ข่าว
'ไต้หวัน'พร้อมช่วยมิตรประเทศจัดหาวัคซีนโควิด แต่ลั่นไม่ซื้อของ'จีน'เด็ดขาด

เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2564 เว็บไซต์ นสพ.The Straits Times ของสิงคโปร์ เสนอข่าว Taiwan to help allies buy Covid-19 vaccines, but not from China ระบุว่า ไต้หวันจะช่วยเหลือ 15 ประเทศที่รับรองสถานะความเป็นรัฐชาติของตน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นประเทศยากจนในภูมิภาคลาตินอเมริกา แคริบเบียนและแปซิฟิก ด้านการจัดหาวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 แต่ย้ำว่าจะไต้หวันไม่ซื้อวัคซีนของจีนแผ่นดินใหญ่โดยเด็ดขาด ท่ามกลางสถานการณ์ที่จีนพยายามเกลี้ยกล่อมให้ประเทศเหล่านั้นถอยห่างจากไต้หวัน

โดยเมื่อ 1 สัปดาห์ก่อน ไต้หวันอ้างว่าได้ช่วยจัดหาวัคซีนโควิด-19 ให้กับประเทศปารากวัย ในทวีปอเมริกาใต้ ซึ่งมีการประท้วงรัฐบาลที่มีปัญหาด้านบริหารจัดการวิกฤติสุขภาพครั้งนี้ ซึ่งในขณะที่ไต้หวันจัดหาหน้ากากและอุปกรณ์ต่างๆ สำหรับช่วยประเทศอื่นๆ รับมือโรคระบาด โครงการฉีดวัคซีนกลับเพิ่งเริ่มต้นขึ้นในสัปดาห์นี้ จึงคาดว่าวัคซีนที่ไต้หวันพัฒนาจะยังไม่เปิดตัวจนกว่าจะถึงช่วงกลางปี 2564 ในทางกลับกัน จีนได้ทยอยแจกจ่ายวัคซีนให้กับประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลายแล้ว

รายงานข่าวกล่าวต่อไปว่า เมื่อวันที่ 22 มี.ค.2564 กระทรวงการต่างประเทศของปารากวัย เปิดเผยว่า รัฐบาลได้รับการติดต่อจากบุคคลซึ่งมีอำนาจตามกฎหมายหรือเชื่อมโยงกับรัฐบาลจีนแผ่นดินใหญ่ แต่ยังไม่ได้รับการยืนยันในเรื่องเกี่ยวกับวัคซีน บุคคลกลุ่มนี้ได้เสนอเงื่อนไขเบื้องต้นว่าจะช่วยเรื่องวัคซีนแต่ต้องแลกกับการตีตัวออกห่างจากไต้หวัน จึงต้องขอตำหนิใครก็ตามที่นำสถานการณ์โรคระบาดมาใช้หวังผลทางการเมืองหรือเศรษฐกิจ นี่เป็นสถานการณ์ด้านมนุษยธรรมที่น่าวิตก

โจเซฟ หวู (Joseph Wu) รัฐมนตรีต่างประเทศของไต้หวัน กล่าวว่า ตนเชื่อมั่นความสัมพันธ์ระหว่างไต้หวันกับปารากวัย ว่าปารากวัยไม่ชอบจีนแผ่นดินใหญ่ เพราะรัฐบาลปารากวัยรู้จักเงามืดของจีนดี เนื่องจากเงินทุนและช่องทางของจีนอยู่เบื้องหลังความวุ่นวายที่นั่น ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศของจีนยังไม่แสดงความคิดเห็นใดๆ ทั้งนี้ จีนถือว่าไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของประเทศที่แยกออกไป และหากจำเป็นก็พร้อมใช้กำลังบังคับให้กลับมารวมกัน

เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี ทรงรับการฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า ป้องกันโควิด-19

วันที่ 23 มีนาคม 2564 เพจเฟซบุ๊ก HRH Princess Sirivannavari Nariratana Rajakanya เผยแพร่พระรูป โดยระบุว่า 23 มีนาคม พ.ศ. 2564 สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา เสด็จยังโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ทรงรับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ของบริษัท แอสตร้าเซนเนก้า เนื่องจากทรงอยู่ในกลุ่มบุคคลที่มีการเดินทางและพบปะผู้คนจำนวนมาก

วัคซีนโควิดแอสตร้าเซนเนก้า ป้องกันการป่วยรุนแรง ลดโอกาสรับเชื้อและแพร่เชื้อซึ่งได้รับการรับรองว่าสามารถสร้างภูมิคุ้มกันต่อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคโควิด-19 ในผู้มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป

โดยการฉีดมี 8 ขั้นตอนตามระบบของกระทรวงสาธารณสุข เริ่มจากการลงทะเบียน ตรวจร่างกาย ชั่งน้ำหนัก วัดความดันโลหิต คัดกรองความเสี่ยง รับการฉีดวัคซีน จัดห้องพักสังเกตอาการหลังฉีดเป็นเวลา 30 นาที มีแพทย์ประจำเฝ้าสังเกตอาการ ทรงปลอดภัยและไม่มีพระอาการแพ้ใดๆ


ดังไกลถึงอังกฤษ! หนุ่มไทยทำ'สเก็ตบอร์ด'วัสดุเดียวกับ'โลงศพ'

24 มี.ค.2564 เว็บไซต์ นสพ.Daily Mail ของอังกฤษ เสนอข่าว “Thai coffin-maker kickflips his caskets into skateboards” ว่าด้วย Anusorn Yungyearn หนุ่มไทยวัย 30 ปี อาชีพช่างทำโลงศพในกรุงเทพฯ นำทักษะความชำนาญของตนมาประดิษฐ์สเก็ตบอร์ด ท่ามกลางกระแสที่กีฬาเอ็กซ์ตรีมดังกล่าวได้รับความนิยมถึงขั้นสเก็ตบอร์ดที่วางขายในท้องตลาดราคาพุ่งสูงขึ้นอย่างมาก

Anusorn เล่าว่า ตนต้องการให้เด็กๆ ที่ไม่มีโอกาสมากนักในชีวิตได้เข้าถึงอุปกรณ์กีฬาชิ้นนี้ และไม่อยากให้พวกเขาต้องไปขอเงินพ่อแม่มาซื้อเพราะราคาแพง นำไปสู่การใช้ไม้ที่เตรียมลวดลายไว้แบบเดียวกับที่ทำโลงศพในร้านของตนมาทำสเก็ตบอร์ด และผลงาน 10 ชิ้นแรกจะถูกบริจาคให้กับเด็กๆ ในครอบครัวรายได้น้อย และด้วยความที่เด็กๆ หลายคนไม่เคยรู้จักสเก็ตบอร์ดมาก่อน ตนจึงพยายามทำให้มันใกล้เคียงกับสเก็ตบอร์ดของจริงมากที่สุด เพื่อให้พวกเขาได้เล่นอย่างสนุกสนานและมีรอยยิ้ม

รายงานข่าวกล่าวต่อไปว่า อาจเป็นเพราะสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ในรอบปีที่ผ่านมา ซึ่งทำให้สถานบันเทิงและสถานบริการด้านกีฬา เช่น บาร์หรือโรงยิม ถูกปิดต่อเนื่องยาวนานจากการใช้มาตรการล็อกดาวน์ กลายเป็นจุดเริ่มต้นที่วัยรุ่นไทยหันมาสนใจการเล่นสเก็ตบอร์ด มีการรวมกลุ่มเล่นกันตามสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ในกรุงเทพฯ ไปจนถึงลานกว้างในมหาวิทยาลัย


ผู้ลี้ภัยเมียนมานับพันจ่อหนีเข้าไทย เผยส่วนใหญ่เป็นแกนนำต่อต้านรัฐประหาร

เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2564 เวลาประมาณ 11.30 น.ได้มีราษฎรชาว พม่า เชื้อสายกะเหรี่ยง จำนวน 3 คน เป็นชาย 2 หญิง 1 ได้เดินทางจากบ้านกลาง อ.แม่แจ๊ะ จ.บอลาแคะ รัฐคะยา สหภาพเมียนมา ได้อพยพหนีภัยการปราบปรามของทหารพม่า เข้ามาในไทยที่ บ้านพะแข่ หมู่ 3 ต.แม่กิ๊ อ.ขุนยวม จ. แม่ฮ่องสอน และได้เข้ามาขออาศัยอยู่ในกระท่อมของราษฎรไทย ต่อทางเจ้าหน้าที่ของฝ่ายไทย ประกอบด้วย จนท.ฝ่ายปกครอง อ.ขุนยวม ร่วมกับ นายก อบต.แม่กิ๊ ,กำนัน ต.แม่กิ๊ ,ผญบ.พะโท และทหารพรานสังกัด กองร้อย.ทหารพรานที่ 3602 เข้าไปตรวจสอบบุคคลดังกล่าวแล้ว

พลจัตวา อ่องเมี๊ยะ รองผู้บัญชาการทหารสูงสุด กองกำลังติดอาวุธกะเหรี่ยงคะยา ( KNPP ) เปิดเผยว่า ปัจจุบันในพื้นที่ของกองบัญชาการฐานที่มั่นยามู ซึ่งอยู่ตรงข้ามชายแดนไทยด้านทิศตะวันตกของตัวเมืองแม่ฮ่องสอน ห่างจากตัวเมืองแม่ฮ่องสอนไปประมาณ 12 กม. ( แนวระนาบแผนที่ ) ได้มีผู้อพยพหนีภัยจากการปราบปรามของทางการพม่า เข้ามาอาศัยอยู่จำนวนประมาณ 100 กว่าคน โดยเข้ามาอาศัยอยู่บริเวณสนามฝึกด้านการทหารของ กองกำลังกะเหรี่ยงคะยา

สำหรับสถานการณ์ด้านชายแดนของแม่ฮ่องสอน พบว่ามีกลุ่มผู้ลี้ภัยที่รอการเข้ามาในไทยจำนวนมาก ไม่ต่ำกว่า 1,000 คน ซึ่งทางการพม่า ได้ทราบข่าวดังกล่าวและมีการสั่งให้หน่วยทหารในพื้นที่ชายแดน ทำการสกัดกั้น ไม่ให้หนีเข้าไทย โดยกลุ่มที่หนีมาส่วนใหญ่เป็นแกนนำหรือสนับสนุนการประท้วงที่ทางการพม่ารู้ว่าเป็นใคร และพยายามจับกุมตัว จึงได้มีการพยายามหนีเข้ามาในฝั่งไทย โดยมีกองกำลังชนกลุ่มน้อยในพื้นที่ ให้การสนับสนุนและอารักขาในการเดินทางเข้าสู่ชายแดนไทย


สุดสลด! ทหารพม่ายิงเด็ก 7 ขวบดับคาตักพ่อ

24 มี.ค.64 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เด็กหญิงวัย 7 ขวบชาวเมียนมา ถูกเจ้าหน้าที่ความมั่นคงยิงเสียชีวิต ที่บ้านพักในเมืองมัณฑะเลย์ เมื่อวันอังคาร ท่ามกลางการชุมนุมประท้วงต่อต้านกองทัพ ที่ก่อรัฐประหารยึดอำนาจจากรัฐบาลพลเรือนเมื่อวันที่ 1 ก.พ. กลายเป็นเหยื่ออายุน้อยที่สุด ของการปราบปรามการประท้วง

ชาวเมืองมัณฑะเลย์บอกกับสำนักข่าวอิรวดี ว่า ระหว่างการบุกตรวจค้นในวันอังคาร เจ้าหน้าที่ตำรวจปราบจลาจลและทหารใช้ทั้งกระสุนยาง, กระสุนจริง, ระเบิดแสง และแก๊สน้ำตา พวกเขาเปิดฉากยิงคนเดินถนนและผู้ที่ออกมาดูเหตุการณ์หลายราย

พยานที่เห็นเหตุการณ์ระบุว่าเด็กหญิงคนดังกล่าวถูกยิงในบ้านขณะที่เจ้าหน้าที่ความมั่นคงของเมียนมาเปิดฉากยิงในย่านชานเมืองมัณฑะเลย์ ขณะที่ชาวเมืองระบุว่ามีประชาชนอีกอย่างน้อย 1 คนเสียชีวิตจากการถูกยิงในเมืองมัณฑะเลย์ด้วย

ด้าน Myanmar Now ทวีตข้อความพร้อมภาพเด็กหญิงมีแผลถกยิงที่ท้อง โดยระบุว่า “จากการเปิดเผยของพี่สาวของเด็กหญิงผู็เสียชีวิต ระบุว่า เจ้าหน้าที่ทหารของรัฐบาลทหารเมียนมาสังหารเด็กหญิงวัย 7 ปี และชายอีก 2 คนในวันนี้ใน Chan Mya Thazi ในเมืองมัณฑะเลย์ ทหารยิงไปที่พ่อของเด็กหญิง แต่กลับโดนไปที่ตัวเด็กหญิงที่นั่งอยู่บนตักของพ่อแทน”

สำนักข่าวรอยเตอร์ระบุว่ารัฐบาลทหารเมียนมายังคงไม่มีความเห็นเกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าว อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้ ซอ มิน ตุน โฆษกรัฐบาลทหารเมียนมา ระบุว่าเหตุนองเลือดดังกล่าวเป็นความผิดของผู้ชุมนุมประท้วง และว่า มีเจ้าหน้าที่ความมั่นคงที่เสียชีวิตไปแล้ว 9 นาย

ทั้งนี้ล่าสุดยอดผู้เสียชีวิตจากเหตุประท้วงต่อต้านรัฐบาลรัฐประหารเมียนมาเก็บข้อมูลโดยสมาคมช่วยเหลือนักโทษการเมือง (เอเอพีพี) เพิ่มสูงขึ้นถึง 261 รายแล้ว ขณะที่โฆษกรัฐบาลทหารเมียนมาอย่างซอ มิน ตุน ระบุว่า มีผู้ประท้วงเสียชีวิต 164 ราย


'สหรัฐฯ'ยังครองตำแหน่ง ‘ผู้ส่งออกอาวุธรายใหญ่สุด’ช่วงปี2016-2020

24 มี.ค.64 สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า เจน ซากี โฆษกทำเนียบขาวของสหรัฐฯ ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวว่าคณะบริหารภายใต้การนำของประธานาธิบดีโจ ไบเดน กำลังพิจารณาการดำเนินการฝ่ายบริหาร เพื่อจัดการมาตรการความปลอดภัยเกี่ยวกับอาวุธปืน

“เรากำลังพิจารณาวิธีการต่างๆ เช่น การดำเนินการทางกฎหมาย การดำเนินการฝ่ายบริหาร เพื่อจัดการมาตรการความปลอดภัยเกี่ยวกับอาวุธปืนและความรุนแรงในชุมชน เราได้เริ่มหารือเกี่ยวกับประเด็นนี้แล้ว” ซากีกล่าวกับผู้สื่อข่าวบนแอร์ฟอร์ซวัน (Air Force One) เครื่องบินประจำตำแหน่งประธานาธิบดี

ทำเนียบขาวออกแถลงการณ์หลังเกิดเหตุกราดยิงที่ร้านขายของชำในเมืองโบลเดอร์ของรัฐโคโลราโดที่ทำให้มีผู้เสียชีวิต 10 ราย รวมถึงเหตุกราดยิง 3 ครั้งในภูมิภาคแอตแลนตาของรัฐจอร์เจียเมื่อสัปดาห์ก่อน ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิต 8 ราย

ปัจจุบันทางการเร่งสืบสวนเหตุกราดยิงดังกล่าว โดยตำรวจยังไม่สามารถระบุแรงจูงใจของผู้ต้องสงสัยสองราย ด้านไบเดนกล่าวประณามการใช้ความรุนแรง พร้อมกระตุ้นสภาคองเกรสผ่านร่างกฎหมายระงับการใช้อาวุธจู่โจมและซองกระสุนที่มีความจุสูง

นอกจากนั้นไบเดนเรียกร้องวุฒิสภาผ่านร่างกฎหมายปฏิรูปการใช้อาวุธปืนที่จะยกระดับการตรวจสอบประวัติผู้ถือครองอาวุธปืนทั้งสองฉบับโดยเร็ว หลังจากสภาผู้แทนราษฎรอนุมัติเมื่อช่วงต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา

ชัก ชูเมอร์ ผู้นำเสียงข้างมากในวุฒิสภาสหรัฐฯ แถลงข่าวว่าเขาจะอนุมัติร่างกฎหมายการตรวจสอบประวัติและร่างกฎหมายยกระดับการตรวจสอบประวัติ ซึ่งสภาผู้แทนราษฏรอนุมัติแล้ว พร้อมเสริมว่าเขาจะหารือกับวุฒิสมาชิกพรรคเดโมแครตในสัปดาห์นี้เพื่อ “หาหนทางดีที่สุด” สำหรับกฎหมายปฏิรูปการใช้อาวุธปืน

การที่ร่างกฎหมายสองฉบับนี้จะถูกส่งต่อไปยังประธานาธิบดีไบเดนได้นั้น วุฒิสมาชิกฝ่ายเดโมแครตจำเป็นต้องได้รับคะแนนเสียง 60 คะแนน หรือต้องได้คะแนนจากวุฒิสมาชิกพรรครีพับลิกัน 10 เสียง จากปัจจุบันที่คะแนนเสียงในวุฒิสภาอยู่ที่ 50-50 ซึ่งมีโอกาสน้อยมากเนื่องจากพรรครีพับลิกันต่อต้านกฎหมายยกระดับการควบคุมอาวุธปืน

สลด! เครื่องบินขับไล่ไต้หวันชนกันกลางอากาศ นักบินดับ 1 สูญหาย 1

23 มี.ค.64 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ศูนย์บัญชาการกู้ภัยแห่งชาติ (NRCC) ของไต้หวัน เปิดเผยในวันจันทร์ที่ 22 มี.ค. 2564 ว่า เมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมา เครื่องบินขับไล่ F-5E ของกองทัพอากาศ 2 ลำ หายไปจากจอเรดาร์ โดยเชื่อว่าเฉี่ยวชนกันกลางอากาศ ก่อนตกลงไปในมหาสมุทรนอกชายฝั่งเขตผิงตง ทางตอนใต้

หวง ชี-เวย (Huang Chih-wei) เสนาธิการกองทัพอากาศไต้หวัน เปิดเผยว่า จากการสอบสวนเบื้องต้นเข้าใจว่าสาเหตุน่าจะเกิดจากการที่เครื่องบินเฉี่ยวชนกันเอง ส่วนปัจจัยด้านเทคนิคและสภาพอากาศไม่น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้อง เครื่องบินทั้ง 2 ลำ เป็นหนึ่งในกลุ่มฝูงบิน F-5E จำนวน 4 ลำที่ออกเดินทางจากฐานทัพอากาศ จื่อ-หัง ในเมืองไถตง ออกไปปฏิบัติภารกิจฝึกซ้อมในเวลาประมาณ 14:30 น. ก่อนที่เครื่องบิน 2 ลำจะเฉี่ยวชนกัน โดยที่นักบิน 2 คนแซ่ ‘พาน’ และ ‘หลอ’ สามารถดีดตัวออกไปได้ก่อนที่เครื่องจะชนกันแล้วตกทะเลในเวลาประมาณ 15:06 น. หลังจากนั้น NRCC ก็ระดมกำลังเจ้าหน้าที่ออกค้นหาทั้งทางเรือและทางอากาศ และพบนายหลอ หมดสติ ลอยอยู่กลางทะเลในเวลา 16:22 น. ซึ่งเขาถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลเพื่อรับการรักษาฉุกเฉินทันที แต่แพทย์ไม่สามารถยื้อชีวิตของเขาไว้ได้ ส่วนนายพานยังคงหายสาบสูญ

ทั้งนี้ เหตุเครื่องบินเฉี่ยวชนกันในครั้งล่าสุด นับเป็นอุบัติเหตุร้ายแรงครั้งที่ 8 ที่เกี่ยวข้องกับเครื่องบิน F-5E ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา โดยเมื่อเดือนตุลาคมปีก่อน เครื่องบินรุ่นนี้เพิ่งตกระหว่างฝึกซ้อมนอกชายฝั่งเมืองไถตง ทำให้นักบินเสียชีวิตมาแล้ว