกันยังคงมีการทำงานร่วมกันอย่างต่อเนื่องเพื่อหาทางออกโดยยึดหลักตามกระบวนการยุติธรรม

ผู้สื่อข่าวถามกรณีผู้อำนวยการสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) จะเข้าไปขอพบพระธัมมชโยนั้น นายสุวพันธุ์กล่าวว่า ตนไม่ทราบรายละเอียด แต่ก็อาจจะมีความเป็นไปได้ เพราะสำนักงานพระพุทธศาสนาฯ ก็ต้องทำหน้าที่ของตนเองในฐานะเลขาฯ มหาเถรสมาคม และทำงานร่วมกับคณะสงฆ์ด้วย

ส่วนการที่พระธัมมชโยยังไม่เข้ามอบตัวนั้น นายสุวพันธุ์กล่าวว่า เชื่อว่าไม่น่าจะเกี่ยวกับการที่อัยการเลื่อนการสั่งคดีพระธัมมชโยพร้อมพวกอีก 5 คน ข้อหาร่วมกันฟอกเงิน สมคบกันฟอกเงินและรับของโจร เนื่องจากอัยการต้องการที่จะมีการสอบ ประเด็นที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมเท่านั้น เมื่อถามถึงกรณีที่พระเมธีธรรมาจารย์ เลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทยยังคงเดินหน้าเตรียมออกมาเคลื่อนไหวนั้น นายสุวพันธุ์กล่าวว่า ต้องดูที่เจตนาของพระเมธีธรรมาจารย์ที่พูดซึ่งดูเหมือนจะเป็นการบอกว่าจะเป็นการประชุมสงฆ์เท่านั้น