ข่าว
“ธัญญ่า” ทุบเรือนหอเก่าทิ้ง แฮปปี้ผัวหมดตูด จนแล้ว!

ไม่เชื่อเรื่องลางไม่ดีอะไรทั้งนั้น สำหรับ “ธัญญ่า ธัญญาเรศ เองตระกูล” เพราะล่าสุดทุบเรือนหอเก่าทิ้งไปทำคลินิกความงามครบวงจร พร้อมเผยระหว่างงานแถลงข่าวการประกวดนางสาวถิ่นไทยงาม 2561 เรื่องอุ้มบุญลูกคนที่ 2 ผ่านมา 3 ปีแต่ไม่สำเร็จ เชื่อถูกกำหนดให้มีลูกแค่คนเดียว ตอนนี้สามี “เป๊ก สัณชัย เองตระกูล” ยกมรดกให้ลูกสาวแล้วทั้งหมด

“ทุบไปแล้วค่ะ คือเปลี่ยนจากบ้านเป็นบีบีคลินิกค่ะ ที่สุขุมวิท 11 ค่ะ ส่วนที่คนถือว่าเป็นลางไม่ดีก็ไม่ได้คิดอะไรนะคะ เพราะตรงนั้นเป็นสุขุมวิทก็เลยอยากจะทำอะไรที่เป็นธุรกิจด้วย ด้วยโลเกชั่นตรงนั้นมีชาวต่างชาติค่อนข้างจะเยอะ และมันให้อารมณ์ความเป็นบ้าน ห้องนอนต่างๆ ก็กลายเป็นห้องผ่าตัด ห้องพักคนไข้ (หัวเราะ) จริงๆ ไม่ได้ทุบนะคะ แต่รีโนเวทมีการปรับเปลี่ยนให้กลายเป็นคลินิกเท่านั้นเองค่ะ”

“เป็นคลินิก ครบวงจรเลย คนไทยสมัยนี้หันมาสนใจทำศัลยกรรมค่อนข้างเยอะ ใส่ใจในเรื่องของความปลอดภัยด้วย และบีบีคลินิกของเราก็ได้รับมาตรฐานจาก JCI ก็เป็นคลินิกแห่งแรกของเมืองไทยที่ได้รับค่ะ ดีใจมากเลยค่ะ”

“เรื่องงบก็บานปลายก็พอสมควรนะคะ ลงทุนไปเยอะพอสมควรค่ะ เพราะราคาอุปกรณ์เครื่องมือแพทย์ต่างๆ ก็ค่อนข้างสูงเราก็ต้องใช้ของดีจริงๆ”

อนาคตขอซื้อบ้าน “กบ ทรงสิทธิ์” อยากให้พ่อแม่มาอยู่ด้วย

“เราก็ปรึกษาทั้งครอบครัวแล้วค่ะ เพราะบ้านหลังนั้นก็มีคุณพ่อคุณแม่อยู่ด้วย พี่เป๊กกับน้องสาวก็อยู่มาตั้งแต่เด็ก ก็ปรึกษากันว่าถ้าจะทำจะโอเคกันมั้ย ก็เลยย้ายมาอยู่ที่นี่กัน (หัวเราะ) ก็มาอยู่กันได้ 2 ปีแล้วค่ะ แต่ไม่ได้มากันหมดค่ะ บ้านนี้อยู่กัน 3 คน แต่คุณพ่อก็จะมานอนบ้าง แต่อนาคตกำลังจีบบ้านพี่กบ ทรงสิทธิ์ที่อยู่บ้านข้างๆ อยู่ค่ะว่าจะขอซื้อ และจะซื้อหลังตรงข้ามเพราะเขากำลังจะขาย เพราะอยากให้พ่อแม่มาอยู่ด้วย เลยไล่ที่พี่กบอยู่ พี่กบก็บอกว่าโดนบังคับนะเนี่ย (หัวเราะ)”

ขำๆ สามียกมรดกให้ลูกทั้งหมด เซ็นก่อนบวช บอกตอนนี้จนมาก

“ใช่ เขาเซ็นแล้วค่ะ (หัวเราะ) เราไม่ได้บังคับ ไม่ได้ยุ่งอะไรนะคะ พี่เป๊กเซ็นตอนเขาบวชค่ะ น่าจะ 2 ปีที่แล้ว เขาทำเรื่องอะไรเสร็จถึงมาบอกเรา เขาบอกว่าตอนนี้เขาจนมากนะ เขาไม่มีอะไรแล้ว ทุกอย่างยกให้ลูกหมด (หัวเราะ) เขาบอกว่าเขาก็ไม่รู้ว่าจะอยู่อีกนานแค่ไหน เราก็ไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นยังไง เขาก็เลยคิดว่าถ้าวันหนึ่งเขาไม่อยู่แล้วมันจะเป็นปัญหา”

อยากมีลูกเพิ่มแต่อุ้มบุญมา 3 ปีไม่ติด เชื่อถูกกำหนดให้มีลูกแค่คนเดียว

“เรื่องลูกอีกคนจริงๆ ก็อยากมีค่ะ ทำแล้วด้วย แต่ว่าไม่ติด ทำวิธีอุ้มบุญเหมือนเดิมค่ะ และตอนนี้ลียาก็ 8 ขวบแล้ว เลยคุยกันว่างั้นเรามีลียาคนเดียวก็ได้ ทำมาตั้งแต่ 3 ปีที่แล้วค่ะ ทำอยู่ 2 ครั้ง แต่อาจจะถูกกำหนดมาให้มีคนเดียวก็ได้ ก็คงไม่น่าจะมีแล้วนะคะ แต่จริงๆ ก็ดี เพราะมีลูกก็มีห่วง คนเดียวเราก็ห่วงจะแย่ จะไปไหนทำอะไรก็ต้องคิดถึงเขา ถ้ามีอีกคนก็ต้องมีห่วงเพิ่ม เราก็อยากมีน้องให้เขาเพื่อเขาจะได้มีเพื่อนนะ ตัวเขาเองก็อยากมีมาก ก็จะบอกเขาว่าเราไม่ได้มีง่ายนะ ลียาเองก็ไม่ได้มีมาง่ายๆ”

"ศรีวราห์"ยันภาพ"ยิ่งลักษณ์" ถือกระเป๋าหรูหน้า"แฮร์ร็อดส์"

(5 ม.ค.)ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(รองผบ.ตร.) ด้านความมั่นคง กล่าวถึงกรณีปรากฏภาพ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ถ่ายคู่กับหญิงไทยที่เดินทางไปเที่ยวที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เมื่อช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา ลักษณะของอาคารด้านหลังคล้ายกับห้างแฮร์ร็อดส์ ห้างสรรพสินค้าชื่อดัง ว่า เรื่องนี้ได้สั่งให้กองพิสูจน์หลักฐานกลาง และกองการต่างประเทศตรวจสอบแล้ว โดยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี สั่งการตรวจสอบ โดยเฉพาะ พล.อ.ประวิตร ได้สั่งการให้ติดตามสืบสวนจับกุม น.ส.ยิ่งลักษณ์ อย่างต่อเนื่อง ต้องจับกุมให้ได้ ยืนยันตำรวจไม่นิ่งนอนใจในการตามจับกุมน.ส.ยิ่งลักษณ์ ทั้งนี้ ล่าสุดเมื่อก่อนสิ้นปี 2560 กองการต่างประเทศ ได้สอบถามถิ่นพำนักของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ไปยังตำรวจสากล หรือ อินเตอร์โพล แต่ยังไม่ได้รับคำตอบ อย่างไรก็ตามสั่งการให้สอบถามทุกระยะ และรายงานมายังตนทุก 5-7 วัน อย่างต่อเนื่อง

"ยอมรับว่าในส่วนการติดตามตัวไม่มีความคืบหน้า หลังจากล่าสุดเมื่อเดือนพ.ย. ตำรวจสากลของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์หรือยูเออี ตอบว่าพบข้อมูลว่าน.ส.ยิ่งลักษณ์เดินทางออกจากยูเออีโดยแจ้งปลายทางไปยังสหราชอาณาจักร หรืออังกฤษ แต่ยังไม่มีคำยืนยันจากตำรวจสากลในอังกฤษ ว่าน.ส.ยิ่งลักษณ์ เดินทางไป หรือพักในอังกฤษหรือไม่ โดยในการสอบถามผ่านช่องทางตำรวจสากล ได้ถามถึงประเด็นการขอลี้ภัยทางการเมืองของน.ส.ยิ่งลักษณ์ แต่ยังไม่มีข้อมูลตอบกลับมาแต่อย่างใด อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาตำรวจสากลให้ความร่วมมือกับทางการไทยเป็นอย่างดี การติดตามก็เป็นไปตามขอบเขต เราไปเร่งรัดเขาไม่ได้"รองผบ.ตร.ระบุ

ส่วนกรณีมีกระแสข่าว นายศุภเสกข์ อมรฉัตร หรือน้องไปป์ บุตรชายของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เดินทางไปหามารดาที่อังกฤษ ในช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา พล.ต.อ.ศรีวราห์ กล่าวว่า ประเด็นนี้สั่งการให้สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ตรวจสอบแล้ว รวมถึงกรณีที่ปรากฎภาพหญิงไทยถ่ายภาพคู่น.ส.ยิ่งลักษณ์ด้วย ให้ตรวจสอบว่าเป็นใครเพื่อหาข้อมูลเกี่ยวกับน.ส.ยิ่งลักษณ์ แต่การที่หญิงไทยคนนี้ หรือใครก็ตามประชาชนคนไทยไปพบตัว หรือถ่ายภาพกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ในต่างประเทศถือว่าไม่มีความผิด เพราะถือว่าเป็นการทำนอกราชอาณาจักร กฎหมายไทยไปเอาผิดไม่ได้อยู่แล้ว


'ยิ่งลักษณ์'โผล่หราลอนดอน 'บิ๊กตู่'อารมณ์เสียขึ้นรถกลับ

5 ม.ค.61 ที่กระทรวงยุติธรรม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้เป็นประธานเป็นประธานการประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ 1/2561 โดยระบุว่า วันนี้เป็นการประชุมหัวหน้าส่วนราชการ เป็นประจำช่วงทุก 2 เดือน มีการหารือและพูดคุยหลายประเด็น โดยเฉพาะเรื่องของการปฏิรูป ในการเดินหน้ายุทธศาสตร์ชาติจะทำอย่างไรต่อไป ในการที่จะนำพาทุกคนให้เกิดความเท่าเทียมในเรื่องของโอกาส

"ไม่ว่าจะยากดีมีจนอย่างไรก็จะต้องมีความเท่าเทียม ในส่วนของความเป็นธรรมเราจะดูแลในเรื่องของความยากจน ให้กับผู้มีรายได้น้อย ผมได้สั่งการไปแล้วทั้งหมด" นายกฯ กล่าว

ทั้งนี้ เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ได้เห็นภาพของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ปรากฎที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ หรือยัง พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ตอบคำถามดังกล่าว ก่อนเดินออกจากโพเดี้ยมแถลงข่าว พร้อมส่ายศรีษะ และเดินไปขึ้นรถกลับออกไปทันที


ผบ.ตร. สวนกลับยันไม่สนิท เสก แจงพวกเดียวกันแค่เกลี้ยกล่อม

จากกรณี นายเสกสรรค์ ศุขพิมาย หรือ เสก โลโซ โพสต์กล่าวอ้างถึง พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ว่า มีการพูดคุยผ่านทางโทรศัพท์โดยการบอกว่า “เป็นพวกด้วยกัน” พร้อมตั้งคำถามว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจทำเกินกว่าเหตุหรือไม่ และอยากให้ช่วยสั่งลูกน้องหยุดทำลายตนเองนั้น

พล.ต.อ.จักรทิพย์ เปิดเผยกับทางไทยรัฐออนไลน์ ว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจทำตามหน้าที่ ไม่ขอตอบโต้เพราะเป็นผู้ใหญ่ ส่วนเรื่องการพูดว่าเป็นพวกเดียวกัน เป็นยุทธวิธีการพูดการเกลี้ยกล่อมให้ยอมมอบตัว เจ้าหน้าที่ช่วยกันพูดหลายคน ทำอย่างไรก็ได้ให้ผู้ต้องหาในขณะนั้นมีสติ คำว่าพวกเดียวกันหมายความว่า ประชาชนคนไทยที่ทำความผิดแล้วสำนึกผิด กลับเนื้อกลับตัวเป็นพวกกัน ไม่ใช่จะฆ่ากันตายไปตลอดชีวิต ต่อไปจะทำอะไรก็ต้องคิด อย่าทำแบบนี้อีก

“เราเป็นตำรวจนะ เราต้องรับใช้สังคม ใครจะพูดอะไรเราก็ต้องรับต้องทนไป จะไปต่อความยาวสาวความยืดคนนั้นพูดทีคนนี้พูดทีไม่จบหรอก ถ้าคุณไปไหว้พระแล้วเดินออกมามันก็ไม่มีอะไร จะมาบอกว่ายิงปืนแก้บน ประทัดก็มี คุณจะจุดกี่นัดก็คงไม่มีใครว่า และไม่ได้สนิทสนมเป็นการส่วนตัว ไม่ได้คุยกันเลย ก่อนหน้านั้นก็ไม่ได้คุยกันนะ มันเป็นยุทธวิธีการพูด คือการพูดลักษณะแบบนี้ต้องพูดทั้งบริบท ไม่ใช่ตัดมาส่วนใดส่วนหนึ่งแล้วสังคมเขาสับสน เราไม่ได้ไปเข้าข้างคนกระทำความผิด หรือช่วยเหลือทางคดีแล้วบอกเป็นพวกเดียวกัน มันไม่ใช่ กฎหมายก็ว่าไปตามกฎหมาย”

พร้อมตั้งคำถามกลับว่า เสก กระทำเช่นนี้เหมาะสมหรือไม่ อีกทั้งมีปืนอยู่ที่ตัว และก่อนการเข้าควบคุมตัวยังมีคลิปว่า “เข้ามากูจะยิง” ไว้ใจได้หรือไม่ คนมีปืนขึ้นลำเตรียมยิงแบบนี้ เจ้าหน้าที่ก็ต้องทำตามหน้าที่เพื่อความปลอดภัยของทั้ง 2 ฝ่าย

สำหรับกรณีที่ เสก มีภาพถ่ายกับเจ้าหน้าที่ตำรวจและอดีตตำรวจนั้น ต้นสังกัดจะเป็นฝ่ายดำเนินการเอง แต่ก็ต้องตอบสังคมให้ได้ว่าไปกันทำไม อย่างไร ถ้าอะไรที่เกี่ยวข้องกับระเบียบวินัยก็ต้องดำเนินการ.


พิษถ่ายคู่ 'เสก' เด้งเข้ากรุ 1สวป.-2ผกก.สน.คันนายาว

กรณีร็อกเกอร์ชื่อดังของเมืองไทย “เสก โลโซ” หรือนายเสกสรรค์ ศุขพิมาย อายุ 43 ปี โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว “SEK LOSO” เป็นภาพการจัดเลี้ยงสังสรรค์ของเสก ที่ร้าน “อีสานบ้านสวน” ถนนวัดโบสถ์ ต.ปากนคร อ.เมืองนครศรีธรรมราช หลังได้รับการประกันตัวจากศาลจังหวัดนครศรีธรรมราช ในคดียิงปืนขึ้นฟ้า มีพรรคพวกเพื่อนฝูงและนักการเมืองท้องถิ่นในจังหวัดนครศรีธรรมราชที่รู้จักกับเสก และทีมงานเดินทางไปให้กำลังใจและร่วมแสดงความยินดีที่เสกได้รับการประกันตัวจากศาล พร้อมข้อความว่า “ผกก รังสรรค์ สารวัตรธี สจ.แทน เป็นตัวแทนตำรวจนครฯมาสังสรรค์ตามประสาพี่น้องกัน ร้านอีสานบ้านสวน”

ภายหลังภาพดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกไป ปรากฏว่า ผู้คนในสังคมออนไลน์เข้าไปแสดงความคิดเห็นจำนวนมาก วิพากษ์วิจารณ์กันต่างๆนานา ส่วนใหญ่เห็นว่าเป็นการไม่เหมาะสมที่ตำรวจทั้ง 2 นาย ไปร่วมนั่งรับประทานอาหารกับ “เสก โลโซ” และยังเป็นการขัดคำสั่งของ ผบ.ตร.ที่ 0001 (ศปก.ตร.)/ 96 ลงวันที่ 22 มิถุนายน 2560 ซึ่งในข้อ 2 ระบุว่า “ห้ามเจ้าหน้าที่ตำรวจแสดงกิริยาอาการในลักษณะที่ทำให้บุคคลอื่นเข้าใจในทำนองว่ามีความใกล้ชิดสนิทสนมกับผู้ต้องหาเป็นการส่วนตัว ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ และข้อ 3 ให้ทุกหน่วยและผู้บังคับบัญชาทุกระดับชั้นถือปฏิบัติโดยเคร่งครัด หากพบว่ามีการฝ่าฝืนและไม่ปฏิบัติตาม ข้อ 1 และข้อ 2 จะถูกพิจารณาข้อบกพร่องทั้งทางวินัยและทางปกครองอย่างเฉียบขาด ล่าสุดทางผู้บังคับบัญชาได้สั่งย้าย 2 นายตำรวจที่ปรากฏในภาพแล้ว

โดยเมื่อเวลา 11.30 น. วันที่ 5 ม.ค. พล.ต.ต.วันไชย เอกพรพิชญ์ ผบก.ภ.จ.นครศรีธรรมราช เปิดเผยว่า ได้มีคำสั่งย้ายด่วน พ.ต.อ.รังสรรค์ สุขเกื้อ ผกก.สส.ภ.จ.นครศรีธรรมราช และ พ.ต.ท.ธีระพล พุ่มชัย สวป.สภ.เมืองนครศรีธรรมราช 2 นายตำรวจที่ปรากฏในภาพถ่ายคู่กับเสก โลโซ ไปประจำ ศปก.ภ.จ.นครศรีธรรมราช ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป โดยให้ขาดจากตำแหน่งเดิมจนกว่าผลการสอบสวนข้อเท็จจริงจะเสร็จสิ้นลง คาดว่าจะใช้ระยะเวลาในการสอบสวนไม่นาน ทั้งนี้ ในคำสั่งดังกล่าวยังให้ พ.ต.ท.ปรัชญา จันทร์สมวงศ์ รอง ผกก.สส.ภ.จ.นครศรีธรรมราช ทำหน้าที่รักษาการแทน ผกก.สส.ภ.จ.นครศรีธรรมราช แทน พ.ต.อ.รังสรรค์ สุขเกื้อ จนกว่าผลสอบสวนจะเสร็จสิ้น โดยแต่งตั้งให้ พ.ต.อ.สมเกียรติ ร่มโพธิ์ขวัญ ผกก. (สอบสวน) ภ.จ.นครศรีธรรมราช เป็นประธานคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง ให้รีบสรุปผลสอบสวนข้อเท็จจริงมายังตำรวจภูธรจังหวัดนครศรีธรรมราช เพื่อรายงานผู้บังคับบัญชาต่อไป คาดว่าจะใช้เวลาสอบสวนไม่นาน

ด้าน พ.ต.อ.รังสรรค์ สุขเกื้อ ผกก.สส.ภ.จ.นครศรีธรรมราช ชี้แจงถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า ความจริงตนกับเสกไม่เคยรู้จักเป็นการส่วนตัวกันมาก่อนเลย คืนวันเกิดเหตุพาลูกน้องตำรวจชุด กก.สส.ภ.จ.นครศรีธรรมราช เข้าไปนั่งรับประทานอาหารที่ร้านอาหาร “บ้านสวน” เมื่อเวลาประมาณ 3 ทุ่มเศษ พบว่าเสกและคณะเข้าไปนั่งรับประทานอาหารในร้านอาหารเดียวกันอยู่ก่อนหน้าแล้ว ตนไม่ได้สนใจอะไรนั่งกันคนละโต๊ะ สักพักเจ๊ดา เจ้าของร้านที่รู้จักกัน ได้เข้ามาเชิญให้ไปพบพูดคุยกับเสกที่โต๊ะของเสก โดยเสกพูดคุยถึงเรื่องจะจัดคอนเสิร์ตหารายได้ให้กับตำรวจ สภ.พรหมคีรี และยังเชิญให้ตนไปเป็นประธานจัดคอนเสิร์ตด้วย ตนได้ตอบปฏิเสธไป เพราะทาง บก.ภ.จ.นครศรีธรรมราช ไม่มีนโยบายหาเงินให้ตำรวจ หลังพูดคุยเรื่องสัพเพเหระต่างๆอยู่ประมาณเกือบ 30 นาที เจ๊ดามาขอให้ตนถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกับเสก ตอนนั้นไม่ได้คิดอะไรยอมร่วมถ่ายรูป ก่อนจะขอตัวกลับไปนั่งที่โต๊ะอาหารกับลูกน้องตามเดิม เสร็จแล้วก็แยกย้ายกันกลับ ไม่คิดว่าเรื่องนี้จะทำให้ซวยจริงๆเลย เตรียมจะเข้าชี้แจงข้อเท็จจริงกับคณะกรรมการสอบสวนต่อไป

ในขณะที่ พ.ต.ท.ธีระพล พุ่มชัย สวป.สภ.เมืองนครศรีธรรมราช กล่าวว่า เข้าไปในร้านอาหารอีสานบ้านสวน เมื่อเวลาประมาณ 3 ทุ่มเศษ คืนวันที่ 3 ม.ค. เพราะทราบข่าวว่าคณะของเสกมานั่งรับประทานอาหาร ตนในฐานะ สวป.ดูแลพื้นที่รับผิดชอบ หากไม่ไปสอดส่องดูแล อาจเกิดเหตุซ้ำซ้อนจากเสกได้ ใครก็รู้ว่าสุ่มเสี่ยงที่เสกจะทำอะไรตามสไตล์ในพื้นที่ก็ได้ หรือมีความรุนแรงจากคนในพื้นที่ที่โกรธแค้นเสกก็ได้ จึงเข้าไปเพื่อดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยและป้องปรามเหตุร้ายที่อาจจะเกิดขึ้นได้ ตนแค่นั่งพูดคุยกับเสกตามปกติ ยืนยันว่าไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลย แต่ทำไปตามหน้าที่และที่สำคัญตนไม่ได้มีหน้าที่รับผิดชอบในเรื่องคดีของเสกแม้แต่นิดเดียว มีหน้าที่ป้องปรามเหตุตามหน้าที่เท่านั้น ขอยืนยันในความบริสุทธิ์ใจ

นอกจากนี้วันเดียวกัน พล.ต.ต.เอกชัย บุญวิสุทธิ์ ผบก.น.2 มีคำสั่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง พ.ต.อ.สิงห์ สิงห์เดช ผกก.สน.คันนายาว ตามคำสั่ง บก.น.2 ที่ 4/2561 ลงวันที่ 5 ม.ค.2561 หลังปรากฏภาพในโซเชียลมีเดีย เป็นภาพของ พ.ต.อ.สิงห์ สิงห์เดช ผกก.สน.คันนายาว พล.ต.ต.ประสพโชค พร้อมมูล อดีต ผบก.ปทส.และนายเกียรติคุณ ทักษิณนุกูลวงศ์ ผู้บริหารแกรมมี่ นั่งทานอาหารร่วมกับเสก โลโซ อย่างสนิทสนม เนื่องจากเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ห้ามจัดให้ยินยอมหรืออนุญาตให้บุคคลใด บันทึกภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว ของตำรวจขณะอยู่ร่วมกับผู้ต้องหา และห้ามเจ้าหน้าที่แสดงกิริยา ในลักษณะอาจทำให้บุคคลอื่นเข้าใจในทำนองว่ามีความใกล้ชิดสนิทสนมกับผู้ต้องหาเป็นส่วนตัว อาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจได้ และเพื่อให้การปฏิบัติงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพจึงมีคำสั่งย้าย พ.ต.อ.สิงห์ สิงห์เดช ผกก.สน.คันนายาว ให้ไปช่วยราชการที่ ศปก.บก.น.2 ตั้งแต่วันที่ 5 ม.ค.เป็นต้นไป และให้ พ.ต.อ.สราวุธ จินดาคำ รอง ผบก.น.2 มารักษาราชการแทน ผกก.สน.คันนายาว ไปจนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง พร้อมแต่งตั้ง พ.ต.อ.คมศักดิ์ สุมังเกษตร รอง ผบก.น.2 เป็นหัวหน้าชุดสืบสวนข้อเท็จจริงในครั้งนี้ด้วย

ทอท.กร้าวยึดทรัพย์ 13 พันธมิตรฯ บีบจ่าย744ล. บังคับคดียึดสนามบิน

วันที่ 5 มกราคม สำนักข่าวอิศรารายงานข่าวระบุว่า เมื่อเร็วๆ นี้สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายการบังคับคดี 1 สำนักงานอัยการสูงสุด ได้ทำหนังสือแจ้งถึง พล.ต.จำลอง ศรีเมือง, นายสนธิ ลิ้มทองกุล, นายพิภพ ธงไชย, นายสุริยะใส กตะศิลา, นายสมศักดิ์ โกศัยสุข, นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์, นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์, นายอมร อมรรัตนานนท์ หรือนายรัชต์ชยุตม์ ศิรโยธินภักดี , นายนรัญยู หรือศรัณยู วงษ์กระจ่าง, นายสำราญ รอดเพชร, นายศิริชัย ไม้งาม, นางมาลีรัตน์ แก้วก่า และนายเทิดภูมิ ใจดี 13 แกนนำและแนวร่วมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ให้ร่วมกันชำระหนี้ตามคำพิพากษาเป็นจำนวนเงิน 522,160,947.31 บาท พร้อมดอกเบี้ย 7.5 ต่อปี ของเงินต้นดังกล่าว นับตั้งแต่วันที่ 3 ธ.ค.2551 ให้แก่ บริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. (นับรวมดอกเบี้ยจะอยู่ที่วงเงิน 744 ล้านบาท) รวมถึงค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความ จำนวน 597,847 บาท ภายหลังจากศาลแพ่ง มีคำพิพากษาให้บุคคลทั้ง 13 ราย ชำระหนี้ตามกฎหมาย จากคดีปิดยึดท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและดอนเมือง เพื่อประท้วงรัฐบาลและขับไล่ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีขณะนั้น ทำให้การให้บริการต่างๆ ภายในท่าอากาศยานทั้งสองต้องหยุดลงในช่วงเดือนกันยายน 2560 ที่ผ่านมา

ทั้งนี้ ในหนังสือระบุว่า หากไม่ดำเนินการ ทอท. จะนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดอายัดทรัพย์ เพื่อขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่ทอท.ต่อไป